หลัง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับเสียงชื่นชมจากชาวไทยหลังขึ้นกล่าวถ้อยแถลงชี้แจงสถานการณ์ไทย-กัมพูชาบนเวทีสหประชาชาติ แต่กลับถูกนักวิจารณ์ตั้งคำถามว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญเพราะยังไม่ได้แถลงนโยบาย ล่าสุด น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ ยืนยันว่าการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน โดยอ้างอิงความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุว่าเป็นเรื่อง "จำเป็นเร่งด่วน" เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในเวทีโลกอย่างชัดเจน
จากกรณีที่ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 80 (UNGA 80) ณ นครนิวยอร์ก เพื่อชี้แจงท่าทีและข้อเท็จจริงของไทยในกรณีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความชื่นชมอย่างมากในหมู่ประชาชนชาวไทย
อย่างไรก็ตาม นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย ได้ตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามว่า การเข้าร่วมประชุมและการกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าวอาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคณะรัฐมนตรียังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย
ล่าสุดวันนี้ (29 ก.ย.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่าการดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปอย่างรอบคอบและถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน
เผยในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ก.ย. นายสีหศักดิ์ได้รายงานว่าได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วม UNGA 80 เพื่อภารกิจเร่งด่วน โดยเฉพาะการชี้แจงท่าทีของไทยในประเด็นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาใช้เวทีโลกนำเสนอข้อมูลเพียงฝ่ายเดียว
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ขอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งยืนยันว่าแม้มาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่มาตรา 162 วรรค 2 ได้อนุญาตให้ คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ทันทีหากเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่กระทบต่อประโยชน์ของประเทศ
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ได้ชี้แจงเพิ่มเติมในที่ประชุมว่า ภารกิจนี้มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อรักษาผลประโยชน์สำคัญของประเทศและเป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง จึงถือว่าอยู่ในกรอบกฎหมายและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ น.ส.ไตรศุลียังระบุว่า การดำเนินการลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรก โดยเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2551 ซึ่งสำนักงานกฤษฎีกาก็มีความเห็นว่าสามารถทำได้ เนื่องจากเป็นภารกิจเร่งด่วน และการแถลงต่อ UNGA เป็นการสะท้อนท่าทีและจุดยืนของประเทศ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลโดยตรง
เลขาธิการนายกฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ประเทศไทยเสียโอกาสบนเวทีระหว่างประเทศ และการตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะปกป้องผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติ โดยดำเนินการทั้งหมดภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด