กฟภ.ฉาวเอื้อผู้ประกอบการ ลดเงินค่าปรับโครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ทั้งที่ผิดเงื่อนไขสัญญา ทำรัฐเสียผลประโยชน์ เผย สตง.ชี้มูลความผิดแล้ว ขณะที่ ป.ป.ช.รีดข้อมูลหลักฐานจ่อฟันทุจริตต่อหน้าที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ.ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าสระบุรี 7 จังหวัดสระบุรี สถานีไฟฟ้ากบินทร์บุรี 5 (ลานไก) จังหวัดปราจีนบุรี ก่อสร้างเพิ่มเติมสถานีไฟฟ้านครสวรรค์ 2 จังหวัดนครสวรรค์ และก่อสร้างเพิ่มเติมสถานีไฟฟ้านครสวรรค์ 3 จังหวัดนครสวรรค์ งบประมาณ ประจำปี 2564 หมวดสำรองกรณีจำเป็นเร่งด่วน วงเงินค่าจ้างรวมทั้งสิ้นกว่า 361 ล้านบาท โดยมีบริษัท แอดวานซ์ ซีวิล กรุ๊ป จำกัด (ACG) เป็นผู้ชนะการประมูล ทั้งนี้ ตามสัญญาจ้างระบุว่าผู้รับจ้างต้องไม่เอางานทั้งหมดหรือบางส่วนแห่งสัญญานี้ไปจ้างช่วงอีกทอดหนึ่ง เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าจ้าง แต่ทางบริษัทฯ กลับไปจ้างช่วง บริษัท โฮมเลี้ยง คอนกรีต จำกัด (HL) ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาสถานีไฟฟ้ากบินทร์บุรี 5 (ลานไก) จังหวัดปราจีนบุรี โดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องมาแดงขึ้นเมื่อบริษัท HL แจ้งให้ กฟภ.ระงับการจ่ายเงิน บริษัท ACG และจ่ายเงินให้บริษัท HL ในส่วนที่จ้างช่วง แต่ กฟภ.ไม่สามารถดำเนินการให้ได้
ต่อมาคณะกรรมการตรวจรับและผู้ควบคุมงานได้ประชุมพิจารณามีมติเรียกค่าปรับ ร้อยละ 10 ของวงเงินค่าจ้างช่วง 35,136,622 บาท เป็นเงินกว่า 3.5 ล้านบาท แต่ทางบริษัท ACG ปฏิเสธการชำระค่าปรับและได้ส่งเอกสารขอลดค่าปรับ คงเหลือเพียง 592,264 บาท ซึ่งทางคณะกรรมการตรวจรับมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 2:1 ให้ลดค่าปรับ ทั้งๆ ที่กระทำผิดต่อเงื่อนไขสัญญา เมื่อเสนอมายัง นายอุดมศักดิ์ เต็มวงษ์ รองผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า กลับมีมติเห็นชอบให้ลดค่าปรับทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ จึงมีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบ โดยเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2567 สตง.ได้เข้ามาตรวจสอบที่ กฟภ.สำนักงานใหญ่ และเรียกไปให้ปากคำที่ สตง. 2 ครั้ง เมื่อเดือน มี.ค. 2568 สตง.ได้มีหนังสือแจ้งมายังคณะกรรมการตรวจรับ สรุปว่ามีการทักท้วงกรณีการปรับลดค่าปรับแต่ก็ไม่ได้มีการแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมทั้งที่มีช่องทางแสวงหาได้ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการบริหารสัญญาไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา ประกอบ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 100 เป็นเหตุให้ กฟภ.ได้รับความเสียหายเป็นเงินกว่า 2.9 ล้านบาท
ทั้งนี้ สตง.ได้มีการชี้มูลความผิดให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 5 ราย ดังนี้ นายอุดมศักดิ์ เต็มวงษ์ รองผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า นายยงยุทธ โพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า นายธาตรี ศรีอาวุธ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานโครงการ 2 นายสมชาย โคตรพัฒน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ 2 และนายสมภพ อินชูกูล รองผู้อำนวยการกองจัดการโครงการ 3 ฝ่ายบริหารโครงการ 2 ซึ่งขณะนี้เอกสารอยู่ที่ฝ่ายกฎหมายของ กฟภ.แล้ว ในขณะเดียวกันคณะกรรมการ ป.ป.ช.หลังได้รับเรื่องกล่าวหาร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐ สังกัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ จึงได้ส่งหนังสือ ป.ป.ช.ที่ ปช.0024/0431 ลงวันที่ 4 พ.ค. 2568 ถึง กฟภ.ขอให้ส่งเอกสารหลักฐานให้ ซึ่งขณะนี้หลักฐานอยู่ในมือ ป.ป.ช.แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบว่ามีการดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย ได้มีความพยายามที่จะดำเนินการคิดค่าปรับเพิ่มเติมเป็นร้อยละ 10 คงเดิม โดยการประชุมคณะกรรมการตรวจรับ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2568 ได้เห็นชอบคิดค่าปรับเพิ่มเติม จำนวนกว่า 2.9 ล้านบาท และได้ส่งหนังสือถึงบริษัท ACG เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา แจ้งค่าปรับส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ จำนวนกว่า 2.9 ล้านบาท โดยให้ชำระมาภายใน 15 วัน ถัดจากวันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามดังกล่าวแต่เชื่อว่าคงไม่สามารถแก้ไขความผิดได้ เพราะถือว่าความผิดสำเร็จไปแล้ว และข่าววงในแจ้งว่ายังมีความพยายามจากบิ๊กใน กฟภ.ที่จะช่วยเหลือผู้ที่กระทำความผิด รวมไปถึงบริษัท ACG เนื่องจากบิ๊ก กฟภ. และผู้บริหาร ACG รวมถึงบิ๊กในกระทรวงมหาดไทยมีความสนิทสนมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นวิทยาลัยพลังงานอีกด้วย