xs
xsm
sm
md
lg

อดีตอาจารย์ มธ.ชี้ไทยเข้าขั้น "ยูเครน 2" ครึ่งตัว เตือนเสี่ยงเป็นสมรภูมินิวเคลียร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเตือนภัย ระบุว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สถานะ "ยูเครน 2" ไปแล้วครึ่งตัว อ้างอิงจากรายงานของ RAND Corporation สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ระบุชัดเจนว่าไทยคือจุดยุทธศาสตร์อันดับ 1 ที่เหมาะสมต่อการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ "กรุงเทพฯ เป็นทริกเกอร์ของสงครามนิวเคลียร์เอเชีย"

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็น ชี้เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว โดย รศ.ดร.สุวินัยได้ระบุข้อความว่า

"บางครั้งชาติพินาศ...ไม่ใช่เพราะศัตรูบุก แต่เพราะคนในชาติหลับใหลอยู่กลางสนามรบโดยไม่รู้ตัว

1. RAND Corporation เตือนแล้ว...แต่เรากลับเฉย ข้อมูลจาก RAND Corporation-สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่เป็นเบื้องหลังการวางหมากกลยุทธ์ของกองทัพอเมริกัน-เคยระบุไว้ตั้งแต่ปี 2565 แล้วว่า...ประเทศไทยคือจุดยุทธศาสตร์อันดับ 1 ที่เหมาะสมต่อการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางของสหรัฐฯ ระยะยิง 5,500 กิโลเมตรที่ว่ามานี้ ไม่ใช่แค่ป้องกันภัยใกล้ตัว แต่มันครอบคลุม “ทุกมณฑลของจีน” ตั้งแต่ยูนนานไปจนถึงซินเจียง พูดให้ชัดคือ “กรุงเทพฯ = ทริกเกอร์ของสงครามนิวเคลียร์เอเชีย” หากฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ เกิดขึ้นจริงที่จังหวัดพังงา แล้วใครคือคนที่ RAND รอคอยจะเปิดดีล? คำตอบคือรัฐบาลไทยภายใต้ผู้นำที่สหรัฐฯ “หนุนหลัง” ในรายงานระบุชื่อชัด: ทักษิณ และธนาธร นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่คือ เอกสารจริงจาก RAND ที่ยังสามารถค้นอ่านได้จนถึงวันนี้

2. ยูเครนไม่ได้กลายเป็นสนามรบในชั่วข้ามคืน ยูเครนในวันนี้-คือกระจกสะท้อนอนาคตของไทยที่กำลังเดินซ้ำรอยอย่างไร้สติ
ยูเครนเคยเป็นประเทศที่สหรัฐฯ บอกว่าจะ “ช่วยสร้างประชาธิปไตย” แต่ความจริงคือการวางเครือข่าย จัดการรัฐบาล สร้างความแตกแยกภายใน ปลุกระดมเยาวชน และยัดอาวุธเข้าประเทศอย่างช้าๆ สุดท้ายยูเครนกลายเป็นสนามรบที่ไม่มีวันชนะ และประชาชนต้องสูญเสียทุกสิ่ง

● วันนี้ ไทยกำลังซ้ำรอยยูเครนทุกขั้นตอนนั้น รู้ตัวกันบ้างรึเปล่า?

หนึ่ง: มีความแตกแยกทางการเมืองระหว่างสีแดง-ส้ม-น้ำเงิน

สอง: มีต่างชาติเข้ามาตั้งฐานพลเรือนในหัวเมืองสำคัญที่ ปาย, เชียงใหม่, ภูเก็ต, สมุย, เชียงราย

สาม: มีสงครามข้อมูลที่สับสน จนมิตรกลายเป็นศัตรู และศัตรูกลายเป็นไอดอล

สี่: มีการชักนำให้ “มองจีนเป็นภัย” ทั้งที่จีนไม่เคยส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดไทยเลยสักครั้งในประวัติศาสตร์ 

ถามจริงเถิด... เรายังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?

3. การเมืองไทยไม่ใช่เรื่องภายในอีกต่อไป พรรคการเมืองไทยวันนี้ไม่ได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ประชาชนอีกต่อไป แต่กำลังเป็น “ตัวแทนผลประโยชน์ระหว่างประเทศ” ที่กำลังจะลากไทยเข้าสู่เวทีที่ใหญ่เกินตัว

> อย่าคิดว่าสหรัฐฯ จะมาตั้งฐานทัพแล้วแค่ฝึกรบ

> อย่าคิดสั้นแค่ว่าเราจะมีเงินไหลเข้ามาจากการค้ากับโลกตะวันตก

เพราะสิ่งที่ตามมา คือการเป็น “จุดยิงแรก” ในกรณีเกิดสงครามจีน-สหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ขีปนาวุธจีนรุ่น DF-17, DF-21, DF-ZF คืออาวุธเหนือเสียงที่สามารถถล่มเป้าได้แม่นยำภายในไม่กี่นาที ไทยไม่เคยมีระบบป้องกันตนเองในระดับนี้ เราจะปกป้องประชาชน 70 ล้านคนจากฝนเหล็กนรกนี้อย่างไร? แค่ไทยยอมให้มีฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ...คือเท่ากับลงชื่อยอมเป็นสนามรบแล้ว รู้ตัวกันบ้างรึเปล่า?

4. ถ้าประชาชนทั้งประเทศยังไม่ลุกขึ้นคัดค้านการตั้งฐานขีปนาวุธของสหรัฐฯ…เราจะถูกยึดทั้งประเทศแบบเบ็ดเสร็จ สงครามโลกครั้งที่สามมาในรูปแบบใหม่

> ไม่มีเสียงปืนก่อน

> ไม่มีรถถังเข้าเมืองก่อน

> แต่มีคนไทยกด “ไลก์” ให้คนที่เปิดประตูให้ศัตรูเข้ามา

โดยที่ "คนที่จะเปิดประตูให้ศัตรูเข้ามา" นั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็คือพรรคที่คนเกือบครึ่งประเทศหลงเลือกเข้ามาในสภายังไงเล่า
ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?

วันนี้ต่างชาติไม่ได้มายึดไทยด้วยกองทัพ แต่ด้วย “เงินทุน” “องค์กร NGO” “ทุนอุดหนุนเยาวชน” “ฐานที่อยู่อาศัยถาวร” และ “เครือข่ายดิจิทัล” เขาไม่ได้มายิงเรา... แต่จะให้เรายิงกันเอง ให้เราทะเลาะกันเอง ให้เรายกแผ่นดินให้เขาโดยสมัครใจ เมื่อใดที่เรามองไม่ออกว่าเรากำลังอยู่บนกระดานของใคร เมื่อนั้นเราคือตัวเบี้ยที่เขาจะสั่งให้เดินไปตายตรงไหนก็ได้ ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?

5. ถึงเวลาตื่นขึ้นจากภาพลวงตาของการเป็น “ประเทศที่ปลอดภัย” ไทยไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว... หากประชาชนไม่ตื่นรู้ หากสื่อยังตกอยู่ในอำนาจการครอบงำ หากรัฐบาลยังฝันหวานว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจากการเป็นฐานทัพให้สหรัฐฯ หากเยาวชนยังไม่รู้ว่าเขากำลังถูกใช้ให้สั่นคลอนอธิปไตยของตนเอง

> ความมั่นคงของชาติไม่ได้เริ่มจากกองทัพ

แต่เริ่มจากจิตสำนึกของประชาชน ว่าบ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของใครอื่น

สรุป: ถ้าไม่ลุกขึ้นเฝ้าประตูดุจ "ยามเฝ้าแผ่นดิน"...อย่าหวังว่าบ้านเมืองเราจะรอด ขีปนาวุธไม่รู้จักสีเสื้อ สงครามไม่เลือกว่าใครฝั่งไหน แต่เมื่อมันระเบิดกลางกรุงเทพฯ มันไม่ถามก่อนว่าเราเลือกพรรคอะไร

> เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปแล้วครึ่งตัว รู้ตัวกันรึเปล่า?

ถ้าเรายังไม่ลุกขึ้นตั้งสติ อีกครึ่งตัว...เขาจะยกให้วอชิงตันแน่นอน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลือกว่า...เราจะยอมจนอยู่กับผืนดินไทย หรือรวยชั่วคราวแล้วตายอยู่ใต้เศษซากอาวุธนิวเคลียร์ “ชาติไทยไม่ควรยอมเป็นฐานยิงขีปนาวุธของใคร เพราะลูกหลานเราจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะขอขมาแผ่นดินที่ไหม้เป็นเถ้าถ่าน”

~ สุวินัย ภรณวลัย"


กำลังโหลดความคิดเห็น