ผศ.เดชวินิตย์ ศรีพิณ อาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี โพสต์ข้อความแสดงความคับข้องใจอย่างรุนแรงและประกาศลาออกจากราชการ โดยระบุว่า หมดศรัทธาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย หลังคณะถูกบีบด้วยนโยบายควบรวมหลักสูตรจิตรกรรมกับดนตรีสากล ที่เจ้าตัวชี้ว่า "ฝืนธรรมชาติของศาสตร์" และยังถูกลงโทษด้วยการสั่งงดรับนักศึกษา ในหลักสูตรจิตรกรรมปี 2569 ทั้งที่หลักสูตรปัจจุบันยังไม่หมดอายุ และที่สำคัญคือ การทวงถามคำชี้แจงกว่าสิบฉบับ ไม่เคยได้รับการตอบกลับใดๆ จากผู้บริหาร ทำให้ผู้เขียนมองว่าเป็นการ "ตัดโอกาสทางการศึกษา" ของนักศึกษาอย่างชัดเจน
วันนี้ (29 ก.ย.) ผศ.เดชวินิตย์ ศรีพิณ อาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคับข้องใจและตัดสินใจลาออก เนื่องจากปัญหาและนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับนโยบายควบรวมหลักสูตร หลัง มหาวิทยาลัยมีนโยบายให้ควบรวมหลักสูตรที่เห็นว่า "น่าจะควบรวมกันได้" โดยบังคับให้หลักสูตรจิตรกรรมควบรวมกับหลักสูตรดนตรีสากล ทำให้สุดท้ายผู้โพสต์รู้สึก “หมดศรัทธา” กับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะยังรักและศรัทธาในอาชีพการสอน ทั้งนี้ ผศ.เดชวินิตย์ได้ระบุข้อความว่า
“ข้าพเจ้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เดชวินิตย์ ศรีพิณ อาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เริ่มทำงาน เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553-กันยายน 2568 (ปัจจุบัน) ข้าพเจ้าครุ่นคิดเกี่ยวกับหน้าที่การงานของข้าพเจ้ามาพักใหญ่ๆ พยายามที่จะเรียงร้อยมันออกมาให้เป็นข้อความที่สละสลวย เป็นภาษาทางการ แต่คิดไปคิดมา ใช้ภาษาง่ายๆ บ้านๆ น่าจะตรงกับความรู้สึกและจริตส่วนลึกของข้าพเจ้าที่สุด เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับ
สาเหตุของความคับข้องใจ เกิดจากทางมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่เปิดในมหาวิทยาลัย ได้มีนโยบายเกี่ยวกับการควบรวมหลักสูตร (เฉพาะหลักสูตรที่ทางผู้ออกนโยบายมองว่าน่าจะควบรวมกันได้) ซึ่งหลักสูตรจิตรกรรมที่ข้าพเจ้าสังกัด จะต้องควบรวมกับหลักสูตรดนตรีสากล ซึ่งทางคณาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรมได้ช่วยกันหาข้อมูลเกี่ยวกับการควบรวมหลักสูตรที่มีลักษณะดังกล่าวนี้ โดยมีเกณฑ์สำคัญว่าต้องมีวิชาแกนที่เป็นวิชาบังคับอย่างน้อย 3-4 รายวิชา (จิตรกรรม+ดนตรีสากล) จากโจทย์ข้างต้นนี้และข้อมูลที่ทางหลักสูตรจิตรกรรมไปรวบรวมมา คณาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรมเห็นว่าการควบรวมดังกล่าวไม่สามารถเขียนรายวิชาแกนตามกรอบที่มหาวิทยาลัยกำหนดได้ เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติของศาสตร์ และการควบรวบหลักสูตรทั้งสองนี้จะทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาวต่อการศึกษา
โดยเฉพาะกับนักศึกษาที่มีความปรารถนาจะเรียนจิตกรรม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ข้อที่ 1 ความเข้มข้นของศาสตร์ในการเรียนการสอนก็จะลดน้อย (ในกรณีนี้คือ จิตรกรรม และดนตรี)
ข้อที่ 2 นักศึกษาที่เลือกเรียนวาดรูป ต้องบังคับให้เรียนดนตรี (ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามันมีความจำเป็นหรือเกี่ยวข้องกันตรงไหน คนรักการวาดรูปไม่จำเป็นต้องรักการเล่นดนตรี ในขณะเดียวกัน คนรักการเล่นดนตรีก็ไม่จำเป็นต้องบังคับให้วาดรูป) นอกจากนี้ ให้เปลี่ยนชื่อปริญญาทั้งหลังจากการควบรวมทั้ง 2 หลักสูตรเป็นชื่อปริญญาศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ชื่อปริญญาของหลักสูตรดนตรีสากล ถ้าจะปรับแก้ก็อาจจะปรับเป็นดุริยางคศาสตรบัณฑิต ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยให้ร่างหลักสูตรให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด “หากไม่สามารถร่างหลักสูตรภายในระยะเวลาที่กำหนด ทางมหาวิทยาลัยจะไม่เปิดรับนักศึกษาของทางหลักสูตรจิตรกรรมปีการศึกษา 2569” (หรือนี่คือบทลงโทษ) ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือการเปิดรับนักศึกษาในปีการศึกษาล่าสุดนี้ ทางมหาวิทยาลัยไม่มีการเปิดรับนักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรม ทั้งๆ ที่หลักสูตรจิตรกรรมปรับปรุงปี 2566-2570 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่หมดอายุ หลักสูตรจิตรกรรมยังสามารถเปิดรับนักศึกษาได้ถึงปี 2570 ซึ่งทางหลักสูตรจิตรกรรมเห็นว่าการตัดสินใจกระทำการดังกล่าวของมหาวิทยาลัยไม่เป็นการส่งเสริมทางการศึกษาอย่างที่สถาบันทางการศึกษาควรจะเป็น
จากการศึกษาข้อมูลของคณาจารย์ในหลักสูตรจิตกรรม และเห็นว่าไม่สามารถควบรวมหลักสูตรจิตรกรรมกับหลักสูตรดนตรีได้นี้ ทางหลักสูตรได้ยื่นเอกสารชี้แจงต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัย และขอคำอธิบายต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้น รวมไปถึงชี้แจงเรื่องราวรายละเอียดของเนื้อหารายวิชาและชื่อปริญญา โดยได้ส่งหนังสือทวงถามตามระบบโดยปกติ รวมไปถึงยื่นผ่านทางระบบไปรษณีย์และระบบออนไลน์ ถึงสาเหตุที่ไม่เปิดรับนักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรม ปี 2569 เพราะนั่นเท่ากับเป็นการปิดกั้นทางการศึกษาอย่างเห็นได้ชัด (นักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรมจำนวนรับ 40 คน นักศึกษาแรกเข้า เฉลี่ย 35 คนต่อปีการศึกษา) แต่การบันทึกข้อความทวงถาม นับรวมสิบกว่าฉบับนั้น
จนถึงปัจจุบันนี้ เอกสารดังกล่าวไม่มีการตอบกลับ ไม่มีการชี้แจงใดๆ จากผู้บริหาร คณะ และมหาวิทยาลัย แม้แต่สักฉบับเดียว หลักสูตรที่ข้าพเจ้าสอนอยู่ ได้ผ่านระเบียบทุกขั้นตอนทุกอย่าง จนมาถึงการอนุมัติหลักสูตรให้เปิดใช้ได้ครั้งละ 5 ปี
แต่มาวันนี้ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เปิดรับนักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรม ข้าพเจ้ามองว่าการที่เราได้สอนนักศึกษา เราตั้งใจสอนให้เขาเป็นคนดี สอนให้เขามีงานทำที่ดี สอนให้เขาเป็นผู้นำที่ดี เรามีความต้องการที่จะให้ในสิ่งดีๆ แก่นักศึกษา แต่ตอนนี้สิ่งที่มหาวิทยาลัยกำลังปฏิบัติเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาของนักศึกษา ผมคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นในระบบการศึกษา ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวเพิ่มเติมนอกเหนือจากเรื่องการควบรวมหลักสูตร คือ เรื่อง TOR นั้น ได้กดทับให้คณาจารย์ผู้รักในการสอนเหนื่อยหน่าย หากอยากอยู่รอดในอาชีพการงานนี้ต้องเป็นไปตาม TOR ไม่มีใครกล้าออกมาพูดเรื่องราวความเป็นอยู่ของคณาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนอาจารย์หลายท่านหายไป หลักสูตรหายไป นักศึกษาหายไป หากวันนี้ข้าพเจ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ เพียงเพราะคิดว่าต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ต้องมีงานทำ ข้าพเจ้าจะมีแค่คำนำหน้าชื่อว่า “อาจารย์” เท่านั้น เป็นอาจารย์ที่สบายท่ามกลางหยาดเหงื่อของพ่อแม่ของนักศึกษาแล้วยังจะกล้าเป็นผู้ให้ความรู้แต่ขาดจริยธรรมสูงสุดของความเป็นครูอย่างนั้นหรือ?
ข้าพเจ้ารักและศรัทธาในอาชีพการสอนแต่ข้าพเจ้าหมดศรัทธากับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าตัดสินใจลาออกหลังการปฏิบัติหน้าที่เสร็จสมบูรณ์ในปีการศึกษานี้ หวังว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ กับนักศึกษา อาจารย์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี