xs
xsm
sm
md
lg

ด่วนที่สุด! โครงการสุดท้ายสำหรับแม่ทัพภาคที่ 2 ความต้องการ “แอนตี้โดรน 99 ระบบ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อ.ปานเทพ” เผยแม่ทัพภาคที่ 2 มีหนังสือแจ้งความต้องการแอนตี้โดรนอีก 99 ระบบเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกัมพูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงพร้อมเป็นสะพานบุญรับบริจาคเพิ่มเติมเพื่อจัดหาระบบแอนตี้โดรนตามจำนวนดังกล่าว เป็นโครงการสุดท้ายก่อน “แม่ทัพกุ้ง” เกษียณอายุราชการ

วันนี้ (2 ก.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ว่า หลังจากการที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ทำงานกับกองทัพภาคที่ 2 โดยเฉพาะกับ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 โดยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ทำโครงการโดรนทิ้งระเบิด โดรนลาดตระเวน โดรนโลเกเตอร์ และแอนตี้โดรน โดยเป็น “สะพานบุญ” ให้พี่น้องประชาชนที่บริจาคเงิน ร่วมกับผู้ผลิตที่มีความรู้ในด้านการผลิตโดรนและแอนตี้โดรนฝีมือคนไทยที่มีประสิทธิภาพและราคาไม่แพงแต่ไม่เปิดเผยตัว ได้มาทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ต่ออธิปไตยของชาติและความปลอดภัยในชีวิตทหาร ดังที่ทราบแล้วนั้น

สำหรับโครงการเกือบสุดท้ายที่แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ลงนามเป็นเอกสารกับทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินในการที่จะสั่งทำโดรนชนิดพิเศษและแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นความลับทางราชการที่ยังไม่อาจจะเปิดเผยได้จนกว่าจะส่งมอบหรือลงปฏิบัติการ จากจำนวนเงินของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่เหลืออยู่ประมาณ 52 ล้านบาท


อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้เร่งมอบโดรนทิ้งระเบิดให้อีก 41 ลำ โดรนลาดตระเวน 20 ลำ และแอนตี้โดรนแบบพกพา (ระบบต่อต้านโดรน) จำนวน 20 ระบบ ทั้งหมดนี้ทำโดยคนไทย และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของฝ่ายตรงข้าม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาหยุดยิงที่ผ่านมา กัมพูชานอกจากจะมีจำนวนโดรนบินขึ้นมามากรุกล้ำน่านฟ้าไทยในจุดต่างๆ ที่มีความสำคัญแล้ว ยังมีระบบแอนตี้โดรนที่กำลังส่งแรงสูงตลอดแนวชายแดนอย่างผิดหูผิดตาด้วย อีกทั้งปรากฏเป็นคลิปวิดีโอว่ากัมพูชาเริ่มมีการฝึกนักบินโดรนสำหรับทิ้งระเบิดแล้วเช่นเดียวกัน

นั่นแสดงว่าหากเกิดการปะทะอีกครั้งหลังจากนี้ แม้ฝ่ายไทยจะไม่แพ้ แต่อาจจะมีความเสี่ยงที่ทหารในฝั่งกัมพูชาจะสร้างความเสียหายให้ประเทศไทยได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ส่งมอบอุปกรณ์เกี่ยวกับโดรนและแอนตี้โดรนให้กองทัพเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 นั้นได้ปรากฏว่าโดรนของฝั่งกัมพูชาไม่สามารถบินเข้ามาในพื้นที่ในรัศมีการครอบคลุมของระบบแอนตี้โดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ และทำให้โดรนในฝั่งกัมพูชาได้ลดลงไปอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด จนเกือบจะไม่มีข่าวเรื่องโดรนกัมพูชาตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แตกต่างจากระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาที่โดรนในฝั่งกัมพูชาได้บินอยู่เหนือสถานที่สำคัญของกองทัพไทยและสถานที่สำคัญของพลเรือนโดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นเป็นที่ประจักษ์หน้างานจริง ได้สร้างความยินดีและขวัญกำลังใจให้แก&ทหารหาญอย่างมากที่ได้รับแอนตี้โดรนจากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน


อย่างไรก็ตาม ระบบแอนตี้โดรนจำนวน 20 ระบบ (สถานี) ซึ่งมอบไปโดยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบแอนตี้โดรนที่ดีที่สุดและใช้ได้จริงในขณะนี้ แต่ก็มีจำนวนไม่เพียงพอในสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ดี

มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงได้สอบถามทางท่านพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าทางกองทัพภาคที่ 2 ต้องการจำนวนระบบแอนตี้โดรนอีกเท่าไหร่เพื่อให้เพียงพอในการรักษาชีวิตทหาร ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้รวบรวมและแจ้งมาว่าต้องการอีก 99 ระบบจึงจะเพียงพอ หากทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะมีกำลังช่วยสนับสนุนได้

ด้วยเหตุผลนี้ ทางพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 จึงได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ กห 0482/3832 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 แจ้งให้ทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินทราบ 2 เรื่อง คือ

1. กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าระบบแอนตี้โดรนที่ทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินมอบให้ไป 20 ระบบนั้นมีประสิทธิภาพสูง และแก้ปัญหาต่อต้านโดรนฝ่ายตรงกันข้ามได้ดีจริง

2. กองทัพภาคที่ 2 ได้รวบรวมความต้องการของหน่วยในพื้นที่ซึ่งต้องการแอนตี้โดรนที่มีประสิทธิภาพสูงของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน รวมทั้งสิ้น 99 ระบบ (สถานี)

ซึ่งน่าจะเป็นหนังสือจากท่านแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ได้แจ้งโครงการสำคัญนี้ที่อาจเป็นโครงการ 30 วันสุดท้าย ก่อนที่ท่านพลโท บุญสิน พาดกลาง จะเกษียณอายุราชการ

ระบบแอนตี้โดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินนั้นมีมูลค่าระบบละ 2,140,000 บาท ดังนั้นหากจะผลิตจำนวน 99 ระบบ จะต้องใช้งบประมาณอีกจำนวน 211,860,000 ล้านบาท ซึ่งแปลว่ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะต้องเปิดให้มีการระดมทุนอีกครั้งจากพี่น้องประชาชนเพื่อรวบรวมให้กับกองทัพภาคที่ 2 ให้ได้มากที่สุดตามกำลังของพี่น้องประชาชนเท่าที่จะทำได้

ซึ่งนอกจากเราจะอยู่ระหว่างที่รัฐบาลรักษาการแล้ว ต่อให้มีงบประมาณหรือใช้วิธีพิเศษในการเร่งรัดแล้วก็ตาม ยังต้องมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการที่ต้องใช้เวลา 4-6 เดือนกว่าจะได้อุปกรณ์ที่ต้องการ ซึ่งอาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาระหว่างไทย-กัมพูชา

มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงกราบเรียนมาเพื่อแจ้งต่อพี่น้องประชาชนให้ทราบในโครงการดังกล่าว โดยท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมบริจาคโครงการเพื่อจัดซื้อแอนตี้โดรนไทยให้แก่กองทัพภาคที่สอง ได้ที่ บัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 008-2-18199-9 (โปรดระวังมิจฉาชีพ ไม่มีสแกนคิวอาร์โค้ด หรือกดลิงก์บัญชีใดๆ เด็ดขาด)


โดยเงินทุกบาทของทุกท่านจะเปิดเผย  โปร่งใส และมีประสิทธิภาพจริงในการใช้งานเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประชาชนที่สนับสนุนกองทัพในการปกป้องอธิปไตย และทำให้ทหารมีความปลอดภัย อย่างน่าภาคภูมิใจสืบไป

ด้วยจิตคารวะและกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน

2 กันยายน 2568
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1304422604384770&id=100044511276276


กำลังโหลดความคิดเห็น