xs
xsm
sm
md
lg

ชวนเช็ค “ความจริง” ก่อนเชื่อก่อนแชร์ ในโอกาสวันข่าวโลก 2568

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในยุคที่ปลายนิ้วของเราสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลจากทุกมุมโลกได้ในเสี้ยววินาที ดาบสองคมแห่งเทคโนโลยีก็ได้เปิดประตูให้ "มลพิษทางข้อมูล" ไหลบ่าเข้ามาในชีวิตประจำวันได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วันที่ 28 กันยายน ซึ่งเป็น วันข่าวโลก (World News Day) จึงไม่ใช่เป็นเพียงวันครบรอบแต่เป็นวันแห่งการปลุกมโนธรรม และเรียกร้องให้ทุกคนกลับมายืนหยัดเพื่อสิ่งที่เป็นแก่นแท้ที่สุด นั่นคือ "ความจริง"
ทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับสมรภูมิที่ศัตรูไร้ตัวตนแต่กลับทรงพลังอำนาจทำลายล้างสูง และมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งข้อมูลที่ผิดพลาด (Misinformation) ที่เราอาจส่งต่อให้เพื่อนในกรุ๊ปไลน์ด้วยความปรารถนาดีโดยไม่รู้ว่ามันคือเรื่องเก่าหรือเรื่องเท็จ, ข่าวบิดเบือน (Disinformation) ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีเจตนาและมีวาระซ่อนเร้น เพื่อทำลายชื่อเสียงใครบางคน หรือเพื่อปลุกปั่นให้สังคมแตกแยก และที่แนบเนียนที่สุดคือ ข้อมูลที่ประสงค์ร้าย (Mal-information) ซึ่งเป็นการนำความจริงเพียงเสี้ยวเดียวมาขยายความในบริบทที่บิดเบือน เพื่อใช้เป็นอาวุธโจมตีเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้ได้กัดกร่อน ความเชื่อมั่นในข่าว (Trust in News) และทำให้เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความเท็จเลือนรางลงทุกขณะ
เมื่อ “ความเท็จ” กลายเป็นอาวุธทำลายล้าง
ความน่ากลัวของข้อมูลเท็จได้ปรากฏชัดในคดีฟ้องร้องครั้งประวัติศาสตร์คดีหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพชื่อดังที่ก่อตั้งโดยผู้ประกอบการหญิงคนหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามได้ใช้เทคโนโลยี AI สร้างวิดีโอ "Deepfake" ที่มีความสมจริง โดยนำใบหน้าและเสียงของเธอไปสวมทับกับนักแสดง แล้วสร้างบทพูดที่เต็มไปด้วยถ้อยคำแสดงความเกลียดชังและเหยียดหยามกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ วีดีโอดังกล่าวถูกปล่อยสู่โลกโซเชียลมีเดีย และกลายเป็นไวรัล กระแสความโกรธแค้นจากสังคมปะทุขึ้น เกิดเป็นแฮชแท็กเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าของเธอ ชื่อเสียงที่เธอสั่งสมมาตลอดทศวรรษพังทลายลงในชั่วข้ามคืน เธอและครอบครัวต้องเผชิญกับการคุกคามในทุกรูปแบบ ชีวิตกลายเป็นฝันร้ายที่เกิดจากเรื่องโกหกทั้งเพ เธอตัดสินใจลุกขึ้นสู้และใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อปกป้องความจริง รวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องร้องผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ในข้อหาหมิ่นประมาทและการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ การต่อสู้ในชั้นศาลเป็นไปอย่างยาวนาน แต่ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยมีความผิดและต้องชดใช้ค่าเสียหายมหาศาล
ในประเทศไทยก็มีกรณีศึกษาของคนดังที่ฟ้องร้องและชนะคดีหมิ่นประมาทจากการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์มากมายเช่นกัน อย่าง สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข ที่ถูกครูสอนดำน้ำโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้ชื่อเสียงและธุรกิจดำน้ำของเธอได้รับความเสียหาย โดยศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริงตามฟ้อง และได้สั่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ชำระค่าปรับตามกฎหมาย (เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดครั้งแรกจึงให้รอลงอาญา) ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน 3 วันติดต่อกัน และ ลบข้อความหมิ่นประมาททั้งหมด นับเป็นการฟ้องร้องเพื่อปกป้องชื่อเสียงและธุรกิจ จากการโพสต์ข้อความใส่ความบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยสร้างบรรทัดฐานให้สังคมออนไลน์มีสติในการแสดงความคิดเห็น
หรือ กรณี ดีเจมะตูม ที่ถูกชาวเน็ตรายหนึ่งไลฟ์สดกล่าวหาว่าโกงเงินเป็นจำนวน 100,000 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง และทำให้แม่ของเขาต้องเสียใจ จึงฟ้องดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ผลคือดีเจมะตูมชนะคดี โดยทั้งสองฝ่ายมีการไกล่เกลี่ยกัน และคู่กรณีได้ยกมือไหว้ขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมยอมชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาทตามที่เรียกร้อง โดยดีเจมะตูมต้องการให้เงินนี้เป็น "ค่าน้ำตาแม่" และเน้นที่การสร้างจิตสำนึกให้เป็นกรณีตัวอย่างว่า ไม่สามารถใช้ข้อมูลเท็จในการทำลายชื่อเสียงใครก็ได้ตามอำเภอใจ
ท่ามกลางม่านหมอกของข้อมูลเท็จสื่อที่รับผิดชอบและมีคุณภาพ จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างนำทาง สิ่งที่ทำให้ข่าวจากสื่อหลักน่าเชื่อถือ แตกต่างจากการเสพข้อมูลตามฟีดคือ "กระบวนการ" เบื้องหลังที่เข้มข้น ทุกข่าวต้องผ่านการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checked), ได้รับการยืนยัน (Verified) จากแหล่งข่าวที่หลากหลาย, การถ่วงดุลข้อมูล และการนำเสนออย่างมีจรรยาบรรณ นี่คือสิ่งที่อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อ "สร้างการมีส่วนร่วม" ไม่สามารถให้ความสำคัญได้เท่ากับ "ความถูกต้อง"
Cofact : พลังพลเมืองสู้ข่าวลวงในบริบทไทย
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้กับข้อมูลเท็จไม่ใช่ภาระของสื่อมวลชนเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน ในประเทศไทยเองก็มีความพยายามในการสร้างเกราะป้องกันข้อมูลเท็จในระดับภาคประชาชนที่สำคัญอย่าง โคแฟค (Cofact) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
Cofact เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งองค์กรสื่อ นักวิชาการ และภาคประชาสังคม โดยมีหัวใจสำคัญคือการ "ร่วมกันตรวจสอบ" เมื่อพบเห็นข้อมูลที่น่าสงสัย ไม่ว่าจะเป็นข้อความในไลน์, โพสต์ในโซเชียลมีเดีย หรือข่าวที่ดูไม่น่าเชื่อถือ ประชาชนสามารถส่งเรื่องดังกล่าวเข้าไปในระบบของ Cofact ได้ทั้งผ่านทางเว็บไซต์และ LINE Official Account จากนั้นเครือข่ายผู้ตรวจสอบมืออาชีพและอาสาสมัครจะช่วยกันค้นหาความจริงและแจ้งผลกลับมา
กลไกนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวง แต่ยังเป็นการสร้างพลังให้แก่พลเมืองทุกคน เปลี่ยนจากผู้รับสารที่อาจตกเป็นเหยื่อ ให้กลายเป็นผู้ตรวจสอบที่เข้มแข็งและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารที่ดี นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า การต่อสู้กับข้อมูลเท็จไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของพวกเราทุกคน เพื่อลดโอกาสการเป็นเหยื่อของความเท็จด้วยมือของเราเอง
มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) นักข่าวรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ได้กล่าวว่า "ความเที่ยงตรงของข้อมูลคือหัวใจของสมรภูมิทั้งปวง" ซึ่งหมายความว่า หากสังคมของเราไม่สามารถตกลงบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงร่วมกันได้ เราก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสาธารณสุข ปัญหาเศรษฐกิจ หรือความขัดแย้งทางการเมือง
ในวันข่าวโลก 2568 นี้ จึงไม่ใช่หน้าที่ของสื่อมวลชนเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของประชาชนทุกคนที่จะต้อง ยึดมั่นในหลักการ และร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม การคลิกไลก์, การแชร์ หรือการแสดงความคิดเห็น คือการลงคะแนนเลือกอนาคตของภูมิทัศน์สื่อที่ควรจะเป็น


กำลังโหลดความคิดเห็น