เพจ "thaiarmedforce.com" ได้ออกมาเผยข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับเครื่องบินขับไล่ F-16 ของไทย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าที่เตรียมปลดประจำการ หรือรุ่นที่ได้รับการอัปเกรดประสิทธิภาพให้ทัดเทียม F-16 Block 50 ในสหรัฐฯ และต่ำกว่า F-16 ของสิงคโปร์เล็กน้อย รวมถึงบทบาทสำคัญในภารกิจ "ชี้เป้า" ด้วยระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ มาดูกันว่าเครื่องบินขับไล่คู่บุญลำนี้มีความสามารถอะไรซ่อนอยู่บ้าง และมีบทบาทอย่างไรในยามที่สถานการณ์ตึงเครียด
วันนี้ ( 26 ก.ค.) เพจ “thaiarmedforce.com” ออกมาโพสต์ข้อความ เผยข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องบินขับไล่ F-16 ของไทย หลังทำหน้าที่จนได้รับคำชื่นชมจากประชาชนชาวไทยอย่างมาก โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า
"อธิบายเรื่องเครื่องบินขับไล่ F-16 ของไทยอีกสักนิด หลังสองวันนี้มีกระแส Hype ค่อนข้างมาก ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะนี่เป็นการปฏิบัติการจริงของ F-16 ที่นานๆ ทีเราจะได้เห็น แต่บางทีก็พูดกันเวอร์ไปนิด
ข้อเท็จจริงของ F-16 ไทยนั้น ปัจจุบันมีประจำการอยู่สองฝูงบิน คือฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี และฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช อดีตเคยมีประจำการที่ฝูง 102 กองบิน 1 เช่นกันแต่ปลดประจำการไปแล้ว
เชื่อว่าในการปฏิบัติการครั้งนี้มีการใช้งาน F-16 จากทั้งสองฝูงบิน
F-16 ฝูงบิน 103 เป็น F-16 ที่เก่าแล้วและไม่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาระบบ Avionic หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการบินต่างๆ โดยเป็นการปรับปรุงเพื่อยืดอายุโครงสร้างในอดีตเท่านั้น ดังนั้นนี่คือ F-16A/B รุ่นเดิมๆ คือ Block 15OCU ซึ่งมีขีดความสามารถจำกัด กล่าวคือไม่สามารถใช้จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางเช่น AIM-120 AMRAAM ได้ มีแต่จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้แบบ AIM-9 Sidewinder เท่านั้น และรุ่น ADF ที่ปรับปรุงมาจาก Block 15OCU ซึ่งเป็นเครื่องบินมือสองจากสหรัฐอเมริกาที่ถูกปรับปรุงให้ใช้ AIM-120 AMRAAM ได้ ระเบิดยังใช้งานได้ทั้งระเบิดธรรมดาและระเบิดนำวิถี แต่มีข้อจำกัดในการใช้งานเพราะไม่มีกระเปาะชี้เป้าติดตั้ง
F-16 ฝูงนี้กำลังจะปลดประจำการในอีกไม่กี่ปีนี้ และกองบิน 1 จะปิดฉากการใช้งาน F-16 และเปลี่ยนมาใช้งาน Gripen E/F ที่กำลังจัดหาใหม่จำนวน 12 ลำต่อไป
-----------------
ส่วน F-16 ฝูงบิน 403 นั้นจริงๆ แล้วเป็น F-16A/B Block 15OCU เช่นกัน ซึ่งเป็น Block 15OCU ล็อตสุดท้ายจากสายการผลิต ทำให้อายุการใช้งานยังเหลือพอสมควร หลายปีก่อนกองทัพอากาศจึงตัดสินใจทำการปรับปรุงช่วงครึ่งอายุของ F-16 ภายใต้แผนแบบ eMLU (enhance Mid-Life Upgrade) โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2554 และเสร็จสิ้นในปี 2560 ดำเนินการโดยบริษัทผู้ผลิตคือ Lockheed Martin และบริษัท TAI ของกองทัพอากาศเอง
การปรับปรุงคือ
- ติดตั้งเรดาร์รุ่นใหม่ คือ APG-68(V)9 ของ Northrop Grumman ทดแทนเรดาร์เดิมซึ่งจะมีขีดความสามารถสูงขึ้น
- ติดตั้งระบบพิสูจน์ฝ่าย APX-113 Combined Interrogator and Transponder ของ BAE Systems เพื่อรองรับการพิสูจน์ฝ่ายในการใช้งานจรวดระยะเกินสายตา
- ติดตั้งระบบ ALQ-213 Electronic Warfare Management System ของ Terma ซึ่งเป็นระบบจัดการระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ทดแทนของเดิม
- ติดตั้งระบบ ALE-47 Countermeasures Dispenser System ของ BAE Systems เพื่อใช้ในการปล่อยเป้าลวงจรวด
และมีการจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น
- กระเปาะชี้เป้า Sniper ATP
- หมวกบินติดศูนย์เล็ง JHMCS HMD
- จรวดอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ IRIS-T
- ระบบ Datalink แบบ Link-16
นอกจากนั้นยังเป็นระบบเดิมของ F-16A/B Block 15OCU โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ยังเป็นเครื่องยนต์ตัวเดิม แต่เมื่อปรับปรุงแล้วจะมีขีดความสามารถใกล้เคียงกับ F-16C/B Block 50 ซึ่งเป็น F-16 รุ่นสุดท้ายที่ใช้งานในกองทัพอากาศสหรัฐฯ แต่ในภูมิภาคนี้ ขีดความสามารถของฝูงนี้ก็ยังต่ำกว่า F-16C/D ของสิงคโปร์
------------
ในปฏิบัติการทางอากาศรอบนี้มีจุดสังเกต คือ
- คาดว่ากองทัพอากาศใช้ F-16 จากฝูง 403 ในการชี้เป้าให้กับ F-16 ลำอื่นทิ้งระเบิดด้วยระเบิด GBU-12 ซึ่งนำวิถีด้วยเลเซอร์ เพราะ F-16 ฝูง 403 สามารถติดตั้งกระเปาชี้เป้า Sniper ATP ได้
- นอกจากนั้นยังมีทางเลือกคือการใช้ Combat Control Team (CCT) หรือชุดควบคุมการรบ ซึ่งเป็นทหารอากาศที่ปฏิบัติภารกิจกับทหารบกในการควบคุมและชี้เป้าให้กับอากาศยานเข้าโจมตี
- การ "ชี้เป้า" ในกรณีการใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ก็คือการให้อากาศยานหรือชุดควบคุมการรบยิงลำแสงเลเซอร์เข้าไปยังเป้าหมาย ซึ่งลำแสงนี้อยู่ในย่านที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่พลังงานที่ตกกระทบเป้าหมายจะถูกตรวจจับได้ด้วยเซ็นเซอร์ของระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ ซึ่งเมื่อทิ้งลงไปแล้วจะมีครีบปรับทิศทางเพื่อเลี้ยงตัวระเบิดให้ตกไปยังจุดที่เลเซอร์ชี้
- โดยระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์เช่น GBU-12 Paveway II นั้น ก็คือการนำระเบิดอเนกประสงค์แบบ Mk.82 ขนาด 500 ปอนด์ (230 กิโลกรัม) มาติดตั้งกับชุดนำวิถีเพื่อเปลี่ยนเป็นระเบิด GBU-12 นั่นเอง
- กองทัพอากาศมีขีดความสามารถในการผลิตระเบิด Mk.82 ได้เองอีกด้วย
- ภารกิจส่วนใหญ่ในปฏิบัติการครั้งนี้น่าจะเป็นภารกิจการขัดขวางทางอากาศในพื้นที่การรบ (Battlefield Air Interdiction: BAI) ซึ่งเป็นภารกิจในการโจมตีทางอากาศเพื่อลดขีดความสามารถของข้าศึก เพื่อจำกัดเสรีภาพในการปฏิบัติการของข้าศึก"