“โจ๊ก” จอมย้อนแย้ง ปากก็บอกไม่ใช่สายมู แค่ชอบทำบุญ แต่ล่าสุดไปเปลี่ยนชื่อเป็น “สุรเชชษฐ์” เติม ช.เข้าไปอีกตัวเพื่อเสริมดวง เพราะช้างเป็นสัตว์มงคล แถมยังแต่งองค์ทรงเครื่องนั่งหลังช้าง เข้าร่วมพิธีแห่เจ้าเข้าเวียง ในพิธีไหว้ครูโนราห์ จ.พัทลุง ท่ามกลางเสียงตำหนิติเตียนว่ากระทำมิบังควร ซ้ำรอยกรณีรับเงินบัญชีม้าบริจาคในงานกฐินพระราชทานที่อยุธยา แล้วออกใบอนุโมทนาบัตรในชื่อตัวเอง
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งต้องคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน กรณีถูกศาลอาญาออกหมายจับ จากกรณีพัวพัวเรื่องการฟอกเงินกับเว็บพนัน ซึ่งล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ทำการเปลี่ยนชื่อตัวเองที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยเพิ่มช.ช้าง อีก 1 ตัวจาก “สุรเชษฐ์” เป็น “สุรเชชษฐ์” จากความเชื่อเรื่องแก้เคล็ด เสริมดวง
ต่อมา “เนชั่นทีวี” ก็ได้ทำการยืนยันว่า “บิ๊กโจ๊ก” เปลี่ยนชื่อจริง ๆ โดยไปแจ้งเปลี่ยนที่อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิด โดยชื่อใหม่ที่เขียนว่า “สุรเชชษฐ์” แต่ยังคงอ่านว่า “สุ-ระ-เชด” เหมือนเดิม
พร้อมกันนั้นเนชั่น ทีวี ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวด้วยว่า “น่าจะเป็นการแก้เคล็ด เสริมดวง เพราะช้าง เป็นสัตว์มงคลแสดงถึงพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่”
ทั้งนี้การเปลี่ยนชื่อ เพิ่ม “ช.ช้าง” เข้าไปในชื่ออีกหนึ่งตัวดังกล่าว สอดคล้องกับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีภาพนิ่ง และวีดิโอคลิปเผยแพร่ถึง การที่“พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์”เข้าร่วม “พิธีแห่เจ้าเข้าเวียงรับขวัญมงคล พิธีไหว้ครูโนราห์” ณ วัดเขียนบางแก้ว จ.พัทลุง เมื่อ วันที่ 6 กรกฎาคม 2567
โดยในพิธีดังกล่าวปรากฎภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ดังนี้คือ
- พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ใส่ชุดไทย เสื้อขาว นุ่งโจงกระเบนสีม่วง พร้อมกับทำพิธีอะไรบางอย่าง
- จากนั้น พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็ขึ้นขี่บนหลังช้างข้าง ในมือประคองชฎา หรือ เทริด มโนราห์(อ่านว่า เซิด โนราห์)
- หลังจากลงจากหลังช้าง ก็มาร่วมพิธีที่เขาว่ากันว่าเป็น “พิธีแห่เจ้าเข้าเวียงรับขวัญมงคล พิธีไหว้ครูโนราห์” ของวัดเขียนบางแก้ว จ.พัทลุง
“ผมไม่ได้ติดใจอะไรกับการที่ “คุณสุรเชษฐ์” ไปเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม เพิ่ม ช.ช้าง อีกหนึ่งตัว เป็น “สุรเชชษฐ์” หรอก เพราะนั่นเป็นสิทธิส่วนตัวของคุณ
“แต่ผมก็รู้สึกตงิด ๆ นิดหน่อย เพราะได้ยินว่าคุณเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้หลายครั้งโดยปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็น “ตำรวจสายมู” อย่างที่ใครกล่าวหา หรือ ร่ำลือกัน เพียงแต่เป็นคนชอบธรรมบุญ โดยเฉพาะกับพระสายกรรมฐาน” นายสนธิ กล่าว
ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือนมิถุนายน วันที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา หลังจากที่ ก.ตร. มีมติ 12 ต่อ 0 ว่าคำสั่งที่ให้คุณออกจากราชการไว้ก่อนนั้นถูกต้องแล้ว คุณก็ไปออกรายการชื่อ “คนดังนั่งเคลียร์” ดำเนินรายการโดย อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนทำอาหาร และก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับตำรวจหรือการเมืองเท่าไหร่ โดยเมื่อ อ.ยิ่งศักดิ์ ถามว่าท่านก็สายมูเหรอคะ ?
โจ๊ก สุรเชษฐ์ ก็ตอบว่า “ผมก็ชอบทำบุญ เป็นปกติอยู่แล้ว ธรรมดาผมไม่ชอบไปสายมู แต่ผมชอบไปหาพระปฏิบัติ โดยเฉพาะพระวัดป่า เพราะว่า ผมมองว่า เวลาเราไปไหว้พระวัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้สภาพเปลี่ยนไป พระหลายท่านก็ชอบให้สร้างโน่นสร้างนี่เยอะแยะไปหมด ผมก็มองว่าการไปสร้างเราทำได้ แต่วันนี้เศรษฐกิจอย่างนี้ ... เวลาเราไปพระวัดป่าแถวอุดรฯ แถวอีสาน โอ้โห! ท่านไม่สร้างอะไรเลย ท่านเน้นปฏิบัติ เน้นสวดมนต์ เน้นสร้างกรรมฐานต่างๆ
“ปกติผมเป็นคนชอบไหว้พระ สวดมนต์อยู่แล้วตั้งแต่เด็ก อยู่กับธูป เทียนต่าง ๆ”
อ.ยิ่งศักดิ์ : ก็แสดงว่าท่านเป็นคนที่มีจิตใจ ใฝ่ธรรมะตลอด นะฮะ
โจ๊ก สุรเชษฐ์ : ครับ ครับ ครับ ผมก็ชอบปฏิบัติธรรม
"แล้วถามว่า การเปลี่ยนชื่อเพิ่ม ช.ช้าง ในชื่อไปอีก 1 ตัว ที่ เนชั่น ทีวี อธิบายเพิ่มเติมถึงการเปลี่ยนชื่อดังกล่าว“น่าจะเป็นการแก้เคล็ด เสริมดวง เพราะช้าง เป็นสัตว์มงคลแสดงถึงพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่”
“คุณสุรเชชชชษฐ์ ครับ เพิ่ม ช.ช้าง ในชื่อนี่ถือเป็นการ “มู” ไหมครับ? แล้วสอดคล้องกับ “ธรรมะ” ของศาสนาพุทธตรงไหน?” นายสนธิ กล่าว
“อีกประเด็นหนึ่ง คุณสุรเชชษฐ์ครับ คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ผู้ใหญ่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ นายทหาร ตำรวจ หลายๆ คนที่เขาเห็นภาพคุณแต่งองค์ทรงเครื่อง นั่งแอ็กอาร์ตอยู่บนหลังช้าง มีชาวบ้านพากันแห่คุณเดินไปทั่วงานบวงสรวงโนราห์ที่จังหวัดพัทลุงนั้น เขาไม่พอใจการกระทำของคุณนะครับ เขาคิดว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร
“ผมไม่รู้ว่าตอนที่คุณทำ หรือตอนคุณนั่งอยู่บนหลังช้าง คุณคิดอะไร คุณอาจจะไม่คิด หรือคิดแต่เพียงไปร่วมงานพิธีท้องถิ่นของชาวปักษ์ใต้ ถ้าคุณคิดแค่นี้ ผมว่าคุณคิดน้อยไป คุณเป็นข้าราชการระดับสูง ยศถึงอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในอดีตคุณน่าจะเคยเป็นตำรวจราชสำนักมาแล้ว คุณต้องรู้สึกว่าช้างเป็นสัตว์คู่บารมีของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เซลล์ในสมองของคุณมันไม่ไปกระตุ้นให้คุณฉุกคิดสักนิดเลยหรือว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น มันบังควรหรือไม่บังควร
“คุณสุรเชชษฐ์ครับ คุณนี่มันเกินจะเยียวยาจริงๆ ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะหิวแสง หิวพื้นที่สื่อถึงไหน ผมอายุจะ 77 ปีแล้ว ผมยังไม่เห็นนายทหารนายตำรวจคนไหนที่ครองยศนายพล มาแต่งองค์ทรงเครื่องแบบคุณสักคน มานั่งแอ็กอยู่บนหลังช้าง เหมือนเจ้านาย เหมือนพระนเรศวรกำลังจะออกศึกออกรบ คุณให้ชาวบ้าน ชาวสมาคมปักษ์ใต้แห่คุณขึ้นช้างในฐานะนายกสมาคมปักษ์ใต้ และการเป็นประธานในพิธีบวงสรวงโนราห์ คุณใช้ศรัทธาของมวลชนชาวใต้ บวกกับขนบธรรมเนียมประเพณี บวกกับคำพูดอันหวานเจี๊ยบของคุณ หลอกคนได้ว่าคุณเสมือนเพชรน้ำงามของคนปักษ์ใต้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นการโกหกทั้งเพครับ คุณสุรเชชษฐ์” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ยังได้เตือนสติ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ว่า เดิมทีก็มีแผลฉกรรจ์-มีชนักติดหลังอยู่ คือ “เรื่องบัญชีม้า-กฐินหลวงพระราชทาน” ที่ วัดศาลาปูนวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2565 สมัยเป็น “ผู้ช่วย ผบ.ตร.” ได้ทำหนังสือลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ถึง อธิบดีกรมการศาสนา เพื่อขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินเพื่อ นําไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษาประจำปี 2565 ณ วัด ศาลาปูนวรวิหาร ต.ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ต่อมา วันที่ 2 มีนาคม 2565 ได้มีหนังสือตอบรับจากกรมการศาสนา เลขที่ วธ 0308/738 ถึง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ว่า กรมการศาสนาจะได้ดำเนินการขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินให้ตามประสงค์ และขอให้ติดต่อประสานงานกับวัดศาลาปูนเพื่อกําหนดวันเวลาในการถวายผ้าพระกฐิน จนมาเดือนพฤษภาคม 2565 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้แจ้งกำหนดการพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ใน วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2565 ที่ วัดศาลาปูนวรวิหาร
ต่อมา วันที่ 9 กันยายน 2565 ได้มีการโอนเงินจำนวน 200,000 บาท จากบัญชี ธนาคารกสิกรไทยของ น.ส.เบญจมิน แสงจันทร์ ซึ่งเป็นบัญชีม้าสาวที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ใช้ทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ให้คนในครอบครัว โดยมีการโอนไปยังบัญชีธนาคารกรุงไทย ของวัดศาลาปูนวรวิหาร เพื่อร่วมทำบุญในพิธีถวายผ้าพระกฐินหลวง ที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะเดินทางไปเป็นประธานถวายใน วันที่ 29 ตุลาคม 2565
กระทั่งใน วันที่ 29 ตุลาคม 2565 ซึ่งเป็นวันงาน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มาเป็นประธานในพิธี ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตามที่ขอรับพระราชทานน้อมนำไปถวายพระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดศาลาปูนวรวิหาร ซึ่งได้มีหลักฐานชัดเจน มีการลงข่าวประชาสัมพันธ์เยอะแยะไปหมด รวมถึงข่าวในพระราชสำนัก
จนเป็นที่มาของการออก “ใบอนุโมทนาบัตร” ในชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล วัดศาลาปูนวรวิหาร จำนวนเงิน 200,000 บาท โดยออกให้เมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม 2565 อีกด้วย ใบอนุโมทนาบัตรดังกล่าว มีตราประทับของวัดศาลาปูนวรวิหาร พร้อมกับลายเซ็นกำกับของ พระครูอนุกูลศาสนกิจ เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร และ เจ้าคณะอำเภอพระนครศรีอยุธยา อย่างชัดเจน
“ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมเล่าย้อนรำลึกพอหอมปากหอมคอ เพื่อเรียกสติคุณสุรเชชษฐ์ สักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าผมพูดกลั่นแกล้ง เพราะก่อนหน้านี้คุณเคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมแบบนี้จริงๆ ผมถึงต้องออกโรงมาเตือน มาพูดเตือนประเด็นทำพิธีขี่ช้าง เพราะคุณเคยมีประวัติทำเรื่องมิบังควรมาแล้วจริงๆ” นายสนธิ กล่าว