xs
xsm
sm
md
lg

ชาวนาเขมรโอดครวญราคาข้าวดิ่งหนัก ไม่คุ้มทุน-รายได้ไม่พอจ่าย เตรียมกลับเข้ามาหางานทำในไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สื่อกัมพูชารายงาน ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำอย่างหนักเหลือประมาณ 4.70 บาทต่อ กก. ขณะต้นทุนค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ค่าสูบน้ำสูงขึ้น ชาวนาจำนวนมากประสบปัญหาขาดทุน โดยเฉพาะคนที่ต้องเช่าที่ดินทำนารายได้ไม่พอจ่ายหนี้สิน ต้องหาทางออกด้วยการกลับเข้ามาหางานทำในประเทศไทย

สำนักข่าว Khmer Times รายงานเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ว่า ด้วยราคาข้าวเปลือกที่ต่ำกว่า 600 เรียล (4.80 บาท) ต่อกิโลกรัม เกษตรกรที่เช่าที่ดินทำกินกำลังเผชิญกับการขาดทุนอย่างหนักถึง 500,000-1,000,000 เรียลต่อเฮกตาร์ (640-1,280 บาทต่อไร่) เกษตรกรจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวกำลังพิจารณาเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อหางานทำและสร้างความมั่นคงด้านรายได้

เกษตรกรในจังหวัดกำปงธมและบันทายมีชัยให้สัมภาษณ์ Khmer Times ว่า ข้าวตามฤดูกาลปกติให้ผลผลิต 5-8 ตันต่อเฮกตาร์ (800-1,280 กก.ต่อไร่) ขณะที่ข้าวนาปรังให้ผลผลิตข้าวคุณภาพสูงกว่า แต่ให้ผลผลิตเพียง 2-3 ตันต่อเฮกตาร์ (320-480 กก.ต่อไร่)

อย่างไรก็ตาม ข้าวนาปรังมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้กำไรไม่มีความแน่นอนขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรที่เช่าที่นาทำกินต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายจำนวนมากส่งผลต่อรายได้และมีความเสี่ยงต่อความอยู่รอดในระยะยาว

ราคาข้าวที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องกำลังสร้างความตึงเครียดทางการเงินให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่สามารถรับภาระต้นทุนการเพาะปลูกที่สูงได้ ส่งผลให้เกษตรกรต้องแสดงความกังวลเกี่ยวกับภาคการเกษตรของกัมพูชาที่กำลังเปราะบางผ่านโซเชียลมีเดีย

เกษตรกรรายหนึ่งในกำปงธมกล่าวว่า “ค่าเช่าที่ดินราคา 1,000,000 เรียล หรือประมาณ 250 ดอลลาร์สหรัฐ (8,000 บาท) ต่อฤดูกาล ซึ่งใช้เวลาประมาณสี่เดือน ค่าใช้จ่ายปุ๋ยอยู่ระหว่าง 120,000-180,000 เรียล (960-1,440 บาท) ต่อกระสอบ ขึ้นอยู่กับคุณภาพ โดยต้องใช้ปุ๋ยประมาณห้ากระสอบต่อเฮกตาร์”

“เครื่องจักรและแรงงานเก็บเกี่ยวมีราคาประมาณ 280,000 เรียล (3,200 บาท) ต่อเฮกตาร์ และยาฆ่าแมลงหรือมาตรการควบคุมศัตรูพืชอื่นๆ ต้องใช้ 200,000 เรียล (1,600 บาท)” เขากล่าว

เกษตรกรรายหนึ่งในบันทายมีชัยกล่าวว่า “การใช้น้ำมีต้นทุนเพิ่มประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ (320 บาท) ต่อฤดูกาล ขณะที่การใช้น้ำมันเบนซินสำหรับสูบน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกในฤดูแล้ง ทำให้มีต้นทุนเพิ่มอีก 50 ดอลลาร์ (1,600 บาท)”

“ด้วยราคาข้าวในตลาดปัจจุบันที่ 580 เรียลต่อกิโลกรัม (4.70 บาท) ข้าวสาร 5 ตันขายได้ประมาณ 2,900,000 เรียล (23,200 บาท) และข้าวสาร 8 ตันขายได้ประมาณ 4,640,000 เรียล (37,120 บาท)” เขากล่าวเสริม

ทั้งนี้ เกษตรกรในกำปงธมได้รับประโยชน์จากแหล่งน้ำที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงพื้นที่น้ำท่วมขังตามฤดูกาลและคลองชลประทาน ทำให้สามารถลดต้นทุนการใช้น้ำได้ แม้ว่ายังคงต้องมีค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำอยู่บ้าง

ในจังหวัดบันทายมีชัยแหล่งน้ำมีจำกัด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งพาแหล่งน้ำจากภายนอกอย่างมาก ซึ่งทำให้ต้นทุนการเพาะปลูกสูงขึ้นและผลผลิตข้าวในฤดูแล้งลดลงเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ

จากการคำนวณของเกษตรกร ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้ต้นทุนการผลิตรวมต่อเฮกตาร์สูงกว่า 2,400,000 เรียล (3,072 บาทต่อไร่) ไม่รวมค่าขนส่ง หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เช่น การระบาดของศัตรูพืชและสภาพอากาศเลวร้าย

แม้ว่ารายได้นี้อาจครอบคลุมต้นทุนของเกษตรกรรายย่อยที่เป็นเจ้าของที่ดิน แต่เกษตรกรที่เช่าที่ดินกลับประสบปัญหาเพราะต้องจ่ายค่าเช่าที่ดิน โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังไม่รวมค่าอาหารประจำวันของครอบครัว เนื่องจากพวกเขาใช้จ่ายประมาณ 330 บาทต่อวัน หรือ 10,000 บาทต่อเดือน

ผู้ที่ทำไร่นาหลายเฮกตาร์ต้องเผชิญกับการขาดทุนที่สูงกว่า ตัวอย่างเช่น เกษตรกรที่เช่าพื้นที่ 10 เฮกตาร์อาจเผชิญกับการขาดทุนสูงถึง 10,000,000 เรียล (เฉลี่ย 1,280 บาทต่อไร่) ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่อาจทำให้ครัวเรือนมีหนี้สินจำนวนมาก

ผู้บริโภคในท้องถิ่นกล่าวว่า แม้ว่าราคาข้าวสารในตลาดจะยังคงสูง แต่ราคาข้าวเปลือกกลับต่ำมาก ทำให้เกิดคำถามว่าพ่อค้าคนกลางได้กำไรส่วนใหญ่หรือไม่ ซึ่งได้รับผลประโยชน์อย่างไม่สมส่วนเมื่อเทียบกับเกษตรกรเอง

เกษตรกรเช่าพื้นที่จำนวนมากกำลังตั้งคำถามถึงอนาคตของพวกเขาในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา “เราทำงานหนักขึ้น แต่แทนที่จะมีรายได้ เรากลับขาดทุน” เกษตรกรรายหนึ่งโพสต์วิดีโอบนโซเชียลมีเดีย

เขากล่าวว่า “หากราคาข้าวยังคงต่ำกว่า 600 เรียลต่อกิโลกรัม พวกเราบางคนอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับประเทศไทยเพื่อหารายได้ที่มั่นคงมากขึ้น” ซึ่งตอกย้ำถึงแรงกดดันทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่พวกเขากำลังดิ้นรนเพื่อชำระหนี้จากสถาบันการเงิน

ราคาข้าวที่ลดลงส่งผลกระทบในวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตร ราคาข้าวที่ลดลงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อโรงสี ผู้ค้า และผู้ส่งออก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดทั่วทั้งชุมชนชนบท

สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) เคยเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวที่รับซื้อจากชาวนา รวมถึงการลงทุนในคลังสินค้า กำลังการสี และการกระจายความเสี่ยงในการส่งออก

อย่างไรก็ตาม เกษตรกรเช่าพื้นที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแทรกแซงอย่างเร่งด่วนมากขึ้น เช่น โครงการช่วยเหลือด้านราคา โครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หรือการอุดหนุนปัจจัยการผลิต เพื่อป้องกันไม่ให้ครัวเรือนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน

เกษตรกรรมยังคงเป็นภาคส่วนสำคัญของกัมพูชา โดยจ้างงานประมาณหนึ่งในสามของแรงงานทั้งหมด และเป็นแหล่งรายได้ของประชากรหลายล้านคนในพื้นที่ชนบท การเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูแล้งที่ยังคงดำเนินอยู่ส่งผลให้ราคาตกต่ำลงอย่างมาก ซึ่งตอกย้ำความตึงเครียดระหว่างกลไกตลาดโลกและความมั่นคงด้านรายได้ของเกษตรกรท้องถิ่น


กำลังโหลดความคิดเห็น