มติ ก.ตร. 12 ต่อ 0 ย้ำคำสั่ง “บิ๊กต่าย” ให้ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ออกจากราชกาารไว้ก่อน ถูกต้องแล้ว เท่ากับดับความฝันที่จะขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร. แม้จะเหลือต้องสู้อีกสนามคือ ก.พ.ค.ตร.แต่ก็ยากที่ีคดีจะพลิก เพราะมติ ก.ตร.ที่เป็นเอกฉันท์คำคออยู่ เป็นการวางหลักการตามเจตนารมณ์ พ.ร.บ.ฯ ที่ต้องการให้ตำรวจดำรงตนอยู่ในวินัยโดยเคร่งครัด
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา มีมติ 12 ต่อ 0ยืนยันว่าคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น ถือเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลง ที่ทำให้นอกจาก “บิ๊กโจ๊ก” หมดโอกาสขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในอนาคต แม้แต่จะเดินเข้ามาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังไม่มีสิทธิ
ทั้งนี้ ตามขั้นตอนของกฎหมายมติของ ก.ตร.ไม่ได้เป็นที่สุดหรือเด็ดขาดเสียทีเดียว เนื่องจากต้องสู้กันอีกสนามที่การพิจารณาของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.พ.ค.ตร. แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่คดีจะพลิก เหตุที่มติ 12 ต่อ 0 ของ ก.ตร.ค้ำคออยู่ โดยถ้ามติ ก.ตร.ผลออกมาเป็นอย่างสูสี ก็ยังพอให้ “บิ๊กโจ๊ก” ได้ลุ้นต่อไป แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้ “บิ๊กโจ๊ก” ก็คงต้องก้มหน้าและสู้คดีความในกระบวนการยุติธรรมต่อไป
การประชุม ก.ตร.ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการวางหลักการเกี่ยวกับการตีความ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ไว้อย่างสนใจ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนและผลของการให้นายตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน
มาตราที่สำคัญของเรื่องนี้ คือ มาตรา 120 วรรคท้ายว่าด้วยการห้ามไม่ให้ยกข้ออ้างเรื่องการถูกกระทบสิทธิในระหว่างการสอบสวน และมาตรา 131 วรรคหนึ่งว่าด้วยการกำหนดให้ช้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา หรือถูกฟ้องคดีอาญา ออกจากราชการไว้ก่อน
โดยเดิมทีมีการพยายามตีความว่ากรณีของ “บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่เข้าข่ายที่ต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากคดีในชั้นศาลยังไม่ถึงที่สุดหรือแม้แต่ผลของการสอบวินัยก็ยังไปไม่สุดทาง เนื่องจากยังต้องไปชี้ขาดกันที่ชั้นการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร.อีก และที่สำคัญ คือการจะให้ออกจากราชการได้นั้นจำเป็นต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง
เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ตามที่กฎหมายกำหนด ในมุมมองของฝ่าย “บิ๊กโจ๊ก” จึงเห็นว่าอยู่ดี ๆ จะมาเด้งให้พ้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงให้ออกจากราชการ ย่อมทำไม่ได้
แต่มติ 12 ต่อ 0นั้นได้กำหนดบรรทัดฐานใหม่อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ เป็นการชี้ให้เห็นว่าการใช้และการตีความมาตรา 120 วรรคท้าย และมาตรา 131 วรรคแรก ต้องแยกต่างหากจากกัน
เนื่องจากอำนาจให้การนายตำรวจคนใดออกจากราชการไว้ก่อนนั้นย่อมเป็นสิทธิเด็ดขาดของผู้บังคับบัญชา ซึ่งในที่นี้ คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงไว้หรือไม่ หรือแม้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยแล้ว ผู้บังคับบัญชาก็มีอำนาจสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยไม่จำรอคำแนะนำจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับ ข้อโต้แย้งที่ว่าการให้ออกจากราชการไว้ก่อนจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ตามมาตรา 140 วรรคหนึ่ง ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เนื่องจากไม่ได้หมายความว่าในระหว่างที่ยังไม่ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ตามมาตรา 140 ผู้ที่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นยังอยู่ในตำแหน่งที่จะปฎิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งนั้นได้
เพราะการนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 140 เป็นเพียงแบบพิธีที่จะกระทำในภายหลังที่ได้มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนไว้โดยชอบตามมาตรา 131 แล้วเท่านั้น
ดังนั้น มติของ ก.ตร.ที่ออกมา จึงเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องทั้งในเชิงหลักการทั่วไปและเจตนารมณ์ของกฎหมายตำรวจที่ต้องการให้ข้าราชการตำรวจดำรงตนอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด จึงเป็นเหตุผลที่สนับสนุนการตีความกฎหมายตำรวจฉบับนี้ควรต้องเคร่งครัดและยึดมั่นในเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นสำคัญเหนือกว่าอิทธิพลดำมืดของฝ่ายใด
ดับฝัน “โจ๊ก” นั่ง ผบ.ตร.
กรณีที่ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ต้องหาคดีอาญาจนศาลอาญาออกหมายจับข้อหาฟอกเงินและมีส่วนพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ จนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ที่ประชุม ก.ตร.มีการถกเถียงถึงขั้นตอน/กระบวนการ/ข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาประกอบการพิจารณาในการออกคำสั่ง
ท้ายที่สุด ก.ตร.มีมติเห็นชอบตามมติ ของอนุ ก.ตร.วินัย ชุดที่มี พล.ต.อ.วินัย ทองสอง เป็นประธาน ด้วยมติ 12 ต่อ 0 เสียง โดยเห็นว่าการดำเนินการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็นไปโดยชอบด้วยระเบียบและกฎหมายทุกประการ
โดยในพิจารณาประเด็นร้อนนี้ บิ๊กต่าย แสดงสปิริตด้วยการขออนุญาตออกจากห้องประชุม มติ 12 ต่อ 0 จึงไม่มีเสียงของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รวมอยู่ด้วย
ขั้นตอนต่อไป นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ตาม ม.140 พ.ร.บ.ตำรวจฯ 2565 ทันทีที่ มีพระบรมราชโองการลงมา ถือว่าพิธีการครบถ้วน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็จะพ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ดับฝันที่จะกลับมาสวมเครื่องแบบตำรวจ ความหวังที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.ก็จะหมดสิ้นตามไป
นอกจากนี้ที่ประชุม ก.ตร.ยังเห็นว่า การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์คำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนต่อ ก.พ.ค.ตร.ก่อนหน้านั้น ในการวินิจฉัยอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ก.พ.ค.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ 2565
ถึงตอนนั้นก็ต้องวัดใจ ก.พ.ค.ตร.ว่าจะยึดหลักกฎหมาย ยึดหลักความถูกต้องชอบธรรมหรือ จะยอมก้มหัวทำตามใบสั่งผู้มีอำนาจฝ่ายที่คอยถือหาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้กลับมาสู่เส้นทางอำนาจอีกครั้ง
เมื่อผลการประชุม ก.ตร. ออกมาในทางที่ไม่เป็นคุณกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เช่นนี้ ก็ย่อมหนีไม่พ้น คนอย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่มีทางยอมรับกระบวนการที่ไม่เป็นคุณกับตนเองในทุกกรณี ก็จะเดินหน้าดับเครื่องชน ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ด้วยการฟ้องร้อง ก.ตร. และผู้เกี่ยวข้อง ตามสไตล์ ที่ใช้วิธีการฟ้องร้องคนอื่นให้เกิดคววามกลัว แต่วันนี้ทั้ง ก.ตร.12 คน และนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้กลัว พล.ต.อ.สรุเชษฐ์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปมีกฎหมายคุ้มครองหมด
เมื่อครั้งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกย้ายไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ัจนทร์โอชา นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมมือกับ นายวิษณุ เครืองาม จะฟ้องศาลปกครองว่าการย้ายไม่มีเหตุผล และนายวิษณุเป็นคนไปเป่าหู พล.อ.ประยุทธ์ ว่าให้ยอมให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องจะได้จบๆ ไม่ต้องวุ่นวาย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่กล้าสู้ก็เลยยอมตาม ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ใจ คิดว่าทุกคนต้องกลัวเหมือน พล.อ.ประยุทธ์
วันนี้มีการทำ IO หรือที่เรียกว่า สงครามข้อมูลข่าวสาร หรือ Fake News ออกมาตามสื่อ social เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือแม้กระทั่งผู้เห็นต่างกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เยอะมาก
แม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นไปตามที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องการ ก็มีรถทัวร์ลง โดนถล่มยับ จึงอยากขอฝากท่านผู้ชมผู้ฟังขอได้ใช้วิจารณญาณในการรับชมรับฟังและตรวจสอบข้อมูลข่าวให้ดีก่อน ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ในไม่ช้าความจริงจะปรากฏ
นายสนธิ กล่าวอีกว่า หาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ยอมหยุดก็จะยิ่งเสียหายต่อตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มากกว่านี้ ล่าสุด ป.ป.ช.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปรับฟังคำให้การของนายสมพร กุลวานิช อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด ที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นผู้ให้เช่าพระแก่ “เฮียอั้ง เมืองชล” โดยการแนะนำของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ค่านายหน้าจาก “เฮียอั้ง เมืองชล” เป็นจำนวนเงินประมาณ 13 ล้านบาทเศษ และเอาไปอ้างเป็นแหล่งที่มาของทรัพย์สินปืน 200 กระบอกที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยื่นชี้แจงต่อ ป.ป.ช. โดยนายสมพรได้ให้การว่าไม่เคยรู้จักกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เลย ส่วน “เฮียอั้ง เมืองชล” ก็เคยไปเช่าพระแค่ 1 หมื่นกว่าบาท นี่เป็นพยานบุคคลที่ยืนยันชัดเจน ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และ “เฮียอั้ง เมืองชล” ให้การเท็จ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. 2 คนที่ช่วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็มีความผิดฐานช่วยเหลือในการปกปิดทรัพย์สิน