“วิษณุ” เดินเกมทุกทางให้ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ได้กลับมาเป็น ผบ.ตร. โดยมี "ทักษิณ" หนุนหลัง บีบ “บิ๊กต่าย” ให้เปิดทาง “โจ๊ก” กลับ สตช. เสนอให้ไปนั่งกระทรวงไหนก็ได้ อีกด้านก็ขู่ฟัน 157 ฐานสั่งพักราชการ "โจ๊ก" มิชอบ เรียก “บิ๊กต่อ” ไปคุย เอาคดีที่ ป.ป.ช.ต่อรอง คาดมีดีลต่างฝ่ายต่างไม่เอาผิดกันและกัน และท้ายที่สุด “โจ๊ก” ได้เป็น ผบ.ตร. และ สตช.จะเละแน่นอน เตือน “วิษณุ” นึกถึงเวรกรรมที่เคยทำกับสมเด็จญาณฯ จนหลวงตามหาบัวสาปแช่ง ทุกวันนี้ต้องฟอกไตวันละ 10 ชั่วโมง
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา “เนติบริกร” ซึ่งฉายานี้ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่การได้มานั้น เป็นเพราะผู้มีอำนาจในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้ใช้บริการของนายวิษณุมาอย่างต่อเนื่อง การตีความกฎหมายแบบพิสดาร เพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ ได้สร้างความพึงพอใจแก่ผู้มีอำนาจ จนเป็นยี่ห้อประจำตัว ถึงขนาดยอมให้นักกฎหมายรุ่นลูกรุ่นหลานก่นด่า เพราะการตีความ กฎหมาย แบบพิสดารไม่อยู่กับร่องกับรอย สุดแล้วแต่ใบสั่งที่ได้รับมา
ล่าสุด เป็นอีกครั้งที่นายวิษณุ กำลังร่ายมนต์เพื่ออุ้ม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เพื่อให้กลับเข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจ มีหมุดหมายสำคัญ คือตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของ “สุรเชษฐ์ ” อย่างที่สุด
ถามว่า ทำไมคนอย่าง นายวิษณุ จึงต้องเปลืองตัวลงมาเล่นเกมนี้ ?
1.เพราะเป็นคนใต้ คนสงขลาด้วยกันกับ “สุรเชษฐ์ ”
2.มีใบสั่งจากผู้มีอำนาจ หรือ
3.ได้ยาดีอะไรสักอย่างจาก“สุรเชษฐ์ ”
“ท่านผู้ชมรู้ไหม ผมระแคะระคาย ทราบมาสักพักแล้วว่าคุณวิษณุลงมาเล่นเกมอุ้ม “สุรเชษฐ์” แบบเต็มตัว ตั้งแต่วางแผนให้ “สุรเชษฐ์” ต่อสู้ประเด็นข้อกฎหมาย ให้“สุรเชษฐ์ ” เป็นคนร้องตามประเด็นที่ “วิษณุ” แนะนำ ส่วน “วิษณุ” ก็รอรับลูกที่กฤษฎีกา จนออกมาเป็นอย่างที่ท่านผู้ชมทราบกันดีอยู่” นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ นายวิษณุได้เดินเกมกดดัน “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาการ ผบ.ตร.ทุกวิถีทาง ทั้งโทร ทั้งเรียกให้ไปพบ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ เพื่อหาทางให้ “สุรเชษฐ์” กลับ สตช. เพื่อเข้าสู่เส้นทางอำนาจ ให้ได้ จนถึงกับมีข่าวลือว่า มีการเอ่ยปากเสนอให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไปนั่งในกระทรวงไหนก็ได้ส่วนตำแหน่ง ผบ.ตร.ให้ “สุรเชษฐ์” รับไป
เท่านั้นยังไม่พอ ยังเดินเกมกดดันคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ให้มีมติในทางที่เป็นคุณกับ “สุรเชษฐ์” อีกด้วย
“คุณได้เรียก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ไปพบใช่มั้ย เอาคดีของต่อศักดิ์ที่ ป.ป.ช.มาต่อรอง โดยให้ต่อศักดิ์กลับมาเป็น ผบ.ตร.แล้วยกเลิกคำสั่งที่ 168/2567 ซึ่งเป็นคำสั่งให้สุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อให้สุรเชษฐ์กลับมารับราชการ แล้วเปลี่ยนคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงเพื่อช่วยสุรเชษฐ์ ใช่มั้ย
“แล้วจากนั้นสุรเชษฐ์ก็จะเป็นรอง ผบ.ตร.อันดับ 1 อาจจะมีการบีบให้ต่อศักดิ์ลาออก แล้วให้สุรเชษฐ์รักษาการ ผบ.ตร. หรืออาจให้ต่อศักดิ์รับราชการจนเกษียณ และให้สุรเชษฐ์รักษาการ ผบ.ตร.ตั้งแต่ 1 ตุลาคม เพื่อทำการคัดเลือก ผบ.ตร.ต่อไป เพราะคุณพูดเองว่าสุรเชษฐ์มีลุ้นเป็น ผบ.ตร.ต่อ
“แผนการนี้คุณอย่าคิดว่าไม่มีคนรู้ แผนการนี้ภายใต้การสนับสนุนของนายทักษิณ ชินวัตร และวิษณุ ไม่ทราบว่านายทักษิณเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ปัญหาของคุณเองยังมีน้อยเกินไปหรือไง คุณยังเอาเรื่องนี้เข้ามาแบกอีก ทำทั้งหมดเพื่อเอาสุรเชษฐ์มาช่วยงานทางการเมือง เกี่ยวกับการเลือกตั้ง สส.ทางใต้”
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่าถ้า “สุรเชษฐ์” กลับมา สตช.แล้วก็จะหาทางฟ้องร้องบิ๊กต่าย ตามมาตรา 157 กรณีที่สั่งให้ “สุรเชษฐ์” ออกจากราชการไว้ก่อน แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต เชื่อว่าถ้าบิ๊กต่ายสู้ไม่ถอย เพราะกฤษฎีกาไม่ใช้ศาล เป็นแค่ที่ปรึกษษกฎหมายคณะหนึ่งที่นายวิษณุกำกับดูแลอยู่ ถ้ารักษาการ ผบ.ตร.ยืนยันว่าเขาได้ทำตามมาตรา 131 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ เรื่องนี้ก็เดินหน้าต่อไ
อย่างไรก็ตาม ถ้า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กลับเข้าสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.แล้ว ดีลอาจจะตรงกันแล้วไปบ้าจี้ทำตามนายวิษณุ ว่าจะทำเรื่องของ “สุรเชษฐ์” เสียใหม่ ก็แปลว่าที่ผ่านมามีการดำเนินการที่ผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการไปสู่ขั้นตอนออกหมายจับ “สุรเชษฐ์” การให้ออกจากตำแหน่งไว้ก่อน ถือว่าได้กระทำผิดสำเร็จไปแล้ว ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ถ้าอย่างนั้นคณะกรรมการจะกล้าฟันธงให้ “สุรเชษฐ์” ผิดอีกหรือ เพราะตัวเองก็ต่อรองกับ “สุรเชษฐ์” ให้ไม่เอาผิดกับตัวเอง ก็จะเกิดการเกี้ยเซียะ สมยอมกัน จะทำให้ “สุรเชษฐ์” เข้าสู่ตำแหน่งแคนดิเดต ผบ.ตร.และได้เป็น ผบ.ตร.ในท้ายที่สุด
“ผมรู้ว่าแผนนี้ “สุรเชษฐ์” ต้องการกลับ ถึงแม้จะมีเรื่องฉาวโฉ่อย่างไรก็ตาม ทั้งที่ ปปง.มีหลักฐานพอเพียงว่ามีการฟอกเงินของ “สุรเชษฐ์” เพียงแต่ยังไม่แถลงเท่านั้นเอง แต่ “สุรเชษฐ์” ต้องการเอาอาวุโสสูงสุดของตัวเองเป็นตัวต่อรองว่าถ้าไม่เลือกเขา เขาจะฟ้องศาลปกครอง ถ้าเป็นเช่นนั้น สตช.ก็จะฉิบหายต่อไป เพราะว่า “สุรเชษฐ์” เป็นคนที่มีบาดแผลเต็มไปหมด ถ้าคณะกรรมการ กตร.ไม่เลือก “สุรเชษฐ์” เขาก็จะอ้างว่าเขาเป็นคนมีอาวุโสสูงสุด แต่เบื้องหลังการมีอาวุโสสูงสุดก็คือการวิ่งเต้นมาแต่ต้น การเป็นลูกน้อง พล.อ.ประวิตรมาแต่ต้น เลยทำให้ตัวเองได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว กลายเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุด ทุกอย่างมีเบื้องหลังหมด อันนี้คือการวางหมากที่ซับซ้อนของเนติบริกร เพื่อให้ “สุรเชษฐ์” ได้เป็น ผบ.ตร.
“ผมอยากจะเตือนคุณวิษณุ เครืองาม ถึงสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่แม้ผมจะไม่มีใบเสร็จ แต่คนที่เค้าจับตาดูอยู่เค้าไม่ได้กินหญ้า เค้าอ่านรู้เค้าดูเป็น คุณอย่าคิดว่าประเทศไทยคุณจะใช้เทคนิคทางกฎหมายของคุณทำอะไรกับบ้านนี้เมืองนี้ก็ได้ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง คนเลวคนชั่วคนไม่ดีมันจักต้องมีอันเป็นไปไม่ช้าก็เร็ว หาก “สุรเชษฐ์” กลับ สตช. เมื่อไหร่ สตช.ฉิบหายเมื่อนั้น”
นายสนธิ กล่าวเตือนนายวิษณุให้นึกถึงเวรกรรมที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้สาปแช่งไว้ จากกรณีที่ได้กระทำกรรมหนักต่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เมื่อครั้งแต่งตั้งสมเด็จเกี่ยวเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช โดยอ้างว่าสมเด็จญาณฯ ชราภาพแล้ว ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่สมเด็จญาณฯ ยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ ซึ่งหลวงตาบอกว่า “วิษณุมันทำอนันตริยกรรมอย่างแรง ให้ดูเอาไว้ เราพูดไม่ผิดหรอก ชีวิตบั้นปลายของมันจะทุนทุกข์ทรมานมาก แล้วมันจะตายอย่างขมขื่นที่สุด”
“นี่คือคำพูดหลวงตาที่พูดผกับผม และหลายคนที่ได้ยิน ผมเลยไม่ประหลาดใจ ที่นายวิษณุต้องฟอกไตทุกวัน วันละ 10 ชั้วโมง” นายสนธิ กล่าว
ไม่เพียงแค่เดินเกมดึงผู้หลักผู้ใหญ่มาหาทางอุ้มตัวเองทุกวิถีทาง ให้ตนเองสามารถกลับไปเป็น ผบ.ตร.ให้ได้เท่านั้น “สุรเชษฐ์” ยังมีการเดินเกมใต้ดินใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดียปั่นข่าวเท็จ ดิสเครดิตทุกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนให้ย่อยยับ และชักนำสังคมไปในทางที่ผิด ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รักษาการ ผบ.ตร. หรือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ
โดยกรณีของบิ๊กต่ายมีการทำคลิปข้อความว่า “แฉยับบิ๊กต่าย โกงกินได้รายได้เดือนละ 7 ล้านบาท” ส่วน พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก็โดนเอาคลิปเสียงไปตัดต่อ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อ “สุรเชษฐ์” จน พล.ต.อ.เอก ต้องออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่ตัดต่อคลิปดังกล่าว
“กลับไปถึงเรื่องคุณวิษณุ ผมแนะนำว่าคุณวิษณุทางที่ดี คุณควรอยู่บ้านรักษาอาการป่วย เพราะคุณเองก็บอกไม่ใช่หรือว่าทุกวันนี้ต้องฟอกไตวันละ 10 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะเปลี่ยนไตก็กลัวมีโรคแทรกซ้อน หรือ ต้องกินยากดภูมิตลอดชีวิต ทางที่ดีใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุขกับลูกๆ หลาน ๆ น่าจะดีที่สุด อย่าลดตัวเองมาแปดเปื้อนกับคนอย่าง “สุรเชษฐ์”
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนที่แล้ว วันที่ 27 พฤษภาคม 2567 เมื่อมีข่าวว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งให้นายวิษณุ เครืองาม มาเป็นที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) นายวิษณุ ให้สัมภาษณ์เซฟตัวเองว่า งานนี้ตัวเองก็พยายามที่จะเบี่ยงบ่าย เพราะว่ามีปัญหาสุขภาพ โดยเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2567 นายวิษณุไปพูด ในงาน รวมใจ นิติ -มธ.2511 ว่าต้องฟอกไตทุกคืน อาทิตย์ละ 7 วัน วันละ 10 ชั่วโมง เป็นอย่างนี้ทุกคืนจนกว่าจะตาย เว้นแต่สามารถหาไตใหม่มาเปลี่ยนได้
หลังจากนั้นก็เลยมีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า นายวิษณุรับมาช่วยงานรัฐบาลครั้งนี้ เพื่อแลกกับการเปลี่ยนไตฟรีที่โรงพยาบาลพระราม 9ซึ่งนายวิษณุ ออกมาปฏิเสธทันทีว่า ไม่จริง ไม่คิดเปลี่ยนไต
“สรุปแล้ว ง่ายๆ คุณวิษณุ คุณจะเก่งกฎหมายยังไงก็ตาม พลิกแพลงยังไงก็ตาม แต่คุณหนีไม่รอดหรอกกับเวรกรรมที่คุณทำไว้ ทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนันตริยกรรมที่คุณทำไว้กับสมเด็จญาณสังวร” นายสนธิกล่าว