xs
xsm
sm
md
lg

ตั้งคนเอี่ยวคดี “เอิร์ธ” ถอดบทเรียนหุ้นสตาร์ค เอาอุจาระมากลบซากศพ!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ทวี สอดส่อง” ตั้ง “พิชัย นิลทองคำ” นั่ง ปธ.ศึกษาแผนประทุษกรรม “หุ้นสตาร์ค” เพื่ออะไรกันแน่? เพราะ “พิชัย” คือตัวละครสำคัญในคดีโกงของ “เอิร์ธ เอนเนอร์ยี่” ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายและความสลับซับซ้อนยิ่งกว่าคดีสตาร์ค แถมเกิดขึ้นก่อนหลายปี แต่คดีไม่คืบหน้า ทำไมไม่เร่งถอดบทเรียนหาความชัดเจนให้ได้ก่อน หรือนี่จะเป็นการเอาอุจาระมากลบซากศพกันแน่



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงมหากาพย์โคตรโกงหุ้น STARK ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แต่งตั้งนายพิชัย นิลทองคำ อดีตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และอดีตผู้พิพากษาศาลล้มละลาย ให้เป็นประธานคณะทำงานพิเศษเพื่อศึกษาแผนประทุษกรรม ของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อถอดบทเรียนการโกง และนำไปใช้กำหนดนโยบายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)และหน่วยงานในตลาดทุน


การที่กระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ จะถอดบทเรียนความฉ้อฉล กลเม็ดในการวางแผนคดโกงของบริษัทนายทุนล้มบนฟูก เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง แต่มีความบังเอิญที่แปลกประหลาดเกินไปหลาย ๆ เรื่อง ที่ทำให้เรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากล ได้แก่

1.คดีโกงของบริษัท STARK แม้จะเป็นคดีสำคัญเกิดความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท แต่มิใช่คดีใหญ่ที่สุดหากมองในแง่มูลค่าความเสียหาย และจำนวนผู้เสียหาย

2.คดี STARK ไม่ได้มีความซับซ้อนมากมายนัก หากเปรียบเทียบกับคดีอภิมหากาพย์โคตรโกง อย่างคดี Energy EARTH

3.คดี STARK เกิดเป็นเรื่องขึ้นมาในปี 2565 หลังจากที่คดี Energy EARTH ที่เกิดขึ้นในปี 2560 ประมาณ 5 ปี แต่ทำไมถึงไม่ถอดบทเรียนคดี Energy EARTH ก่อน เสียหายมากกว่า และ โยงความผิดได้แทบทุกวงการ ทั้งตลาดหุ้น ธนาคารพาณิชย์ ฯลฯ

หรือว่า “บริษัทโคตรโกง” เอาเงินที่โกงมาจ่ายปิดปากปิดตาจนกระบวนการสอบสวนไม่คืบหน้าเท่าที่ควร



4.นายพิชัย นิลทองคำ คนที่ พ.ต.อ.ทวี ตั้งเข้ามาถอดบทเรียนการโกงของ STARK ดันเป็นผู้ถือหุ้นที่มีบทบาทสำคัญของบริษัท Energy EARTH รวมทั้ง ถือหุ้นใน บริษัท เมย์พลัส ไมนิ่ง แอนด์ เคมิคอล จำกัด ร่วมกับนายวสันต์ จาวลา หนึ่งในผู้ต้องหาคดีปั่นหุ้น MORE ที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษและถูกปปง.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินจำนวน 159.74 ล้านบาท

ซึ่งมันช่างบังเอิญเกินไป บังเอิญจะเข้ามาตราหน้าให้คดี STARK เป็นมหากาพย์แทน Energy EARTH หรือเปล่า? แต่มันช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกิน เพราะความคืบหน้าของคดี Energy EARTH นิ่งเงียบมาตลอดหลายปี โดยมีคดี STARK ถูกหยิบยกขึ้นมาก่อน เหมือนพยายามเอากองอุจจาระ มากลบซากศพ

ชำแหละคดี “เอิร์ธ” โกงกันทุกกระบวนการ

คดีอภิมหากาพย์โคตรโกง ของ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด(มหาชน) เกิดขึ้นตั้งแต่ ปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่ธนาคารกรุงไทยจับได้ว่าถูกโกง และ ได้ไปกล่าวโทษต่อดีเอสไอ และ ตำรวจ สน.ลุมพินี แต่จนป่านนี้ ยังดำเนินคดีกับผู้บริหารไม่ได้เลยสักคน


แถมคดีนี้ยังมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปในวงกว้าง ซึ่งถ้าหากมีการตรวจสอบกันจริงจัง ดำเนินคดีกันจริงจัง จะเสียหายเหม็นเน่าหลายวงการมาก ๆ

หรือเป็นเพราะทุกฝ่ายที่อาจจะต้องเน่าเหม็นไปด้วย ถูกบริษัท เอิร์ธ แบล็กเมล์ มิให้เปิดเผยข้อมูล ไม่เช่นนั้นจะแฉให้ย่อยยับกันถ้วนหน้าก็ได้

ความเชื่อมโยงในการโกง อาจมีคนร่วมกระทำความผิดเต็มไปหมด เพราะโกงกันแทบทุกกระบวนการ แม้แต่ “แก๊งสวาปาล์ม ปตท.” กลุ่มอดีตนักการเมืองใหญ่ ที่สมคบกับ อดีตผู้บริหาร ปตท. หาประโยชน์กับโครงการที่เกี่ยวกับปาล์มน้ำมัน เช่น

-คดีปลูกปาล์มที่อินโดนีเซีย ที่เป็นคดีอื้อฉาว ทำความเสียหายให้ ปตท. กว่า 2 หมื่นล้านบาท

-คดีสต็อกน้ำมันปาล์มล่องหน เสียหายกว่า 2,200 ล้านบาท ก็อยู่ในกลุ่มขบวนการนี้พวกนี้ด้วย

ถามว่า คนพวกนี้ทำอย่างไร?

คำตอบก็คือ ตั้งแต่ ตบตาว่ามีเหมืองถ่านหินที่ได้สัมปทานในอินโดนีเซีย มีภาพถ่ายตอนไปเยี่ยมชมเหมือง แต่พาคณะไปถ่ายภาพกับภูเขา ถ่ายภาพกับกองดิน ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเหมืองถ่านหินจริงหรือไม่


ขนาดผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเจ้าหนี้ คือธนาคารกรุงไทย บุกไปตรวจสอบเองถึงบริเวณเหมือง ยังต้องขอกำลังทหารอินโดนีเซียไปช่วยคุ้มกัน พอไปถึงยังไม่ทันได้ดูอะไร ก็ต้องรีบกลับขึ้นเฮลิคอปเตอร์ทันที เพราะทหารอินโดนีเซียแจ้งว่า กำลังมีอันตราย ขณะที่บินขึ้นมาแล้ว คณะบน ฮ. ก็มองลงมาเห็นรถจี๊ปหลายคัน กำลังวิ่งเข้ามาในจุดที่คณะเพิ่งไป บนรถจี๊ปมีคนใส่ชุดพรางนั่งเต็มไปหมด และทุกคนถืออาวุธปืนสงคราม นั่นก็คือกลุ่มติดอาวุธของมาเฟียท้องถิ่น ที่อาจได้รับแจ้งจากเอิร์ธ ซึ่งไปร่วมมือกันเพื่อออกเอกสารกรรมสิทธิ์ปลอมของเหมือง เพื่อให้ไปหลอกธนาคารเจ้าหนี้

นอกจากนี้ ยังมี “เหมืองถ่านหินปลอม” อีกหนึ่งที่ ซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึก ที่ไม่มีถนนหนทางในการขนถ่านหินด้วยรถขนาดใหญ่ มีแต่แม่น้ำในป่าที่คดเคี้ยวและมีร่องน้ำตื้น เป็นไปไม่ได้ที่จะนำเรือขนาดใหญ่เข้าไปขนถ่านหิน จึงทำให้รู้ว่า เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์สัมปทานนั้น มีมาเฟียท้องถิ่นอินโดนีเซียช่วยทำให้มาให้

การโกงและความเชื่อมโยงต่อมา ก็คือ บริษัท Energy EARTH ขนถ่านหินเข้ามาประเทศไทยจริง แต่มีจำนวนเที่ยวเรือที่เข้ามาจริงน้อยกว่าจำนวนเรือและปริมาณถ่านหินที่ระบุไว้ตามแผน และจำนวนเอกสารนำเข้า


พูดง่าย ๆ ก็เช่น มีเอกสารแจ้งธนาคารว่า จะนำเข้าในช่วงนี้ 80 เที่ยว มีเอกสารทั้งจริงและปลอมมายื่น แต่เอาเข้ามาจริง ๆ 20 เที่ยว แถมเรือที่ขนถ่านหินเข้ามาประเทศไทย ดันถูกตรวจสอบพบว่า มิใช่เรือที่เดินทะเลในเส้นทางจากอินโดนีเซียมาไทย แต่เป็นเรือที่เดินทะเลในแถบทะเลจีนใต้ เพราะการเดินเรือในทะเลนั้น เรือแต่ละลำจะมีเส้นทางประจำ เหมือนรถเมล์ ยิ่งเรือเดินทะเลที่ขนส่งสินค้าประเภทนี้ จะไม่วิ่งเหมือนแกร็บไบค์ หรือวินมอเตอร์ไซต์ ที่ไปทุกที่ รับทุกสินค้า ส่งทุกแห่ง

นี่ก็แสดงว่า ลวงโลกเรื่องเหมืองถ่านหินแล้ว ยังลวงเรื่องการขนส่งถ่านหินอีก ส่วนเอกสารที่แจ้งว่านำเข้ามาไม่ตรงความเป็นจริงนั้น แน่นอนว่าต้องมีความผิดปกติในกระบวนการตรวจศุลกากรด้วย นี่ก็อีกหนึ่งความเชื่อมโยงในกระบวนการคดโกง

ความผิดปกติต่อมา ก็คือ ถ่านหินของ Energy EARTH ที่นำเข้ามา กลับถูกขายสู่ตลาดในประเทศไทย ในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ต่ำกว่าท้องตลาด บางล็อตมีราคาต่ำกว่าที่แจ้งไว้ด้วย

ซึ่งเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ที่เคยตรวจสอบ ได้ถามกับบริษัทผู้ซื้อในไทย ตามรายชื่อที่ Energy EARTH แจ้งว่าเป็นลูกค้า ก็ได้รับคำตอบที่น่าตกใจว่า ถ่านหินนี้มีราคาถูกที่สุดในตลาด ถูกกว่าเกือบเท่าตัว เหมือนคนขายร้อนรนอยากปล่อยของขายทิ้งไว ๆ

และประเด็นที่อาจจะลุกลามบานปลายอีกอันก็คือ บริษัทผู้สอบบัญชีระดับ Big 4 ของ Energy EARTH เพราะตลอดระยะเวลาที่มีการโกง กลับตรวจสอบไม่พบความผิดปกติต่าง ๆ ได้อย่างไร? หรือถูกหลอกอีกที? หรือบริษัทผู้สอบบัญชีที่มีชื่อเสียงระดับโลกมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่? ถึงได้ไปรับรองงบการเงินจนทำให้ธนาคารเจ้าหนี้เชื่อว่า เหมืองมีมูลค่าสูงจริง อันนี้จะเสียหายใหญ่หลวงระดับชาติกันเลยทีเดียว

คีย์แมน EARTH ที่ชื่อ “พิชัย”


มาถึง ความเชื่อมโยงของ Energy EARTH กับ นายพิชัย นิลทองคำ คนที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่องเพิ่งตั้งมาช่วยดูคดี STARK โดยในช่วงที่เอิร์ธถูกธนาคารจับได้ และระงับการปล่อยสินเชื่อใหม่ นายพิชัยเป็นผู้ถือหุ้นด้วย พอบริษัทขาดสภาพคล่อง ไม่ได้รับเงินกู้ นายพิชัยจึงได้เข้าร่วมการประชุม และได้ชี้นำที่ประชุม ให้โหวตดำเนินคดีกับธนาคารเจ้าหนี้ นำโดยธนาคารกรุงไทย

นอกจากนี้ นายพิชัยยังมีส่วนร่วมในเรื่องการเสนอแผนฟื้นฟูกิจการของ บ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ ซึ่งการเสนอแผนฟื้นฟูครั้งแรกนั้น ก็ผิดปกติแล้ว เพราะบริษัทนี้ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าจะเข้าแผนฟื้นฟู หลังจากถูกระงับวงเงินสินเชื่อเพียง 1 เดือน ซึ่งผิดปกติเกินไป จนต่อมา ก็มีการขอให้ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้เข้าแผนฟื้นฟูกิจการ แต่กลับพบว่า มีการสร้าง “หนี้เทียม” ขึ้นมาถึง 26,000 ล้านบาท สูงเกินกว่ามูลค่าหนี้สินที่แท้จริง

โดย บริษัท EY ผู้สอบบัญชีรายใหม่พบว่า บริษัทมีหนี้สินสูงถึง 150,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้นอกงบการเงิน ไม่อยู่ในบัญชีและงบการเงินของบริษัท ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน หรือสร้างหนี้เทียมขึ้นมาเพื่อตบตาศาลล้มละลายกลางและเจ้าหนี้ เพื่อปูทางไปสู่แผนฟื้นฟู และเงินกู้ก้อนใหม่

ซึ่งในปี 2562 ศาลล้มละลายกลางก็พิจารณาไม่เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการของ Energy EARTH ทั้งที่เป็นศาลที่นายพิชัยเคยทำงาน แต่นายพิชัยลาออกมาตั้งแต่ปี 2561 โดยลาออกในช่วงที่มีข่าวลือว่า ผู้พิพากษาคนนึงกำลังจะถูกปลด เพราะผิดวินัยร้ายแรงเชิงชู้สาว(เพราะก้มกราบเมียน้อย)


คดี EARTH ถูกดองเค็ม

สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินคดี ผู้บริหาร Energy EARTH นั้น แม้ธนาคารเจ้าหนี้ ตลาดหลักทรัพย์ และผู้ถือหุ้นกู้ จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ คดีความล่าช้าทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ยังมีคดีที่อยู่ในมือของ ป.ป.ช. ซึ่งแทบไม่มีความคืบหน้า และไม่รู้ว่าจะสั่งฟ้องทันเวลาก่อนคดีหมดอายุความหรือไม่ นี่อาจเป็นเพราะ คดีอภิมหากาพย์โคตรโกง มันมีคนร่วมขบวนการเยอะมาก จนไม่อาจจะยอมให้ถูกลากเข้ามา จึงมีพลังอำนาจในการขัดขวางการดำเนินคดีมาตลอด

นอกจากจะไม่ถูกดำเนินคดีให้รับกรรมที่ทำไว้ กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการโกงบริษัท EARTH ทุกวันนี้ยังอยู่ดีมีสุข แถมใช้ชีวิตอย่างหรูหราบนซากศพของบริษัท บนคราบน้ำตาของผู้เสียหาย และเย้ยหยันแบงก์เจ้าหนี้

ข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข่าว ยืนยันว่า คนใน “ตระกูลผู้ถือหุ้นใหญ่ของเอิร์ธ” ได้ผ่องถ่ายทรัพย์สินโดยเฉพาะเงินสดของบริษัทไปเปิดบัญชีไว้กับธนาคารในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนแห่งเสรีทางการเงินอีกแห่งของโลก คนละ 1 บัญชี รวมมูลค่าก็พันล้านบาท


กระทั่งต่อมา ได้รับ Notice จากธนาคารให้นำเงินออกจากบัญชี เพราะ หลังบริษัทเอิร์ธ ผู้ถือหุ้น ถูกเจ้าหนี้ฟ้อง เกิดปัญหากับบริษัทขึ้นมา ธนาคารจึงขอให้หาทางนำเงินออกไป

กลุ่มคนเหล่านี้ได้โยกเงินส่วนหนึ่งไปที่สิงคโปร์ ขณะที่บางส่วนถูกกระจายเข้ามาผ่านบริษัทต่าง ๆ ของคนในตระกูลผู้ถือหุ้นใหญ่

กลโกง กับ วิชามารของคนกลุ่มนี้ หรือ พวกฉ้อโกงที่นิยมใช้กันก็คือ เปิดบริษัทขึ้นมารองรับธุรกรรมเทา ๆ ดำ ๆ เหล่านี้ ก็คือ มีบริษัทนอมินี บางบริษัทก็เป็นบริษัทปลอม ๆ โอนกันไปโอนกันมา เช่น บริษัทในฮ่องกงจะเป็นแหล่งพักของเงินก่อนที่จะไซฟ่อนเข้ากระเป๋า

คนกลุ่มนี้พอมีเงินก็ใช้ชีวิตหรูหรา ช่วงปี 2563 - 2565 บางคนนำเงินไปซื้อรถซูเปอร์คาร์หลายคัน ทั้ง เฟอร์รารี่ ลัมบอร์กินี ปอร์เช่ มูลค่ามหาศาล

บางคนมีความสุขกับการไปต่างประเทศ ชอปปิงสินค้าแบรด์เนม กระเป๋า นาฬิกา แพงๆ บางคนเก็บเงินสดไว้กับคนใกล้ชิด แหล่งข่าวรู้กระทั่งว่า เก็บเอาไว้ที่เซฟที่คอนโดฯ ฝากไว้ที่บ้านแม่ยาย เป็นต้น

บางคน นำเงินไปลงทุนในบริษัทอื่น และ ใช้ชื่อคนสนิทเป็นนอมินีในการบริหารงาน และ ไซฟ่อนเงินผ่านพนักงานนอมินีที่ตัวเองจ้างกลับมาเข้ากระเป๋าตัวเองอีก


“ถ้าคดีเอิร์ธฯ ยังไม่คืบหน้าแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน วันหนึ่งวันใดผมจะเอาเอาชื่อ เอาหลักฐานเส้นทางการเงินของคนกลุ่มนี้มาเปิดเผยให้ท่านผู้ชมรับทราบ


“สรุป อย่าใช้คดี STARK กลบซากความเสียหายคดี EARTH สุดท้าย ผมอยากจะฝากไปถึง นายทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ว่าควรแต่งตั้งนายพิชัย ให้เข้ามาถอดบทเรียนของตัวเอง ในคดี Energy EARTH ซึ่งน่าจะทำได้ดีกว่า เพราะน่าจะรู้ลึกรู้จริง ใกล้ชิดวงในแบบสุด ๆ

“ไม่ต้องให้นายพิชัยไปถอดบทเรียนคดี สตาร์ค เพียงเพราะต้องการใช้คดีสตาร์คมากลบทับดับความฉาวโฉ่ของคดีเอิร์ธ เพราะคดีเอิร์ธ เชื่อมโยงอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน พัวพันกันทุกวงการ อย่างน้อยจะได้กระชากหน้ากากพวกคดโกง ผู้เสียหายจำนวนมากมายที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนล้มป่วย ล้มหายตายจากไปแล้ว จะได้ตายตาหลับกันเสียที”
นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น