xs
xsm
sm
md
lg

มาเลเซียไม่เคยหิวแสง ผบ.ทสส.เสือเหลืองโต้รังษี โวยทำลายสันติภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"โมฮด์ นิซาม จาฟฟาร์" ผบ.ทสส.มาเลเซีย ร่ายยาวบทความแจงข้อกล่าวหา พล.อ.รังษีระบุว่านายกฯ อันวาร์ ของมาเลเซียเป็นไส้ศึก ไม่เป็นความจริง และทำลายวัตถุประสงค์หลักคือสันติภาพ ย้ำมาเลเซียไม่เคยหิวแสง สนใจอย่างเดียวคือฟื้นฟูเสถียรภาพ ปกป้องชีวิต ยึดมั่นความสามัคคีในอาเซียน กลับถูกลากเป็นประเด็นการเมือง

วันนี้ (9 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.โมฮด์ นิซาม จาฟฟาร์ (Mohd Nizam Jaffar) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เผยแพร่บทความ การชี้แจงของมาเลเซียเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพไทย-กัมพูชา ตีพิมพ์ผ่านสำนักข่าวแห่งชาติเบอร์นามา (BERNAMA) และสื่อมวลชนหลายแห่งในประเทศมาเลเซีย เพื่อตอบโต้ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ และอดีตผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 กล่าวหาว่านายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นไส้ศึกให้กับสหรัฐอเมริกา และข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชาจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจ แปลเป็นภาษาไทยดังนี้

- ภูมิหลังของความขัดแย้ง

ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชามีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์และอารมณ์ความรู้สึก เหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากเฉพาะพื้นที่ได้ลุกลามอย่างรวดเร็วกลายเป็นการปะทะที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ ขณะที่พลเรือนต่างอพยพหนีภัยจากบ้านเรือน และทหารทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน มาเลเซียได้ก้าวออกมาด้วยจิตวิญญาณแห่งความรับผิดชอบในภูมิภาค

ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียน มาเลเซียเชื่อมั่นเสมอว่าสันติภาพและเสถียรภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องได้รับการคุ้มครองในภูมิภาค ผ่านการเจรจา ความเคารพซึ่งกันและกัน และความไว้วางใจ ทั้งไทยและกัมพูชาแสดงความพร้อมที่จะคลี่คลายสถานการณ์ และภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี มาเลเซียได้อำนวยความสะดวกในการหารือครั้งแรกที่เมืองปุตราจายา การหารือเหล่านี้ซึ่งจัดขึ้นโดยสอดคล้องกับบทบาทของอาเซียนและด้วยการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอื่นๆ นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงทันที ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568

ในคืนเดียวกันนั้น ทีมของผมได้เดินทางไปยังกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และต่อด้วยกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อนำข้อตกลงหยุดยิงไปปฏิบัติในพื้นที่จริง เราได้พบกับ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.วงษ์ ปิเซน (Vong Pisen) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพกัมพูชา พร้อมด้วยผู้นำทหารระดับสูงท่านอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ให้ไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งสองประเทศได้ตกลงกันในหลักการที่จะจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team หรือ AOT) ขึ้นเป็นกลไกอย่างเป็นทางการในการติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ในระหว่างที่โครงสร้างของ AOT กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Augmented Interim Observer Team หรือ IOT) ซึ่งนำโดยผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมของมาเลเซียประจำกรุงเทพฯ และกรุงพนมเปญ ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบทั้งแบบเป็นกลางและชั่วคราว IOT และ AOT เป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นร่วมกันของอาเซียนในการสร้างความโปร่งใส การสร้างความเชื่อมั่น และการกำกับดูแลที่เป็นกลาง ทีมงานเหล่านี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาความเป็นกลาง ตรวจสอบการนำไปปฏิบัติ และป้องกันการสู้รบเกิดขึ้นซ้ำ โดยปฏิบัติงานทั้งสองฝั่งของชายแดนภายใต้คำสั่งที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2568 ประเทศไทยและกัมพูชาได้ลงนามในขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference หรือ TOR) ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) และความสำเร็จนี้ยิ่งตอกย้ำด้วยการลงนามในข้อตกลงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ข้อตกลงดังกล่าวได้กำหนดแผนปฏิบัติการสำคัญ 4 แผน ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การดำเนินการร่วมกันเพื่อกำจัดทุ่นระเบิดและเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ความร่วมมือด้านมนุษยธรรม รวมถึงการเตรียมการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัว และการส่ง AOT เพื่อตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินการ แผนปฏิบัติการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแถลงการณ์เชิงทฤษฎี แต่เป็นพันธกรณีผูกพันที่อาเซียนเป็นพยานและได้รับการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ

- การชี้แจงข้อกล่าวหา

ในบริบทนี้ ผมต้องกล่าวถึงคำกล่าวล่าสุดของ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตนายทหารของไทย ซึ่งกล่าวหามาเลเซียและนายกรัฐมนตรีของเราว่า กระทำการในฐานะมือที่ซ่อนเร้น หรืออย่างที่เขาเรียกว่า “ศัตรูภายใน” ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เพียงแต่ไม่มีมูลความจริงและไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังน่าผิดหวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกกล่าวโดยอดีตนายทหารระดับสูง คำกล่าวอ้างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับความเป็นแกนกลางของอาเซียน และละเลยโครงสร้างความร่วมมือที่เป็นรากฐานของกรอบสันติภาพนี้ นอกจากนี้ยังบ่อนทำลายหลักการแห่งความเป็นมืออาชีพและความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่สถาบันทหารในภูมิภาคของเรายึดถือมายาวนาน

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อกล่าวหานี้ยังบิดเบือนทั้งเนื้อหาและเจตนารมณ์ของข้อตกลงกัวลาลัมเปอร์ เอกสารทางการที่สนับสนุนกระบวนการนี้มีความโปร่งใสและได้รับการรับรองร่วมกันจากรัฐบาลที่เข้าร่วมทุกประเทศ เอกสารเหล่านี้ระบุถึงพันธกรณีที่ชัดเจนซึ่งมุ่งเน้นเฉพาะสันติภาพ ความมั่นคง ความร่วมมือด้านมนุษยธรรม และเสถียรภาพในภูมิภาค ณ จุดนี้ ความพยายามใดๆ ที่จะทำลายชื่อเสียงของบทบาทของมาเลเซีย ความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีของเรา หรือความซื่อสัตย์สุจริตของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ล้วนมีเจตนาเป็นความชั่วร้ายทั้งสิ้น

มันทำลายวัตถุประสงค์หลักของกระบวนการซึ่งก็คือสันติภาพ

มาเลเซียไม่เคยแสวงหาการยอมรับหรือความน่าเชื่อถือ ความสนใจเพียงอย่างเดียวของเรา คือการฟื้นฟูเสถียรภาพ ปกป้องชีวิต และยึดมั่นในหลักการแห่งความสามัคคีในภูมิภาค ทหารทั้งสองฝั่งชายแดนสมควรได้รับโอกาสในการวางอาวุธ ขณะที่ครอบครัวที่ต้องเผชิญความหวาดกลัวมานานหลายเดือน สมควรได้รับความปลอดภัยเพื่อสร้างชีวิตใหม่ นั่นคือเป้าหมายของเรามาโดยตลอดและยังคงเป็นเช่นนั้น

กองทัพมาเลเซียยึดมั่นในหลักการที่ว่า สันติภาพจะบรรลุผลได้ดีที่สุด ผ่านความเข้าใจและความร่วมมือซึ่งกันและกัน ตั้งแต่มินดาเนา ติมอร์-เลสเต ถึงเลบานอน เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของเราปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นมืออาชีพ ความเป็นกลาง และความเคารพในอธิปไตย การอำนวยความสะดวกให้เกิดสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมปฏิบัติในการรับใช้ชาติ

- การสะท้อนความคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำและความซื่อสัตย์สุจริต

สันติภาพไม่เคยปราศจากค่าใช้จ่าย ต้องอาศัยความอดทน ความกล้าหาญทางศีลธรรม และความสามารถในการมองข้ามความภาคภูมิใจส่วนตัวหรือทางการเมือง นับตั้งแต่เริ่มต้น มีสาระสำคัญ 3 ประการ ที่นำทางทุกย่างก้าวที่เราได้ก้าวไป นั่นคือ "สันติภาพมีราคาแพง ชีวิตมีค่า และเวลาเป็นสิ่งสำคัญ" สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงคำขวัญ แต่เป็นความจริงอันโหดร้ายที่ทหารทุกคนเข้าใจ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ ที่บุคคลผู้เคยสวมเครื่องแบบทหาร เลือกที่จะนำกระบวนการที่มุ่งป้องกันการสูญเสียชีวิตมาสู่ประเด็นทางการเมือง การเรียกผู้นำคนอื่นว่าเป็นคนทรยศหรือสายลับโดยไม่มีหลักฐาน ย่อมไม่ใช่การดูหมิ่นผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นการดูหมิ่นผู้กล่าวหา การเพิกเฉยต่อความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ของผู้ที่ทุ่มเททำงานอย่างเงียบๆ และเสียสละเพื่อสร้างสันติภาพ และกัดกร่อนความไว้วางใจ ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงในภูมิภาค

ผมขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทหารทุกท่าน ทั้งที่ประจำการและเกษียณอายุราชการ ให้ยึดมั่นในหลักการแห่งความจริง ความยุติธรรม และความเป็นมืออาชีพ หน้าที่ของทหารไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่การเกษียณอายุราชการ แต่ยังคงดำเนินต่อไปด้วยสติปัญญา ความยับยั้งชั่งใจ และแบบอย่างความรับผิดชอบของเรา แผ่ขยายออกไปนอกพรมแดน เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคที่เรารับใช้

ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ข้าพเจ้ายังคงมั่นใจว่าคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ร่วมกับรัฐบาลไทยและกัมพูชา จะปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ลงนามในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ความคืบหน้าปรากฏให้เห็นแล้วในพื้นที่จริง ทั้งการถอนอาวุธ ปฏิบัติการกู้ระเบิดกำลังดำเนินอยู่ และชุมชนตามแนวชายแดนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ สิ่งเหล่านี้คือเครื่องหมายแห่งความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่เสียงกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง มาเลเซียยังคงยึดมั่นในความมุ่งมั่นต่อแนวทางแก้ไขปัญหาที่นำโดยอาเซียน การเคารพอธิปไตยของชาติ และการปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพทั้งหมดอย่างโปร่งใส กองทัพมาเลเซียจะยังคงทำหน้าที่เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้และไว้วางใจในการส่งเสริมค่านิยมร่วมเหล่านี้ต่อไป

ในตอนท้ายกล่าวว่า "Pax optima rerum." สันติภาพยังคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และเป็นสถานะสุดท้ายที่เรามุ่งหมายมาตั้งแต่ต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น