เพจ “ตุ๊ดส์review” วิเคราะห์การนำเสนอข่าวชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้หลายสำนักสื่อใช้กลยุทธ์เดียวกับคดี “ลุงพล” เน้นสร้างอรรถรสและเรตติ้งมากกว่าข้อเท็จจริง จนก่อให้เกิดกระแสความเกลียดชังและกระทบสุขภาพจิต แนะประชาชนมี “ความรู้เท่าทันสื่อ” และเลือกปิดรับข่าวที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิต
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. เพจ “ตุ๊ดส์review” ออกมาโพสต์ข้อความวิเคราะห์ว่าสื่อไทยหลายสำนักกำลังใช้กลยุทธ์การนำเสนอข่าวความขัดแย้งชายแดน #ไทย-กัมพูชา ในลักษณะเดียวกับที่เคยทำสำเร็จในคดี "ลุงพล" โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "อรรถรส" ดึงดูดผู้ชมและเพิ่มเรตติ้ง แต่ส่งผลเสียในระยะยาว ทางผู้โพสต์เรียกร้องให้ประชาชนมี "ความรู้เท่าทันสื่อ" รู้จักตั้งคำถามกับการนำเสนอข่าว และเลือกที่จะ "ปิดรับ" สื่อที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของตนเอง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ทางผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า
"กลยุทธ์ที่สื่อไทยหลายสำนักใช้กับข่าว #ไทย-กัมพูชา เป็นวิธีการเดียวกับข่าว "ลุงพล"
1) วิชา Media สมัยผมเรียนนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และความรู้จากเรื่องจิตวิทยาการสื่อสารที่ผมสอนหนังสืออบรม มันชี้ว่าบ้านเรารายงานข่าวชายแดนแบบไม่ปกติ สิ่งที่ผมเห็นแบบชัดๆ จากสถานการณ์ปัญหา #ชายแดนไทย-กัมพูชา ผมพบปรากฏการณ์สื่อช่องเดิมๆ ช่องเดียวกับช่วงที่ Brainwash คนไทยตอนข่าวลุงพล แต่เแค่เปลี่ยนเป้าหมาย และอารมณ์ร่วมที่สื่อต้องการนำเสนอ
2) เรารู้ว่ามันเป็นกลยุทธ์การโน้มน้าวให้การเสพสื่อมี "อรรถรส" น่าติดตาม เป็นผลประโยชน์ต่อ Rating, การซื้อโฆษณา และความสำเร็จของการทำข่าว ที่ทำให้คนเกิดความสนใจได้ แต่ปัญหาที่ตามมามีมากกว่านั้น
3) ตั้งแต่ยุค News Report สู่ News Storytelling เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เปลี่ยนผ่านวิธีการนำเสนอข่าว ก็เปลี่ยนมุมมองการเล่าข่าวที่ใส่อารมณ์และความคิดของนักข่าวเข้าไป ไม่ใช่แค่เนื้อหาสาระ บ้างก็เป็นการวิเคราะห์ บ้างก็ไม่ใช่ เป็นเพียงการสาดสีเทอารมณ์ให้คนคล้อยตาม
4) เอาจริงๆ ต่อให้ไม่อ่านข่าวลักษณะนี้ คนไทยสามารถเข้าใจสถานการณ์ชายแดนตามปกติ อย่างถูกต้องได้เลยว่า ชาวบ้านบริเวณชายแดนเจอปัญหาอะไร คนกัมพูชาทำอะไรบ้าง และทหารไทยสู้กับอะไร แต่ "วิธีการเล่า คือปัญหา" และสิ่งที่คนไทยต้องมีให้มากขึ้นคือ ความรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)
5) ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ หรือเด็ก แต่ทุกๆ คนที่ใช้เวลาดูข่าวกัมพูชา ลองสังเกตการให้ Airtime ยาวนานมาก และเป็นข่าวเดิมข้อมูลเดิมซ้ำๆ แต่ใช้วิธีการเล่าวน เพิ่มการวิเคราะห์ที่ไม่ได้มีหลักการอะไรเพิ่ม แค่ตีความจากสถานการณ์เพื่อเข้าข้างเรา และโจมตีเขา เล่าเชิงอารมณ์ด้วยข้อความรุนแรง
6) เอาจริงๆ ไม่ต้องโจมตีอะไรเขาเพิ่มก็ยังได้เลย เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าอะไรผิด อะไรถูก เขาผิดตรงไหน ผู้เสพสื่อไม่ได้เขลา แต่การใส่ความเกลียดชังเข้าไป สร้างอารมณ์ร่วมของความเป็นพวกเดียวกัน กลุ่มก้อนของความรักชาติได้ดี ตอกย้ำซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ทำให้เรามองกัมพูชาเป็นพลเมืองชั้นล่าง ที่ต่ำกว่าเรา ความเป็นคนน้อยกว่าเรา และสื่อกำลังสร้างสังคมที่อนุญาตให้การดูถูกคนเป็นเรื่องปกติ
7) จริงๆ แล้วทหารแค่กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง เหมือนกับอาชีพอื่น หมอ พยาบาล ครู นักร้อง ทุกคน "ทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นปกติ ตามบทบาททางอาชีพ" ของชีวิตเขา แต่แค่มันถูก Spotlight และยกย่องให้เห็นความสำคัญสูงสุด ในช่วงเวลาของการกระตุ้นชาตินิยมแบบนี้ มันคือการกล่อมเกลาสร้างภาพของความสูงส่งทางอาชีพ ทั้งๆ ที่ทุกคนลำบากกันคนละแบบ ดิ้นรน และต่อสู้กันคนละอย่าง ทุกคนในสังคม และทุกอาชีพ "ล้วนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ" ที่สนับสนุนช่วยเหลือ ส่งเสริมให้ประเทศก้าวหน้าต่อไปได้ทั้งนั้น แต่เรากำลังมอบความพิเศษของเนื้อหานี้บนสื่อมวลชนบางสำนัก "ทุกวัน วันละหลายชั่วโมง" จริงๆ แล้วทุกอาชีพสำคัญคนละแบบเท่านั้น ไม่ได้มีใครที่สูงส่งหรือพิเศษกว่า
8 ) กัมพูชาเป็นประเทศที่ประชาชนมีปัญหาโอกาสและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจริงนะครับ คนบ้านเขาจึงถูกพัดพาโดยผู้นำ และการใช้สื่อที่ไม่ได้ให้สติปัญญากับประชาชน ล้างสมองประชาชนของเขา และไม่ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของบ้านเขาได้ แต่ถ้าเราหันมามอง "สื่อ" ที่กล่อมเกลาคนไทย ณ ตอนนี้ เราอาจจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่สูงกว่าเขาอย่างที่เราคิดก็ได้ ในเมื่อเราก็ไม่ได้รับข่าวสารที่สร้างสติปัญญา และความรู้คิดให้คนไทยเช่นกัน
9) สิ่งที่ตามมาคือ ความโกรธเกลียดที่ทำลายสุขภาพจิตอันเป็นปกติของคนไทย วันๆ หนึ่งเสพเรื่องราวที่ย่ำแย่ และตอกย้ำปัญหาแบบดรามาบนละครข่าว คนยิ่งอินหนัก ยิ่งติดตาม ยิ่งตกไปอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ไม่เป็นปกติ ราวกับกำลังถูกสื่อครอบงำความคิดอยู่ตลอดเวลา บางคนไม่รู้ตัว ก็หลงไปอยู่ในความโกรธเกลียด ชอบเสพ และติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเพียงข่าวสำคัญข่าวหนึ่ง แต่ปัจจุบันเสพติดราวกับเป็นเมนูอาหารจานหลักที่ต้องเปิดดูเพื่อความสะใจ เพื่อการตอบสนองทางอารมณ์
10) สื่ออาจจะอ้างก็ได้ว่า ทำแบบนี้ เล่าสนุกแบบนี้ เพราะคนกำลังให้ความสนใจสิ่งนี้ ไม่ต่างจากตอนลุงพลเลย แต่จริงๆ แค่รายงานสถานการณ์แบบ 100% ก็ได้ แต่สิ่งที่กำลังทำ คือการยั่วยุทางอารมณ์ เกินจำเป็น ให้คนเสพติดการติดตาม ถ้าไม่ได้ให้คุณค่าข่าวแบบผิดทางขนาดนี้ คนไม่มีทางอินจัดขนาดนี้ สื่อโทษคนดูไม่ได้ คุณควรเป็นต้นทางในการกำหนดวาระ (Agenda Setting) และกรองสาระผ่านประตู (Gate Keeping) ว่าอะไรคือ "ขอบเขต" ของสาระที่ดี? พอมันปั่นเกินกว่าขอบเขต ข่าวแบบลุงพลก็จะเกิดขึ้นซ้ำๆ วนเวียนครอบงำประชาชน ไม่รู้จักจบสิ้น
เอาตอนนี้เลย ลองเปิดทีวี เจอเลยครับกำลังรายงานบรรยายสถานการณ์ละเอียดมาก (ค่อนข้าง Real Time มากๆ) ราวกับอยากให้คนอินเหมือนอยู่ตรงนั้น ไปเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์นั้น ถ้าหวังดีกับประชาชน อยากให้คนดูมีสติปัญญานำอารมณ์ คุณจะทำข่าวแบบนี้ทำไม?
หวังว่าคุณจะใช้สติปัญญาในการเสพ และรู้เท่าทันสื่อ อันไหนไม่ work ต่อสุขภาพจิต "ปิดรับทันที" แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นเอง"