ในสังคมที่สิทธิในการแสดงความคิดเห็นถือเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย ปัญหาที่ท้าทายคือการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ปรากฏการณ์เช่นนี้รู้จักกันในนาม SLAPP หรือ Strategic Lawsuit Against Public Participation ซึ่งหมายถึงการฟ้องร้องที่ไม่ได้มุ่งหวังผลทางคดีอย่างแท้จริง หากแต่มีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้ถูกฟ้องเสียเวลา ทรัพยากร และกำลังใจ จนต้องยุติบทบาทในกิจกรรมสาธารณะ
การดำเนินคดีลักษณะนี้มักเกิดขึ้นเมื่อองค์กรหรือบุคคลที่มีอำนาจมากกว่าใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกดดันผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรม ภาคประชาสังคม หรือประชาชนทั่วไป การประท้วง การเปิดโปงข้อมูล หรือการตั้งคำถามต่อการใช้อำนาจรัฐและเอกชน ล้วนเสี่ยงถูกตีความว่าเป็นเหตุแห่งการฟ้องร้อง ทั้งที่เจตนาที่แท้จริงคือการปิดปากสาธารณะ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ กรณีที่บริษัทเหมืองแร่ฟ้องกลุ่ม “ขอนรักษ์บ้านเกิด” ที่ออกมาต่อต้านโครงการเหมืองโพแทชในจังหวัดชัยภูมิ โดยเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาล แม้ท้ายที่สุดศาลจะพิพากษายกฟ้องและถือว่าการกระทำของชาวบ้านเป็นการใช้สิทธิร่วมกันเพื่อประโยชน์สาธารณะ กรณีนี้ถูกยกเป็นตัวอย่างคลาสสิกของ SLAPP ในไทย อีกกรณีหนึ่งคือคดีที่ Real Madrid ฟ้องหนังสือพิมพ์ Le Monde ในฝรั่งเศส จากการรายงานข่าวเกี่ยวกับการใช้สารกระตุ้นของนักฟุตบอล ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการฟ้องเพื่อปิดปากสื่อมากกว่าจะมุ่งหวังผลชนะคดี
ประเทศไทยยังมิได้มีกฎหมายเฉพาะที่บัญญัติรองรับการป้องกัน SLAPP อย่างตรงไปตรงมา ปัจจุบันคดีที่มีลักษณะใกล้เคียงยังอยู่ภายใต้บทบัญญัติว่าด้วยกฎหมายแพ่ง การหมิ่นประมาท หรือสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ขาดมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการฟ้องร้องเชิงกลยุทธ์เช่นนี้ ทำให้เกิดข้อเสนอในแวดวงวิชาการและภาคสังคม ว่าควรมีกรอบกฎหมายที่ปกป้องประชาชนจากการถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ดี มิใช่ว่าการฟ้องร้องทุกคดีจะเข้าข่าย SLAPP การพิจารณาต้องอาศัยทั้งเจตนาของผู้ฟ้อง ลักษณะข้อเท็จจริง และสัดส่วนของค่าเสียหายที่เรียกร้อง ตัวอย่างเช่น หากการฟ้องร้องเกิดจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือผลประโยชน์โดยตรง การดำเนินคดีเช่นนี้ถือเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต มิใช่ SLAPP
เพื่อเปรียบเทียบให้ชัดเจน เราอาจพิจารณากรณีหมิ่นประมาทที่ถือเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายอย่างถูกต้อง เช่น คดีที่บริษัท ธรรมเกษตร ฟ้องนักสิทธิมนุษยชนหลายรายจากการเผยแพร่ข้อมูลที่บริษัทเห็นว่าเป็นการใส่ร้ายชื่อเสียง แม้ท้ายที่สุดหลายคดีถูกศาลยกฟ้องแต่ก็เป็นการดำเนินการภายใต้สิทธิของผู้เสียหาย ไม่ใช่ SLAPP หรือคดีปลาหมอคางดำ ที่ภาคเอกชนแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกับภาคประชาสังคม จากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับต้นตอการระบาดของปลาหมอคางดำ การฟ้องหมิ่นประมาทครั้งนี้จึงเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงบริษัท ไม่ถือเป็น SLAPP
สิ่งสำคัญคือการแยกแยะให้ชัดเจน ระหว่าง การใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต กับ การฟ้องร้องเพื่อปิดปาก เพราะหากนำคำว่า SLAPP มาใช้โดยปราศจากหลักฐาน ย่อมก่อให้เกิดผลเสียหลายประการ ทั้งการลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหา การสร้างความสับสนแก่กระบวนการยุติธรรม ตลอดจนการทำให้บุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิจริงลังเลที่จะใช้สิทธิปกป้องตนเอง อันอาจส่งผลย้อนกลับต่อหลักนิติธรรมในภาพรวม
จากมุมมองทางกฎหมาย การกล่าวหาว่าคดีใดเป็น SLAPP จึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นบริบททางสังคม เจตนาของคู่ความ ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏ การตีความโดยเลินเล่อย่อมบั่นทอนทั้งสิทธิของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิของบุคคลในการคุ้มครองชื่อเสียงและเกียรติยศ
ท้ายที่สุด เสรีภาพในการแสดงความเห็นต้องดำรงอยู่คู่กับความรับผิดชอบต่อข้อมูลที่เผยแพร่ การวิพากษ์วิจารณ์ที่ตั้งอยู่บนความจริงและสุจริตใจย่อมได้รับการคุ้มครองตามหลักประชาธิปไตย แต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือใช้ข้อมูลเท็จเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเปิดช่องให้เกิดการฟ้องร้องโดยชอบธรรม และไม่อาจนำมาปะปนกับแนวคิดเรื่อง SLAPP ได้
กล่าวโดยสรุป การถกเถียงเรื่อง SLAPP จึงไม่ใช่เพียงการปกป้องสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น หากยังหมายถึงการรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพสาธารณะกับสิทธิส่วนบุคคล เมื่อการใช้สิทธิเสรีภาพตั้งอยู่บนความจริง ย่อมเป็นพลังตรวจสอบอำนาจที่สร้างสรรค์ แต่เมื่อสิทธินั้นถูกใช้โดยปราศจากความรับผิดชอบ กฎหมายก็มีหน้าที่ต้องเข้ามาคุ้มครองผู้เสียหาย นี่คือหัวใจของการแยกแยะว่าอะไรคือ SLAPP และอะไรคือการฟ้องร้องโดยสุจริต