"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเมืองไทยได้เผชิญหน้ากับภาวะเปราะบางอย่างรุนแรง ทั้งในแง่ของโครงสร้างรัฐที่ซับซ้อน ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าและใหม่ และที่สำคัญคือกระแสความไม่พอใจจากประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วิกฤตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่เป็นผลสะสมจากปัจจัยหลายประการที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
เราสามารถเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ชัดเจนจากวาทกรรม “การเมืองแบบเก่า” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผยจากคนรุ่นใหม่ การวิพากษ์วิจารณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องประชุมหรือสถาบันการศึกษา แต่ได้แผ่ขยายออกไปผ่านการเคลื่อนไหวทางสังคม การเลือกตั้งครั้งสำคัญ และแม้กระทั่งในสื่อออนไลน์ที่ผู้คนสามารถแสดงออกความคิดเห็นได้อย่างอิสระมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ชัดเจนว่าความเชื่อมั่นที่เคยมีต่อพรรคการเมืองหลายพรรคกำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อประชาชนเริ่มรู้สึกว่าพรรคการเมืองไม่ได้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างแท้จริง หรือในบางครั้งก็ดูเหมือนจะดำเนินไปในทิศทางที่ขัดกับความต้องการของสังคมเสียเอง การรับรู้นี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความชอบธรรมของระบบการเมืองในภาพรวม
ดังนั้น ในบริบทที่ความศรัทธากำลังเลือนหายเช่นนี้ พรรคการเมืองในประเทศไทยจึงเผชิญโจทย์ท้าทายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นคือ “จะฟื้นฟูศรัทธาได้อย่างไร” และ “จะปรับตัวเพื่อนำเสนออนาคตใหม่ให้กับสังคมได้หรือไม่”
การปรับตัวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของภาพลักษณ์หรือกลยุทธ์การตลาดทางการเมืองแบบฉาบฉวย หากแต่เป็นเรื่องของการกำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาว การออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาจริง และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างรูปแบบความสัมพันธ์กับประชาชนขึ้นมาใหม่อย่างมีความหมายและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาทั้งพรรคการเมืองและประเทศชาติก้าวพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้
ภูมิทัศน์ของพรรคการเมืองไทยในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้อย่างชัดเจนเป็นสองกลุ่มหลัก ซึ่งแต่ละกลุ่มมีจุดแข็ง จุดอ่อน และความท้าทายที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการเมืองไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กลุ่มแรกคือพรรคการเมืองแบบเก่า ซึ่งประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ที่ผนึกกำลังกันจัดตั้งรัฐบาล พรรคกลุ่มนี้แม้จะมีอำนาจบริหารอยู่ในมือ สามารถผลักดันนโยบายและบริหารราชการแผ่นดินได้ แต่กลับต้องเดินอยู่บนเส้นด้ายที่เปราะบางระหว่างการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลกับการรักษาฐานเสียงเดิมและความสัมพันธ์กับกองหนุนที่เคยสนับสนุนพวกเขามาในอดีต
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น คือความขัดแย้งภายในและการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการประนีประนอม หรือที่บางครั้งถูกเรียกว่า “การกลืนน้ำลาย” เมื่อต้องร่วมมือกับกลุ่มที่เคยเป็นศัตรูทางการเมือง ความท้าทายนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในยุคที่ประชาชนมีการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระมากขึ้น การประนีประนอมเหล่านี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่คู่ต่อสู้สามารถนำมาใช้โจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่สองคือพรรคการเมืองแบบใหม่ ซึ่งนำโดยพรรคประชาชนในปัจจุบัน และพรรคขนาดเล็กบางพรรค เช่น พรรคเป็นธรรม ที่รับบทบาทฝ่ายค้านอย่างเข้มข้น พรรคกลุ่มนี้พยายามสร้างภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะ “พรรคแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่ตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่และผู้ที่ต้องการเห็นการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง
แม้พรรคกลุ่มนี้จะได้รับความนิยมสูงและมีฐานเสียงที่กระตือรือร้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาสูงและติดตามข่าวสารการเมืองอย่างใกล้ชิด แต่พวกเขาก็กำลังเผชิญกับข้อจำกัดที่ไม่ง่ายนักในการแปลงความนิยมให้เป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม ข้อจำกัดเหล่านี้รวมถึงการถูกจำกัดบทบาทในระบบรัฐสภาที่ยังคงอำนาจอยู่ในมือของพรรคร่วมรัฐบาล อุปสรรคทางกฎหมายที่ซับซ้อนและบางครั้งก็ดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อจำกัดการทำงานของพรรคฝ่ายค้าน และการถูกโจมตีทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจากทั้งสื่อและกลุ่มการเมืองที่มีผลประโยชน์ขัดแย้ง
เมื่อพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบ จุดแข็งของพรรคการเมืองแบบเก่าคือ เครือข่ายอุปถัมภ์และผลประโยชน์ทางการเมืองที่หยั่งรากลึกทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และความคุ้นเคยกับเส้นสนกลไกการบริหารประเทศที่ซับซ้อน ขณะเดียวกัน จุดอ่อนที่สำคัญและกำลังกัดกร่อนพวกเขาอย่างเงียบๆ คือความไม่ไว้วางใจจากประชาชน โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็ว และประชาชนมีเครื่องมือในการตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและพรรคการเมืองได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความไม่ไว้วางใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่เป็นผลสะสมจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกถูกหักหลังหรือถูกทอดทิ้ง
สำหรับจุดแข็งของพรรคการเมืองแบบใหม่คือความสด ความใหม่ และความกล้าที่จะท้าทายระบบโครงสร้างอำนาจเดิม พวกเขามีความเข้าใจถึงการใช้เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ในการสื่อสารกับประชาชน รวมถึงความสามารถในการระดมการสนับสนุนจากคนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง
แต่จุดอ่อนของพรรคเหล่านี้ที่มักถูกคู่แข่งหยิบยกขึ้นมาวิจารณ์คือการมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศจำกัด และความท้าทายในการแปลงอุดมการณ์ให้เป็นนโยบายที่สามารถปฏิบัติได้จริงในระบบการเมืองที่ซับซ้อน นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเผชิญกับแรงต้านจากระบบเดิมและชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป
เมื่อเผชิญกับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป พรรคการเมืองทั้งสองกลุ่มต่างต้องหากลยุทธ์ในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและความเติบโต โดยแต่ละกลุ่มมีแนวทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และเป้าหมายที่แตกต่างกัน
สำหรับพรรคการเมืองแบบเก่า การปรับตัวมุ่งเน้นไปที่การประคองอำนาจและเรียกคืนความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป กลยุทธ์หลักของพวกเขาคือการแสดงให้เห็นถึงผลงานการบริหารประเทศผ่านการผลักดันนโยบายที่เน้นปากท้องและเศรษฐกิจ เช่น การแจกเงินดิจิทัลต่อประชาชน การลดค่าครองชีพ หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อหวังว่าผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชนจะช่วยกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองได้
นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการความขัดแย้งภายในพรรคและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในงานที่ยากที่สุด เพราะต้องสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของพรรคต่าง ๆ ที่มีความต้องการและเป้าหมายที่ไม่ตรงกัน การบริหารจัดการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเสถียรภาพและภาพลักษณ์ของการเป็นรัฐบาลที่มีเอกภาพ แม้ในบางครั้งจะต้องแลกมาด้วยการประนีประนอมกับหลักการบางอย่างที่อาจทำให้ฐานเสียงเดิมรู้สึกผิดหวัง การปรับตัวของพรรคกลุ่มนี้ยังรวมถึงการปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้ทันสมัยมากขึ้น โดยการใช้สื่อสังคมออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้ตกขบวนในยุคดิจิทัล
ในทางตรงกันข้าม พรรคการเมืองแบบใหม่มีกลยุทธ์ที่เน้นการยืนหยัดในจุดยืนของการเป็น* “ผู้ตรวจสอบ” และ “ผู้เสนอทางเลือก” พรรคเหล่านี้ใช้กลไกรัฐสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการเสนอร่างกฎหมายทางเลือกที่แตกต่างจากของรัฐบาล
ความโดดเด่นของพรรคกลุ่มนี้อยู่ที่การนำเสนอแนวนโยบายใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ เช่น การแก้ไขความเหลื่อมล้ำ หรือการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยนโยบายเหล่านี้มักจะถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับค่านิยมและความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาสูงและมีความรู้ความเข้าใจในประเด็นสังคมที่หลากหลาย
สิ่งที่พรรคการเมืองแบบใหม่ทำได้ดีกว่าคู่แข่งคือการให้ความสำคัญกับการใช้โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสื่อสารโดยตรงกับประชาชน พวกเขาไม่เพียงแต่ใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายหรือกิจกรรมของพรรค แต่ยังใช้เพื่อสร้างการรับรู้ ขยายฐานผู้สนับสนุน และระดมความคิดเห็นจากผู้คนในวงกว้าง การสื่อสารแบบสองทางนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานของพรรค ซึ่งเป็นวิธีที่แตกต่างจากการเมืองแบบเดิมที่มักเน้นการสื่อสารทางเดียวจากบนลงล่าง
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในวิกฤตสำคัญที่พรรคการเมืองไทยทุกพรรคต้องเผชิญร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคแบบเก่าหรือพรรคแบบใหม่ คือ “วิกฤตศรัทธา” ที่เกิดจากความผิดหวังซ้ำซากของประชาชนที่สะสมมาเป็นเวลานาน วิกฤตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
ปัจจัยแรกที่สำคัญคือปรากฏการณ์ของการย้ายขั้วทางการเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเปลี่ยนจุดยืนหรือพันธมิตรทางการเมืองอย่างกะทันหันโดยไม่มีการอธิบายที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลต่อประชาชนที่เคยให้การสนับสนุน การกระทำเช่นนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการเลือกตั้งและการให้การสนับสนุนของพวกเขาไม่มีความหมาย เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้
ปัจจัยที่สองคือการกลับคำพูดที่เคยให้ไว้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเลือกตั้ง นโยบายสำคัญ หรือจุดยืนทางการเมืองที่เคยประกาศอย่างเด็ดขาด เมื่อพรรคการเมืองไม่สามารถทำตามสัญญาได้หรือเปลี่ยนจุดยืนโดยไม่มีเหตุผลที่ประชาชนเข้าใจได้ ความไว้วางใจที่สร้างมาอย่างยากลำบากก็จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยที่สามคือการปกป้องกลุ่มทุนหรือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มมากกว่าประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ เมื่อประชาชนเห็นว่าพรรคการเมืองที่พวกเขาเลือกกลับไปทำงานเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ กลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น หรือแม้แต่กลุ่มการเมืองที่มีอำนาจ ความรู้สึกของการถูกหักหลังจะเกิดขึ้นอย่างแรงกล้า
ปัจจัยสุดท้ายที่ไม่แพ้กันคือการสมประโยชน์กับกลุ่มอำนาจเก่าอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะเมื่อพรรคการเมืองที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองแบบเก่ากลับไปร่วมมือหรือประนีประนอมกับกลุ่มที่พวกเขาเคยต่อต้าน การกระทำเช่นนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการเมืองเป็นเพียงเกมแห่งอำนาจที่นักการเมืองเล่นกันเอง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกหรือความคาดหวังของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
ผลที่ตามมาจากวิกฤตศรัทธานี้คือภาวะ “ความเฉยชา” และ “การไม่สนใจการเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบบประชาธิปไตยในระยะยาว เพราะเมื่อประชาชนหมดศรัทธาและไม่เห็นความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมือง กลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบประชาธิปไตยก็จะอ่อนแอลงอย่างเป็นลำดับ สิ่งที่น่าห่วงใยอย่างยิ่งคือเมื่อการตรวจสอบจากประชาชนลดลง การใช้อำนาจโดยมิชอบก็จะมีช่องทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือการผลักดันนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ นี่คือวิถีที่นำไปสู่การเสื่อมสลายของระบบประชาธิปไตยอย่างเงียบๆ แต่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ความท้าทายหลักของพรรคการเมืองจึงไม่ใช่เพียงการ “ชนะเลือกตั้ง” เพื่อเข้าสู่อำนาจเท่านั้น แต่คือการ “ฟื้นฟูความไว้ใจ” ซึ่งเป็นงานที่ยากกว่าและต้องใช้เวลายาวนานกว่ามาก การฟื้นฟูความไว้ใจต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการกระทำที่สอดคล้องกับคำพูด การแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการรับใช้ประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือ ความกล้าหาญในการเผชิญกับโครงสร้างทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรมที่คอยบั่นทอนประชาธิปไตยมาตลอด
ในอนาคต พรรคการเมืองที่จะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ต้องเป็นมากกว่าแค่นักการตลาดทางการเมืองที่เก่งกาจในการสร้างภาพลักษณ์หรือหาเสียงในช่วงเลือกตั้งเท่านั้น พวกเขาต้องก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำทางสังคม” ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สร้างสรรค์นโยบายเพื่อแก้ปัญหาสังคมอย่างแท้จริงและยั่งยืน ทำงานร่วมกับประชาชนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับบริการหรือเป้าหมายของการหาเสียง
แนวโน้มสำคัญที่กำลังปรากฏชัดขึ้นคือ “การเมืองแนวร่วมหรือแนวราบ” ที่พรรคการเมืองทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน กลุ่มประชาสังคม องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือแม้แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการในสาขาต่าง ๆ รูปแบบการทำงานแบบใหม่นี้ช่วยให้พรรคการเมืองเข้าถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่หลากหลาย พร้อมทั้งสร้างความรู้สึกของการเป็นเจ้าของร่วมในการพัฒนานโยบายและการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านช่องทางดิจิทัลก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากขึ้น เทคโนโลยีดิจิทัลไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนมีเสียงมากขึ้นในการแสดงความคิดเห็น เสนอแนะนโยบาย และร่วมออกแบบอนาคตของประเทศได้โดยตรง แต่ยังช่วยทำให้กระบวนการทางการเมืองโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น
คำถามสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ “พรรคการเมืองจะทำอย่างไร?” เพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตและกลับมามีความชอบธรรมในสายตาประชาชน แต่คือ “ประชาชนจะยอมให้การเมืองแบบเดิมดำเนินต่อไปหรือไม่?” และ “สังคมไทยพร้อมที่จะก้าวไปสู่รูปแบบการเมืองที่ใหม่และดีกว่าเดิมหรือไม่?”
ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าความชอบธรรมในการดำรงอยู่ของพวกเขาไม่ได้มาจากอำนาจรัฐหรือการชนะการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว แต่มาจากศรัทธาและความไว้วางใจที่ต้องสร้างและรักษาไว้ในทุกวัน ผ่านการกระทำที่สอดคล้องกับคำพูดอย่างต่อเนื่อง การยึดมั่นในอุดมการณ์และหลักการที่ชัดเจน และการรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริงและไม่เลือกหน้า
การรับใช้ประชาชนที่แท้จริงนี้ไม่ใช่เฉพาะช่วงก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น แต่คือทุกวันของการทำงาน ทุกการตัดสินใจเรื่องนโยบาย ทุกการออกมาชี้แจงหรือรับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหา และทุกการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง
เมื่อประชาชนไม่ใช่แค่ผู้เลือกที่มาใช้สิทธิทุกสี่ปี แต่กลายเป็นผู้เปลี่ยนที่มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศอย่างต่อเนื่อง การเมืองไทยจึงจะสามารถก้าวพ้นจากวิกฤตในปัจจุบันและเดินไปสู่อนาคตที่สดใสและมั่นคงได้อย่างแท้จริง นี่คือความหวังและความท้าทายที่สังคมไทยต้องเผชิญร่วมกันในยุคใหม่นี้