“อ.ปานเทพ” แจ้งผลการรับบริจาคจัดทำโดรนและแอนตี้โดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินให้กองทัพภาคที่ 2 เกิน 77 ล้านบาทแล้ว จะเซฟทหารได้ดีขึ้นแค่ไหน? และยังเปิดรับบริจาคถึงวันศุกร์เพราะอะไร?
วันนี้(30 ก.ค.) เวลาประมาณ 20.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ว่า แจ้งผลการรับบริจาคจัดทำโดรนและแอนตี้โดรนของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินให้กองทัพภาคที่ 2 เกิน 77 ล้านบาทแล้ว จะเซฟทหารได้ดีขึ้นแค่ไหน? และยังเปิดรับบริจาคถึงวันศุกร์เพราะอะไร?
กราบขอบพระคุณด้วยแรงพลังใจของพี่น้องประชาชนที่ไว้วางใจมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินในการดำเนินการรับบริจาคเพื่อจัดทำโครงการผลิตโดรนทิ้งระเบิดชนิดพิเศษ โดรนลาดตระเวนชนิดพิเศษ และแอนตี้โดรนชนิดพิเศษ ที่ทำโดยฝีมือคนไทยทั้งหมด ทั้งซอฟท์แวร์ คลื่นความถี่ ที่ไม่สามารถดักจับอุปกรณ์ของอริราชศัตรูมาทำร้ายทหารผู้ใช้รีโมทคอนโทรลในการบังคับโดรนได้ ทั้งนี้เพื่อให้จัดหาให้ได้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันกับกองทัพภาคที่ 2 ที่กำลังเผชิญหน้ากับศึกการปะทะโดรนกับประเทศกัมพูชาหรือประเทศอื่นที่อาจจะมาแทรกแซงหลังจากนี้
เป้าประสงค์ของโครงการนี้เพื่อลดการสูญเสียของทหารหาญในการลาดตระเวน และเพิ่มแสนยานุภาพโจมตีเป้าหมายของอริราชศัตรูไม่ให้มาทำร้ายทหารหรือรุกรานแผ่นดินไทยได้
ผลการดำเนินงานตั้งแต่เย็นวันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมาจนถึงวันนี้ สถานการณ์เป็นไปตามที่เราประเมินไว้ 2 ประการ
ประการแรก ฝั่งทหารกัมพูชาใช้โดรนโลเคชั่น ดักสัญญาณทหารไทยที่ใช้รีโมทบังคับวิทยุโดรนลาดตระเวนนำเข้าจากประเทศจีน ทำให้ทหารไทยมีความเสี่ยงถูกโจมตีด้วยระเบิดยิงกลับในตำแหน่งพิกัดบังคับวิทยุ อันจะทำให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อทหารผู้ใช้รีโมทบังคับโดรนของจีน จึงต้องมีการหยุดพักการใช้ชั่วคราวไปจนกว่าจะแก้เกมนี้ได้
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญที่ผลิตโดรนให้กับทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินกำลังเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้กองทัพกับโดรนกลุ่มนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะแก้ปัญหาโจทย์นี้และอาจจะกลับนำมาใช้ได้ในเร็ววันนี้
ในขณะที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ขยายขอบเขตของโครงการนี้ไปสู่การจัดทำโดรนลาดตระเวนโดยฝีมือคนไทยเพิ่มเติม เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและแม่นยำยิ่งกว่าโดรนนำเข้าจากจีน และไม่ถูกดักสัญญาณรีโมทคอนโทรลจากโดรนโลเคชั่นจากฝั่งกัมพูชาอีกด้วย
ประการที่สอง ฝั่งกัมพูชามีการใช้โดรนลาดตระเวนมากขึ้นอย่างผิดสังเกต และพบว่าอาจมีการใช้โดรนกามิกาเซ่นำเข้าจากต่างประเทศในการโจมตีทหารไทยด้วย และอาจจะมีทหารรับจ้างต่างชาติที่ได้ทุนในธุรกิจสีเทาและดำในกัมพูชาร่วมด้วย
ภายหลังจากวิวัฒนาการของสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้มีพี่น้องประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์และยังคงบริจาคเข้ามาถึงวันพุธที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.33 น. ยอดบริจาคจากพี่น้องประชาชนรวมทั้งสิ้นประมาณ 77,565,000 บาท ในเวลาประมาณเกือบ 5 วัน
ทำให้เราดำเนินการสั่งทำอุปกรณ์ดังต่อไปนี้
รายการแรก สร้างโดรนของไทย (อากาศยานไร้คนขับ) ทิ้งระเบิดชนิดพิเศษ จำนวน 50 ลำ มูลค่า 17,655,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ไม่สามารถถูกตรวจจับโดยโดรน โลเคชั่นได้ ซึ่งทางแม่ทัพภาคที่ 2 และรวมถึงทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินสัมภาษณ์ผู้ใช้หน้างานจริงยืนยันว่าใช้งานได้ดีมาก และได้จ่ายเงินเพื่อสั่งทำแล้ว
รายการที่สอง สร้างโดรนของไทย (อากาศยานไร้คนขับ) สำหรับลาดตะเวนระบุพิกัด ภาพมีความละเอียดสูงไม่สามารถถูกตรวจจับโดยโดรน โลเคชั่นได้ ซึ่งจะทำให้ทหารไทยมีความปลอดภัยขึ้นโดยไม่ถูกโจมตีกลับ จำนวน 20 ลำ มูลค่า 13,910,000 (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งได้จ่ายเงินสั่งทำแล้วเช่นกัน
รายการที่สาม แอนตี้โดรนของไทย (ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ) สำหรับการป้องกันโดรนลาดตระเวนและโดรนทิ้งระเบิดจากต่างชาติในอนาคตมีหลายย่านความถี่อาจจะมากที่สุดในโลก และสามารถเพิ่มย่านความถี่ได้ด้วย เพื่อต่อต้านโดรนจากฝั่งกัมพูชาทั้งโดรนลาดตระเวน โดรนทิ้งระเบิดหรือโดรนกามิกาเซ่ จึงจัดทำระบบแอนตี้โดรนให้กับกองทัพภาคที่ 2 เบื้องต้น จำนวน 20 แห่ง มูลค่า 42,800,000 ล้านบาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ครอบคลุมการต้านโดรนของฝั่งกัมพูชาตลอดแนวชายแดนประมาณ 120 กิโลเมตร (ซึ่งอาจจะยังไม่พอ)
รวมมูลค่าในการจัดทำทั้ง 3 รายการทั้งสิ้น 74,365,000 บาท ทำให้มีเงินเหลือจากการบริจากอีกประมาณ 3,200,000 บาท
อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่เราเห็นว่าสิ่งที่กองทัพภาคที่ 2 ยังขาดอยู่คือโดรนโลเคเตอร์ เพื่อทราบพิกัดคนบังคับโดรนลาดตระเวนและโดรนทิ้งระเบิด หรือโดรนกามิกาเซ่จากฝั่งกัมพูชา และเพื่อให้กองทัพภาคที่ 2 สามารถโจมตีกลับในพิกัดของอริราชศัตรูได้ทัน รวมถึงหากมีงบประมาณพออาจจะผลิตโดรนบางประเภทที่ยังไม่อาจเปิดเผยได้ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนจากชาติอื่นที่ไม่ใช่กัมพูชา ซึ่งเราจะประเมินจากเงินบริจาคที่เหลืออยู่ว่าจะทำสิ่งใดที่จำเป็นที่สุด จากสถานการณ์ปัจจุบัน
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นเราจึงจะยังเปิดการรับบริจาคต่อไปจนถึงเวลา 24.00 น.ของคืนวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยหลังจากนี้เงินบริจาคมีเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเสริมความเข้มแข็งและเพิ่มความปลอดภัยให้ทหารได้มากขึ้นตามยอดบริจาค
โดยท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมบริจาคโครงการเพื่อจัดซื้อโดรนพิเศษทิ้งระเบิดของไทย โดรนลาดตะเวนไทย และแอนตี้โดรนไทย ให้กับกองทัพภาคที่สอง ได้ที่
บัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 0082181999 (โปรดระวังมิจฉาชีพ ไม่มีสแกนคิวอาร์โค้ท หรือกดลิงค์บัญชีใดๆเด็ดขาด)
โดยเงินทุกบาทของทุกท่านจะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประชาชนที่สนับสนุนกองทัพกองทัพในการปกป้องอธิปไตย และทำให้ทหารมีความปลอดภัย อย่างน่าภาคภูมิใจสืบไป
ด้วยจิตคารวะและกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
30 กรกฎาคม 2568
เวลาประมาณ 20.00 น.