แพทย์พบตัวอ่อน "หนอน Botfly" (หนอนแมลงวันฝังผิว) ในผิวหนังชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากแอฟริกา แม้ในไทยยังไม่พบแมลงวันสายพันธุ์ก่อโรค แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ หากพบนักท่องเที่ยวที่มีอาการต้องสงสัย ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที หวั่นวงจรชีวิตไม่สมบูรณ์และเชื้อแพร่กระจาย
วันนี้ (19 พ.ย.) เพจ “Drama-addict”เกี่ยวกับการพบเคส "ภาวะ Myiasis" หรือการที่ตัวอ่อนของแมลงฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของมนุษย์ โดยเฉพาะเคสที่พบเป็นตัวอ่อนของ "หนอนแมลงวัน Botfly" (Botfly Larva) ซึ่งถูกนำออกมาจากผิวหนังของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศแถบแอฟริกา หนอนแมลงวัน Botfly จัดเป็นปรสิตที่มักพบในแถบทวีปอเมริกาและแอฟริกา
โดยมีวงจรชีวิตที่ซับซ้อนและน่ากลัว คือ
1. การวางไข่: แมลงวัน Botfly ตัวเมียจะจับแมลงที่ดูดเลือด เช่น ยุง หรือเห็บ และวางไข่ติดไว้บนตัวพาหะเหล่านั้น
2. การฝังตัว: เมื่อพาหะ (เช่น ยุง) ไปดูดเลือดคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนและจะไชเข้าสู่ผิวหนังของเหยื่อทันทีผ่านรูที่ถูกกัด
3. การเจริญเติบโต: ตัวอ่อนจะฝังตัวและเจริญเติบโตอยู่ใต้ผิวหนังของเหยื่อ โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 สัปดาห์ ก่อนจะโตเต็มที่
4. การออกจากร่าง: เมื่อโตเต็มที่ ตัวอ่อนจะทะลุผิวหนังออกมา และเข้าสู่ระยะดักแด้ในดิน ก่อนจะกลายเป็นแมลงวันและเริ่มวงจรชีวิตใหม่
ทั้งนี้ ในเคสที่พบในประเทศไทยนี้ มีรายงานว่า ตัวอ่อนได้ถูกนำออกมาจากผิวหนังของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มารักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โดยเคสนี้ถือว่า "ไม่น่ากังวลมาก" เนื่องจากตัวอ่อนที่พบอยู่ในระยะที่ไม่สมบูรณ์และถูกนำออกไปกำจัดเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นการทำลายวงจรชีวิตของปรสิตชนิดนี้ไม่ให้แพร่พันธุ์ต่อไปในประเทศได้
โดยมี ข้อควรระวังและคำเตือน ระบุว่า“ทางผู้เชี่ยวชาญได้เน้นย้ำว่า "ปัจจุบัน ยังไม่มีแมลงวันสายพันธุ์ที่ก่อโรคนี้ในบ้านเรา" อย่างไรก็ตาม ภาวะ Myiasis โดยเฉพาะจาก Botfly เป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากประชาชนหรือบุคลากรทางการแพทย์พบเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีอาการผิดปกติที่ผิวหนัง เช่น มีตุ่มบวมคล้ายฝี มีรูเปิดเล็ก ๆ และอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใต้ผิวหนัง ให้รีบนำตัวส่งแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่และหลุดออกไปสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจทำให้วงจรชีวิตของแมลงวันชนิดนี้เริ่มขึ้นในประเทศไทยได้


