กกต.เปิดศูนย์ต้านข่าวเท็จ เฟส 2 รับเลือกตั้ง ส.ว. ขู่ฟันยับอวตารก็ไม่รอด เตรียมถกรูปแบบบัตรเลือก วางเกณฑ์สกัดฮั้ว แนะก่อนสมัครเคลียร์คุณสมบัติ โดยเฉพาะปมถือหุ้นสื่อ
วันนี้ (1 เม.ย.) นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ พร้อมนายปกรณ์ มหรรณพ กกต. ร่วมแถลงข่าวเปิดศูนย์ปฏิบัติงานคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จ หรือศูนย์ Fake News นายฐิติเชฏฐ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ศูนย์ดังกล่าวเปิดมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 สามารถตรวจจับข่าวปลอมได้กว่า 100 ข่าว หลังเลือกตั้งมีประมาณวันละ 10 ข่าว ซึ่งเรามีการตรวจสอบพร้อมดำเนินคดี กับผู้ที่ปล่อยข่าวปลอมเหล่านั้น ทำให้ในการเลือกตั้งปี 2566 ปัญหาข่าวปลอม ข่าวเท็จ ปริมาณลดลง แต่ขณะนี้กำลังจะมีการเลือก สมาชิกวุฒิสภา (สว.) คาดว่าจะมีผู้ที่ไม่ประสงค์ดีให้ข้อมูลเป็นเท็จ จึงต้องมีการเปิดศูนย์ Fake New ขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 เพื่อดำเนินการตรวจสอบ โดยจะมีการใช้โปรแกรม จับข่าวเท็จ ซึ่งเป็นโปรแกรมพิเศษที่สามารถตรวจจับข่าวที่มีการนำเสนอผ่านสื่อมวลชนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นข่าวใต้ดิน หรือจากอวตาร ซึ่งเราก็อยากให้ความสนใจเพราะคนเหล่านี้ไม่เปิดเผยข้อมูลตัวตน แต่เราจะร่วมกับตำรวจไซเบอร์ ในการตรวจจับและขุดคุ้ยมาดำเนินคดี จัดการให้หมดสิ้น เบื้องต้นมีคณะกรรมการ 9 คน และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ 5 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เราฝึกให้มีการใช้โปรแกรมดังกล่าวได้ เป็นอย่างดี ยืนยันว่าข่าวที่ออกมาจะต้องมีการตรวจสอบและตอบโต้ทันที จะไม่ปล่อยให้ข้ามวัน หากเกิดขึ้นนอกเวลาราชการก็จะเรียกประชุมกรรมการและแก้ไขข่าวทันที
ด้าน นายปกรณ์ กล่าวว่า สำหรับการคัดเลือกสว.ในปีนี้ ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีจำนวนผู้สมัครในระดับอำเภอมากน้อยแค่ไหนจากจำนวนทั้งหมด 928 อำเภอ แต่สิ่งที่จะพบแน่ๆ จะมีผู้สมัครอยู่ 2 ประเภท 1. สมัครเพื่อที่จะเข้ามาเป็น ส.ว.จริงๆ กับ 2. สมัครเพื่อที่จะใช้สิทธิ์ในการเลือก ส.ว. ซึ่งประเภทที่ 2 เราจะต้องจับตามองอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม จะเห็นภาพชัด เมื่อเข้าสู่การคัดเลือกในระดับจังหวัด ซึ่งจะเหลืออยู่ประมาณ 50,000 คน ก่อนจะขึ้นมาในระดับประเทศ เหลือประมาณ 3,000 คน และจะมีการเลือกให้เหลือ 200 คนสำรองอีก 100 คน นี่คือสิ่งที่เราจะต้องบริหารจัดการให้ได้โดยเฉพาะในเรื่องของคุณสมบัติ และการใช้สิทธิ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (2 เม.ย.) จะมีการพิจารณาเรื่องบัตรเลือกสว. ซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะการเลือกไขว้ตั้งแต่ระดับอำเภอจนถึงจังหวัด ยังไม่รู้ว่าในจำนวน 5 กลุ่มที่จะถูกแบ่งเป็นหนึ่งสายนั้นจะประกอบไปด้วยกลุ่มใดบ้าง โดยกลุ่มแรกจะเลือกตัวเองและคนในกลุ่มไม่ได้ เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าเราจะต้องทำบัตรเลือกตั้งสำหรับคน 4 กลุ่ม ซึ่ง บัตรเลือก ส.ว. ทุกอำเภอจะต้องทำให้มีความสอดคล้องกัน
ส่วนเรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติ โดยเฉพาะลักษณะต้องห้าม 26 ข้อ ถือเป็นเรื่องหนักใจของ กกต.อย่างเช่น เป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือไม่ มีตำแหน่งในพรรคการเมืองหรือไม่ เคยต้องโทษจำคุกแต่เป็นความผิดประเภทใด ถ้าเป็นการพนันจะต้องเป็นเจ้ามือ
“ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์บางอย่างจะต้องเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์โดยทุจริต พูดง่ายๆ ลักทรัพย์ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ผิด แต่รับของโจรอาจจะไม่ผิดลักษณะนี้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เราพยายามพูดคุยกับอำเภอให้ชัดเจนเพื่อการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพราะจะถูกกล่าวหาทันทีถ้าบกพร่องคนที่ใช้สิทธิ์เลือกแล้วภายหลังขาดคุณสมบัติจะเกิดอะไรขึ้นหากคะแนนสูสีกันมากห่างกัน 1-2 คะแนน แต่คนที่ใช้สิทธิเลือกไปขาดคุณสมบัติ แม้กฎหมายจะยอมรับว่าหากมาพบภายหลังไม่กระทบกระเทือนต่อการกระทำที่ผ่านมาแต่สังคม ประชาชนจะบอกว่าคนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะสมัครแล้วทำไมยังมาใช้สิทธิ์เลือกทำให้คนนั้นได้รับเลือก อีกคนไม่ได้รับเลือก แล้วคะแนนต่างกันเล็กน้อยปรากฏว่าถ้าคนนั้นไม่มีสิทธิ์สมัคร ก็อาจทำให้อีกคนมีสิทธิ์ได้ นี่เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มาก ที่ทางสำนักงานฯกำลังดำเนินการหาวิธีทำงานให้มีประสิทธิภาพ”
ส่วนลักษณะต้องห้ามเรื่องการถือหุ้นในกิจการสื่อ หรือในห้างหุ้นส่วน แม้เพียง 1 หุ้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานว่า ผิด ดังนั้น ถ้าจะให้ดีก่อนการลงสมัคร ผู้จะลงสมัครควรมีการตรวจสอบตนเองให้เรียบร้อย ทำตัวเองให้สิ้นสงสัย เพราะหากมีปัญหา จะต้องมีการส่งศาลฎีกา ส่วน ศาลฎีกาจะมีการวินิจฉัยออกมาอย่างไรเราไม่อาจก้าวล่วง แต่ กกต.ยินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาล
เมื่อถามว่า ทางศูนย์จะมีการตรวจสอบหรือ Monitor เน้นในกลุ่มนักการเมือง หรือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการจับตากลุ่มใดเป็นพิเศษแต่จะดูข้อมูลข่าวสารที่มีการนำเสนอ ในภาพรวม หากเป็นข้อมูลเท็จ ก็จะมีการตรวจสอบและออกมาแก้ไขอย่างทันท่วงที แต่หากข้อมูลการสื่อสารของกลุ่มต่างๆ ไม่ใช่ข้อมูลเท็จ เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต แต่อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดเล็กน้อย เราก็จะไม่เข้าไปแตะต้อง ถ้าถามว่าตอนนี้มีการปล่อยข่าวเท็จออกมาแล้วหรือไม่ เรื่องนี้เรายังไม่สามารถประเมินได้
เมื่อถามถึงมาตรการรับมือกับการล็อคโหวต นายปกรณ์ กล่าวว่า เราได้เราได้วางกำลังอย่างเข้มข้น โดยส่งพนักงานทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบไม่ให้เกิดการฮั้ว
ขณะที่ นายฐิติเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่อยากให้ เกิดภาพการรับจ้างเลือกคนใดคนหนึ่ง หากมีการตรวจสอบพบ กระบวนการสมัครเข้ามาเพื่อเลือกคนฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายและกกต.จะดำเนินคดี ส่วนผู้ที่จะลงสมัครสว.ก็ต้องเคลียร์ตัวเองให้ชัดเจนในเรื่องของคุณสมบัติ อย่างการถือหุ้นสื่อแม้เพียง 1 หุ้นก็ถือว่ามีความผิด ก็ไปจัดการโอนหรือขายออก ให้หมด.