งานเขียนโดย วิชญ์ พงศ์เจริญ
ปัจจุบันการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนกลายเป็นหัวใจสำคัญของประชาธิปไตย และภาคประชาสังคมมีบทบาทในการตรวจสอบอำนาจรัฐและทุนขนาดใหญ่ สิ่งที่ควรได้รับการปกป้อง คือ “สิทธิในการมีส่วนร่วม” ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ หรือการเสนอข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ
ทว่า ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) ได้กลายเป็นเงามืดที่บดบังเสรีภาพเหล่านั้น และในขณะเดียวกัน คำว่า “SLAPP” ก็กำลังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนกลายเป็นดาบสองคมที่ทำลายทั้งสิทธิเสรีภาพ และความชอบธรรมในกระบวนการยุติธรรม
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือ การมองว่าทุกคดีที่บริษัทฟ้องเอ็นจีโอ นักกิจกรรม หรือนักข่าว ล้วนเป็น SLAPP ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดและอันตราย เพราะอาจนำไปสู่การลดทอนความชอบธรรมในการฟ้องร้อง เพื่อปกป้องสิทธิของฝ่ายที่ถูกกล่าวหา เมื่อมองย้อนกลับไปในหลักกฎหมายเบื้องต้น สิทธิในการฟ้องร้องเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลและนิติบุคคลตามรัฐธรรมนูญ หากมีเหตุให้เห็นว่า ถูกละเมิด ทั้งจากการหมิ่นประมาท การใส่ร้าย หรือเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ การใช้สิทธิทางกฎหมายในกรณีนี้ไม่อาจถือว่า เป็น SLAPP หากมีเจตนาอันชอบธรรมและมีพยานหลักฐานรองรับ
SLAPP ไม่ใช่การ “ฟ้องคดีธรรมดา” ที่มีข้อพิพาทโดยสุจริต แต่เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ “เชิงกลยุทธ์” เพื่อ “ทำให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดเคลื่อนไหว” โดยไม่มีเจตนาเพื่อเอาชนะทางเนื้อหาของคดี เป็นการฟ้องเพื่อถ่วงเวลา ให้เกิดภาระทางกฎหมาย ค่าใช้จ่าย และสร้างแรงกดดันเชิงจิตวิทยา ดังนั้น สิ่งที่แยก SLAPP ออกจากคดีทั่วไป คือ “เจตนา” ของผู้ฟ้อง ไม่ใช่แค่ “สถานะของผู้ถูกฟ้อง” และ “ประเด็นที่ถูกร้อง”
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มี “กฎหมายต้าน SLAPP” ที่บัญญัติชัดเจนเหมือนกับ สหรัฐฯ แคนาดา หรือออสเตรเลีย ที่มีบทบัญญัติอนุญาตให้ศาล “ยกฟ้องก่อนพิจารณา” หากเห็นว่าคดีมีลักษณะ SLAPP โดยเฉพาะในไทย แม้รัฐธรรมนูญให้การรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ในทางปฏิบัติ กลไกกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา โดยเฉพาะหมวดความผิดฐานหมิ่นประมาท หรือการละเมิด ยังคงถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันอย่างได้ผล โดยไม่มีกลไกเชิงรุกที่ช่วยกรองว่า คดีใดมีเจตนาเป็น SLAPP
ในเชิงกฎหมาย การพิสูจน์ว่าคดีใดเป็น SLAPP ต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายประการ ไม่ใช่แค่ “ใครฟ้องใคร” หรือ “ใครเป็น NGO” หากแต่ต้องประเมินทั้งบริบท เจตนารมณ์ของการฟ้องร้อง พฤติกรรมก่อน และหลังการฟ้อง การเรียกร้องค่าเสียหายที่ไม่สมเหตุผล หรือการใช้กลไกกฎหมาย เพื่อสกัดการแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะ เช่น กรณีที่นักกิจกรรมถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทจากการแชร์โพสต์วิจารณ์บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แม้ไม่มีหลักฐานว่าข้อมูลที่แชร์เป็นเท็จ และไม่เคยได้รับคำเตือนมาก่อน ก็อาจถูกตีความได้ว่าเข้าข่าย SLAPP
การออกกฎหมายต้าน SLAPP ไม่ใช่เพื่อห้ามไม่ให้ใครฟ้องคดีอีกต่อไป แต่เพื่อให้มีกลไก “คัดกรองเบื้องต้น” ที่ศาลสามารถพิจารณาได้ว่าคดีนั้นมีเจตนาเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมหรือไม่ หากพบว่าเป็น SLAPP ก็อาจยกฟ้องโดยไม่ต้องดำเนินการพิจารณาต่อ และสั่งให้ผู้ฟ้องชดใช้ค่าเสียหาย เช่น ค่าทนายความ หรือเวลาเสียหายของผู้ถูกฟ้อง อย่างไรก็ตาม กลไกนี้ต้องรัดกุม เพื่อไม่ให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือ “กันฟ้อง” ของผู้กระทำผิดจริง
ยกตัวอย่าง คดีข่าว “รันเวย์ร้าว” (ปี 2548-2549) เกิดจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งรายงานว่ารันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิแตกร้าวลึกและเป็นอันตราย ซึ่งขัดแถลงการณ์ของรัฐบาล ทอท.และท่าอากาศยานสากลกรุงเทพฯ จึงฟ้องหมิ่นประมาทและผิด พ.ร.บ.การพิมพ์ ศาลรับฟ้องและพิจารณาคดีต่อในปี 2549 โดยคดีมีการเลื่อนนัดหลายครั้งและจบด้วยการยอมความ ถือเป็นกรณีศึกษาการใช้กฎหมายหมิ่นประมาท เพื่อปกป้องชื่อเสียงองค์กรภาครัฐ
หรือล่าสุด เมื่อเดือนมกราคม 2567 เกิดเหตุการณ์ที่สายการบินแห่งหนึ่งที่ต้องเบี่ยงเส้นทางจากเมลเบิร์นไปลงที่ซิดนีย์ เนื่องจากสภาพหมอกหนาทึบต่ำกว่าเกณฑ์ความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นมาตรฐานปฏิบัติในอุตสาหกรรมการบินสากล ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ผู้โดยสารรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย กล่าวหาแรงว่า “เครื่องไม่มีน้ำมัน” และ “พนักงานโกหก” สร้างกระแสความไม่พอใจและข้อสงสัยต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน
ทางสายการบินจึงตัดสินใจดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหาหมิ่นประมาทและผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยยืนยันว่าการโพสต์ข้อมูลเท็จเช่นนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีขององค์กร พร้อมย้ำว่านี่ไม่ใช่การปิดปากผู้บริโภค แต่เป็นการใช้สิทธิตอบโต้การถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม และจากหลักฐานข้อมูลสภาพอากาศในวันเกิดเหตุยืนยันว่า “หมอกหนา” จริง ขณะเดียวกันก็มีชี้แจงว่า ปริมาณน้ำมันเป็นไปตามข้อกำหนด กัปตันปฏิบัติตามขั้นตอนการบินปลอดภัย ดังนั้น การกล่าวหาของผู้โดยสารจึงไม่มีมูลความจริง ซึ่งตอนนี้คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
ด้วยเหตุนี้ ทางออกระยะยาวของปัญหา SLAPP ไม่ใช่แค่ “ออกกฎหมายใหม่” แต่ต้องอาศัยการเสริมสร้างความรู้ทางกฎหมายแก่ภาคประชาชน รวมถึงการอบรมผู้พิพากษาในการตีความเจตนารมณ์ของคดี และปรับปรุงกระบวนการพิจารณาให้สามารถกรองคดีที่มีลักษณะเป็น SLAPP ได้ตั้งแต่ต้นทาง นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมการสื่อสารอย่างรับผิดชอบในสื่อสาธารณะ ทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อพลเมือง เพื่อไม่ให้ “ข้อมูลเท็จ” กลายเป็นเกราะกำบังของพฤติกรรมไม่ชอบธรรม
SLAPP จึงไม่ใช่คาถาวิเศษที่ใช้ “กันฟ้อง” ได้ทุกกรณี และไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่สามารถป้ายสีคู่ความได้โดยไม่มีหลักฐาน การเข้าใจ SLAPP อย่างถูกต้อง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาสมดุลระหว่างสิทธิในการแสดงออก กับสิทธิในการได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ทั้งสองสิทธินี้ต่างมีที่ยืนในระบอบประชาธิปไตย และต่างต้องอยู่ภายใต้หลักความรับผิดชอบ เพื่อปกป้องสาธารณะ มิใช่ใช้สิทธิเป็นอาวุธทำร้ายกันเอง
หากไม่แยกแยะให้ชัด ก็อาจเผลอเปิดทางให้ทั้ง “คนผิดจริง” หลบอยู่หลังคำว่า SLAPP และในทางกลับกัน อาจทำให้ “ผู้บริสุทธิ์” ไม่กล้าใช้สิทธิทางกฎหมายปกป้องตนเองอย่างชอบธรรม...