แม่ทัพภาคที่ 1 เยี่ยมหน่วยปฏิบัติการชายแดนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ โวยผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจยรับข้อตกลงผู้ว่าฯ สระแก้วแต่กลับไปให้ท้ายมวลชนมายั่วยุแบบนี้จะคุยรู้เรื่องอย่างไร ลั่นหากเลยเส้นตาย 10 ต.ค.ยังมีเสนอแผนอพยพพ้นบ้านหนองจาน ทภ.1 พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งหน่วยเหนือ ย้ำพื้นที่อธิปไตยไทยหลักเขตที่ 42-46 ต้องได้คืน
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยปฏิบัติการชายแดน ณ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
โดยแม่ทัพภาคที่ 1 ได้รับฟังบรรยายสถานการณ์จาก พลตรี เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และแผนรองรับสถานการณ์จาก นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และ พลตำรวจตรี ถาวร ดุลยวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว
จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 1 ได้พบปะกำลังพลและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ณ ลานหน้ากองบังคับการ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 12, กำลังประจำถิ่น (ชค.ทพ.12, ชค.ทพ.13, ชค.ตชด.12), ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วและกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 (ประกอบกำลังเป็นกองร้อยควบคุมฝูงชน), กองอาสารักษาดินแดน (อส.), ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว (สสจ.สระแก้ว)
พร้อมกล่าวให้กำลังใจ แนวทางในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งขอบคุณในความเสียสละของทุกภาคส่วนในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตย การดูแลความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน และการดูแลประชาชนชาวไทยที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ และได้มอบของแก่เจ้าหน้าที่เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงานต่อไป
พล.ท.อมฤตให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ในพื้นที่บ้านหนองจาน และหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ว่า พื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 มีความซับซ้อน แตกต่างจากพื้นที่อื่น อย่างไรก็ตาม เราพยายามรักษาพื้นที่ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ผ่านมาการทำงานของกองทัพภาคที่ 1 อยู่ในรูปแบบการวางแผนอำนวยการสถานการณ์และการประสานงานคู่ขนานในหลายมิติ โดยยึดถือกรอบของคณะกรรมการทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) เพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลง นโยบายและการปฏิบัติในระดับนโยบาย
พล.ท.อมฤตกล่าวอีกว่า ส่วนการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนซึ่งทางกัมพูชายอมรับ แต่ขอนำไปหารือในเวทีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะเป็นโมเดลในการนำไปสู่พื้นที่อื่นๆ ขอย้ำว่ากองทัพภาคที่ 1 ให้ความสำคัญในการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนเป็นหลักและเป็นเรื่องเร่งด่วน
สำหรับเรื่องการควบคุมสถานการณ์นั้น ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพาเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมระดมทุกภาคส่วน รวมถึงกองร้อยควบคุมฝูงชนและกำลังทหารโดยการบูรณาการร่วมกันเพื่อยกระดับพัฒนาสถานการณ์ โดยการปฏิบัติเราจะยึดถือหลักมาตรฐานสากลจากเบาไปหาหนัก
"ในเมื่อเขาใช้มวลชนในการยั่วยุ ก็ต้องใช้การปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อไม่ให้กัมพูชานำไปบิดเบือนในเวทีโลก ทุกอย่างได้กำหนดเป็นขั้นเป็นตอน สอดคล้องกับกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม" พล.ท.อมฤตกล่าว
แม่ทัพภาคที่ 1 ย้ำว่า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประสานกับฝ่ายตำรวจในการขอสนับสนุนทั้งกำลังพล รวมถึงรถฉีดน้ำจีโน่ เพื่อเสริมสร้างความพร้อม และในวันนี้ได้มีการประชุมหารือเพื่อเสนอแผน เพื่อให้การดำเนินการประสานงานสอดคล้องในทุกด้าน ตนได้ให้แนวทางเพิ่มเติมโดยเฉพาะสิ่งสำคัญคือการให้การสนับสนุนด้านต่างๆ โดยเฉพาะการสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่สร้างความปลอดภัยให้แก่กำลังพลในการปฏิบัติหน้าที่ มีอุปกรณ์พิเศษที่รองรับในสถานการณ์ปัจจุบัน ขอให้มั่นใจว่ากองทัพภาคที่ 1 มีการเตรียมพร้อม และวางแผนอย่างรอบคอบในทุกมิติ ขอให้ประชาชนได้มั่นใจ
ส่วนการเลื่อนประชุมอาร์บีซี เนื่องจากข้อมูลต่างๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่เสร็จสมบูรณ์ อาจทำให้การประชุมไม่เรียบร้อย ซึ่งขณะนี้ได้มีการเร่งดำเนินการทำข้อมูลให้ครบถ้วน เพื่อให้มีการประชุมโดยเร็วเพื่อให้ทันกรอบการประชุมจีบีซี
ส่วนกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ขีดเส้นภายหลังวันที่ 10 ตุลาคมจะบังคับใช้กฎหมายกับคนกัมพูชานั้น พล.ท.อมฤต กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วได้ชี้แจง คือให้ทางกัมพูชาส่งแผนการอพยพคน หากไม่มีการส่งแผนก็จะรายงานไปทางหน่วยเหนือ ตั้งแต่ระดับกองทัพบก กระทรวงกลาโหม และรัฐบาลเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการปฏิบัติ ย้ำว่ากองทัพภาคที่ 1 พร้อมในทุกส่วนอยู่แล้ว
พล.ท.อมฤตกล่าวต่อว่า ในส่วนของพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นงานด้านการข่าว แต่วิธีการของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งจะแตกต่างจากทางกองทัพภาคที่ 2 ใช้กำลังทหารปฏิบัติในการยั่วยุ ส่วนในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 จะเห็นแล้วว่าทางกัมพูชาจะใช้วิธีการอย่างไร ดังนั้นการดำเนินการจะต้องรอบคอบ ขอย้ำว่าเราจะต้องไม่ตกอยู่ในเกมกัมพูชา ต้องดึงเขาให้มาอยู่ในเกมของเรา ซึ่งจะเห็นได้ว่ากัมพูชาพยายามจะเบี่ยงเบนและสร้างภาพต่างๆ แต่เรารู้ว่าเขาสร้างข้อมูลเท็จ เช่น ให้ส่วนอื่นมาแต่งตัวเป็นพระ นำเด็ก สตรี มายั่วยุ หรือแม้แต่ข้อตกลงที่ผู้ว่าฯ จังหวัดสระแก้วเสนอไป แต่ถึงเวลาผู้ว่าราชการบันเตียเมียนเจย กลับไปให้ท้าย แล้วจะคุยกันรู้เรื่องอย่างไร ทุกอย่างก็จะพัฒนาตามระดับ ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนได้ทุกรูปแบบ
“ยืนยันว่าในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทยตั้งแต่หลักเขตที่ 42 หนองหญ้าแก้ว ถึงหลักเขตที่ 46 เราจะได้อธิปไตยคืนมาแน่นอนเพียงแต่ว่าต้องมีกระบวนการ ทหารฝ่ายเดียวคงทำไม่ได้ ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกัน ซึ่งมองว่านี่คือความแน่นแฟ้น” พล.ท.อมฤตกล่าว