xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 5-11 พ.ค.2567

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."ภูมิธรรม" โชว์กินข้าวเก่าเก็บ 10 ปีโครงการจำนำ ยัน กินได้ จ่อเปิดประมูล ด้าน "เศรษฐา"บอกลองกินแล้ว เหมือนข้าวทั่วไป ขณะที่ "อ.อ๊อด" เตือน พบสารก่อมะเร็งอันตรายมาก!

เมื่อวันที่ 6 พ.ค.นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เผยหลังลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่คลังกิตติชัย หลัง 2 อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และที่ บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 ต.เฉลียง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ ว่า ได้นำตัวอย่างข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุง และรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง และจากนี้จะมีการตรวจสอบก่อนประกาศจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐเป็นการทั่วไป

“ครั้งที่แล้วได้ลองชิมข้าวกับท่านผู้กำกับฯ แต่เมื่อทำไปแล้ว มีเสียงทักว่าข้าว 10 ปีกินไม่ได้ เหมือนเล่นละคร ข้าวปีหนึ่งก็เน่าแล้ว 5 ปีก็เน่าแล้ว ปัญหาอยู่ที่การเก็บรักษา ถ้าเก็บรักษาดี ก็สามารถดูแลได้ ถ้าเก็บไม่ดี ไม่ต้อง 5 ปี หนึ่งปีก็เน่าแล้ว ครั้งนี้อยากทำให้เกิดข้อสรุปที่ชัดเจน สิ้นข้อสงสัย...”

สำหรับที่คลังกิตติชัย หลัง 2 มีข้าวจำนวน 112,711 กระสอบ และที่พูนผลเทรดดิ้ง มี 32,879 กระสอบ รวมประมาณ 150,000 กระสอบ เป็นข้าวปี 2556/57 ถึงวันนี้ก็ 10 ปีพอดี เป็นข้าวที่เก็บรักษาอย่างดี เจ้าของโรงสี เจ้าของโกดังรมยาตามมาตรฐาน ปิดโกดังแน่นหนา ไม่มีนกเข้า ไม่มีฝนตกที่ทำให้ข้าวเสีย ที่มีปัญหาข้าวบูดเน่า คือ การเก็บรักษาที่ไม่ดี โรงสีทั้งสองถือว่ามีการเก็บรักษาที่ดี โรงสีกิตติชัยรมยาทุก 2 เดือน โรงสีพูนผลรมยาทุกเดือน

นายภูมิธรรม กล่าวว่า หลังจากขั้นตอนการตรวจสอบแล้ว เร็วที่สุด ภายในหนึ่งสัปดาห์น่าจะสามารถเปิดประมูลได้ จะทำให้เร็วที่สุดและอิสระ เพราะตนพิสูจน์ขั้นต้นให้แล้ว จะประมูลเหมากองเอาไปทั้งหมด ขายทั้งหมด เอาเงินเข้ารัฐจ่ายคืนเจ้าของโกดังตามความเหมาะสม เป็น 2 โกดังสุดท้ายของโครงการจำนำข้าว ซึ่งจะได้พิสูจน์ว่า ข้าว 10 ปียังรับประทานได้

มีรายงานว่า นายภูมิธรรม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน บริษัทเซอร์เวย์ ผู้ตรวจสอบคุณภาพและรับข้าวสารเข้าคลัง สมาคมโรงสี ผู้ส่งออกข้าว คณะผู้สื่อข่าว ได้ร่วมเปิดโกดังที่คลังกิตติชัย หลัง 2 อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และเก็บตัวอย่างข้าว รวม 9 ตัวอย่าง มาดูลักษณะทางกายภาพและนำมาหุงให้กับบรรดาสื่อมวลชนที่ร่วมลงพื้นที่ ร่วมกันชิมข้าวสวยที่ได้จากข้าวสารในโกดังทั้ง 2 แห่ง กับกะเพราไก่ ไข่เจียว

ทั้งนี้ หลังนายภูมิธรรมกินข้าวโชว์เพื่อพิสูจน์ว่า ข้าวที่เก็บไว้นานเป็นสิบปี ยังกินได้ ส่งผลให้หลายฝ่ายออกมาให้เตือนและให้ข้อมูลว่า ข้าวเก็บ 10 ปี เสี่ยงต่อสารพิษอะฟลาทอกซิน ที่ก่อมะเร็งตับได้ ปรากฏว่า นายภูมิธรรม ได้ให้สัมภาษณ์หลังผู้สื่อข่าวถามว่า กินข้าวเก็บ 10 ปีแล้วท้องเสียหรือไม่ โดยยืนยันว่า ไม่เสีย โอ้โหสบายมาก เป็นการตรวจคุณภาพข้าว ชิมแล้วไม่มีกลิ่นหืน ไม่มีความรู้ว่าจะกินไม่ได้ ความหอมอาจจะลดลงไม่เหมือนข้าวใหม่ แต่ความนุ่นนวลไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น หลังจากตรวจสอบ ผู้ประมูลก็สามารถไปหาโรงสีหรือปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดี เมื่อวานผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ก็ไปทานด้วย อธิบดีกรมการค้าภายในก็ไปด้วย ทั้งยังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมรับประทาน

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเองยังได้เข้าไปตรวจกองข้าว เพื่อไม่ให้มีการจินตนาการไปว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่อยากให้เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง เรื่องนี้เราพยายามทำให้เรื่องราวต่างๆ ของประเทศจบลงด้วยดี และสามารถนำเงินกลับเข้าประเทศได้ อย่างน้อยถ้าประมูลได้ราคามาตรฐาน 17-18 บาท ก็จะมีรายได้เข้ามาถึง 200-400 ล้านบาท

ส่วนการไปดำเนินการส่วนนี้ จะส่งผลต่อการรื้อฟื้นคดีโครงการจำนำข้าวมาพิจารณาใหม่หรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนั้นไม่ใช่เป้าหมายของตนเอง ตนเองมีหน้าที่ขนข้าวในคลังออกไปขาย ดีกว่าปล่อยให้เน่าเสียประมาณกว่า 150,000 กระสอบ ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็ถึงขั้นขายไม่ได้ ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ จนได้ไปดู และลองหุงมาชิมก็รู้สึกว่าอร่อยไม่มีปัญหาอะไร ย้ำว่า อยากให้เรื่องนี้ปิดตำนานไปเสีย ส่วนในทางคดีจะเป็นอย่างไรไม่ใช่ภารกิจของตนเอง ใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็ว่ากันไป ส่วนโรงเก็บข้าวเมื่อเคลียร์เรียบร้อยก็จะได้เงินประกันคืน ซึ่งเขาก็ควรจะรับสิทธินั้นอย่างสมเหตุสมผล

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ส่งออกรายใหญ่ 2 ราย คือ นครหลวง และธนสรร รวมถึงผู้ส่งออกข้าวหลายรายในจังหวัดสุรินทร์ก็ได้มาร่วมตรวจสอบด้วย และมองว่า หากนำข้าวไปปรับปรุงอีกหน่อย ก็จะสามารถขายให้ตลาดข้าวเก่าในทวีปแอฟริกาได้

นายภูมิธรรม กล่าวว่า หากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (7 พ.ค.) หารือกันจนสิ้นสงสัย ตนก็จะเร่งดำเนินการประมูลภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินเดือนมิถุนายน อยากให้มันจบ จะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไม่อยากให้เกิดดราม่า เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง

“ผมว่ามันคงยุติข้อกล่าวหาตอนแรกไปแล้ว เพราะดูแล้วเม็ดข้าวก็สวยงาม สีของข้าวมีปัญหาจริง ฝุ่นมีปัญหาจริงก็ต้องไปซาวข้าว ซึ่งเอาจริงก็ไม่เกิน 15 ครั้ง เป็นเรื่องปกติของการหุงข้าวมากิน อย่าไปทำให้มันเกิดความน่ากลัว ใครสงสัยผมก็บอกแล้วให้ไปดูด้วยกัน”

ส่วนกรณีที่มีการเชื่อมโยงการเคลียร์ข้าวของรัฐบาลออกจากโกดังในครั้งนี้ กับกระแสข่าวการเดินทางกลับประเทศไทยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า อันนี้คือเอาจินตนาการมาชี้นำความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเรายังไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณยิ่งลักษณ์จะกลับหรือไม่กลับ ก็ไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้

ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม ออกมากล่าวอ้างว่า สต็อกข้าวขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่เก็บมานานกว่า 10 ปี ยังดีอยู่ และมีการกินโชว์สื่อมวลชน รวมทั้งให้พิธีกรบางรายการนำไปกินโชว์อีกนั้น เรื่องนี้คนที่รู้บัญชีคงไม่เชื่อถือ เพราะข้าวสารเป็นสินค้าทางการเกษตรที่มีการเสื่อมสภาพ และงบการเงิน อคส.ก็มีการหักค่าเผื่อจากการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือไว้ทุกปี

การออกมาโชว์ว่า ข้าวในสต็อกดังกล่าวยังดีอยู่และกินได้นั้น จึงไม่ใช่หลักฐานทางบัญชีที่น่าเชื่อถือได้ว่าข้าวในสต็อกดังกล่าวรวมทั้งสองคลังจำนวน 145,590 กระสอบ จะดีอยู่จริงหรือไม่ ควรเชิญให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปตรวจสอบข้าวทุกกระสอบก่อนที่จะมีการนำไปประมูลขายด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ข้อมูลที่แถลงข่าวกล่าวอ้างออกมานั้นถูกต้องกับสต็อกข้าวสารที่มีอยู่จริงและตรงตามเอกสารทางบัญชีของ อคส. โดยมี สตง.เข้าไปตรวจสอบรับรองได้

“วันนี้จึงส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้นายกฯ เชิญ สตง. เข้าไปตรวจสอบเอกสารทางบัญชีและร่วมตรวจนับสต็อกข้าวทุกกระสอบก่อนเพื่อให้แน่ใจได้ว่า ข้าวในสต็อกคงเหลือ ณ ปัจจุบัน ของ อคส. ก่อนที่รัฐบาลจะนำไปเปิดประมูลขายนั้น เป็นข้าวสารในสต็อกที่ถูกต้องตรงกันกับบัญชีสินค้าคงเหลือของ อคส. หรือไม่...”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะรับประทานข้าวที่เก็บไว้ 10 ปี จากโครงการรับจำนำข้าว ที่โกดังจังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งนายภูมิธรรมได้จัดเตรียมไว้ให้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีภาพโชว์การรับประทานข้าวดังกล่าวของนายเศรษฐา มีเพียงนายเศรษฐายืนยันกับผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาว่า ได้ลองกินแล้ว ความรู้สึกเหมือนกินข้าวปกติทั่วไป แต่เรื่องของสีข้าวอาจไม่ขาวเหมือนข้าวใหม่ แต่โดยรวมไม่ได้แตกต่างอะไร ทานได้

ด้าน รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรืออาจารย์อ๊อด อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกมาเผยผลการตรวจตัวอย่างข้าว 10 ปีจากโกดังในโครงการรับจำนำข้าว ใน จ.สุรินทร์ ที่มีสื่อมวลชนส่งไปให้ตรวจ โดยพบสารอะฟลาทอกซิน หรือสารก่อมะเร็งที่มีอันตรายมาก อยู่ในระดับ 20 pbb ซึ่งสะท้อนว่าอยู่ในระดับไม่ปลอดภัย ไม่ควรนำมารับประทาน

รศ.ดร.วีรชัยเผยด้วยว่า ได้ทำการตรวจสอบซ้ำถึง 3 รอบ โดยใช้เทสต์คิตของศูนย์วิจัยข้าว พบว่า 1 ใน 3 พบสารอันตรายนี้ แต่เพื่อความชัดเจนมากขึ้น จะมีการส่งตรวจด้านเคมีอย่างละเอียดอีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยการตรวจในเบื้องต้นครั้งนี้ถือว่าแม่นยำ เพราะเป็นการตรวจเพื่อการส่งออกของศูนย์วิจัยข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการระดับสูงร่วมตรวจสอบด้วย และการตรวจหาสารเคมีในสัปดาห์หน้าจะเน้นตรวจหาสาร “ฟอสไฟด์” และ “เมทิลโบรไมด์” ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการรมมอด แมลง หนู และพบว่าข้าวที่อยู่ในโกดังข้าวเก่า 10 ปีก็มีสีเหลืองด้วย และคุณสมบัติทางกายภาพที่นักข่าวส่งให้มา คือเหม็นสาบ เป็นสีเหลือง และขอให้รอผลเพิ่มเติมต่อในสัปดาห์หน้า"

ทั้งนี้ วันต่อมา (11 พ.ค.) รศ.ดร.วีรชัย ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความในเฟซบุ๊ก โดยเป็นภาพถ่ายหน้าโกดังเก็บข้าว 10 ปี ซึ่งมีรูปหัวกะโหลกไขว้และข้อความว่า "อันตรายห้ามเข้า สถานที่นี้ซีลแล้วมิดชิดนี้อยู่ภายใต้การรมยา" โดย รศ.ดร.วีรชัย ระบุข้อความด้วยว่า “ข้าวดองยา 10 ปีนี้ อาจารย์อ๊อดจะตรวจด้านเคมีอาทิตย์หน้า”

2."โน้ส อุดม" เดี่ยวสเปเชี่ยลเรื่องพอเพียง หลายฝ่ายไม่พอใจ มองเข้าข่ายด้อยค่า ศก.พอเพียง "สนธิญา" ยื่น บช.น.ตรวจสอบ ด้าน "เอ๋ ปารีณา" ทนไม่ไหว แจ้งความดำเนินคดี ม.112!


จากกรณีที่ โน้ส อุดม แต้พานิช ได้พูดถึงความพอเพียง ใน "เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์" ทาง Netflix จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความไม่เหมาะสม บางฝ่ายยื่นให้มีการตรวจสอบ ขณะที่บางฝ่ายถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดีโน้ส อุดม

ทั้งนี้ บางช่วงบางตอนของคลิป โน้สได้พูดว่า "หลังจากไปอยู่กับธรรมชาติ อยากรู้สึกว่าพอเพียง สารภาพตรงนี้เลยว่าเป็นคนไม่รู้จักพอ อยู่ไม่ได้จริงๆ จริตตนมันไม่ใช่ ตนดัดจริตเฉยๆ ทำเป็นอยากพอเพียง อยากปลูกผัก แต่เราไม่ได้เป็นจริงๆ เราแค่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเป็น แล้วเราก็อยากจะเป็นแค่นั้นแหละ แต่ไม่ง่ายเลย

แล้วเราก็ไปเห่อตามดารา อินฟลูเอนเซอร์ที่ไปอยู่ เห็นเขาเกี่ยวข้าว แต่เขาลงมาจากรถตู้ มันพอกครีมกันแดดหลายตลบแล้ว มันลงไปถ่ายภาพเกี่ยวข้าวลงไอจีแล้วกลับไปห้องแอร์ คนที่ปลูกจริงๆ คือชาวไร่ชาวนาทั้งนั้น อย่าดัดจริต ตนรู้แล้วว่าไม่ใช่เกษตรกร ตอนเด็กๆ จนมาพอแล้ว ไม่ต้องดัดจริตทำเป็นจน อยากมีแอร์เย็นๆ เน็ตแรงๆ ดูหนังได้ทั้งวัน ไม่มีแมลงหวี่มาตอมตา ตนคือผู้บริโภค"


สำหรับปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ที่มีต่อโน้ส อุดม ได้แก่ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้เดินทางไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี โน้ส อุดม ทอล์กโชว์ มีเนื้อหาเรื่องความพอเพียง โดยขอให้ตรวจสอบ 3 ประเด็น 1.เป็นการพูดถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ 2.ข้อมูลที่นำมาเสนอตรงกับจุดประสงค์แห่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือบิดเบือนเพื่อความสนุกหรือไม่ 3.การนำข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือไม่ตรงกับความจริง หรือบิดเบือนบางส่วนลงสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดแห่งปรัชญาเศรษฐกิจตามพระราชดำริต่อประชาชนทั่วไปหรือไม่

ด้าน พ.ต.อ.ทิพากร แก้วเปล่ง ผกก.ฝอ.3 บก.อก.บช.น.เผยหลังรับหนังสือดังกล่าวจากนายสนธิญาว่า จะส่งเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่ไปตีความ และตรวจสอบเนื้อหาว่ามีส่วนใดเสียหาย หรือผิดพลาดบ้าง จากนั้นจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป

ด้าน พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีต ผบช.ปส. กล่าวถึงโน้สว่า โน้ส อุดม ถือว่าเป็นศิลปินตลกที่จัดรายการทอล์กโชว์ที่มีคนสนใจเยอะ ตนเองก็เคยได้ฟัง มีการแซวคนโน้นคนนี้ทีเป็นเรื่องตลกให้คนขำขันกันได้ไม่เครียด แต่ว่าไปพูดอคติกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนตัวมองว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง เรามาอาศัยแผ่นดินท่านอยู่ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ไม่ควรมายุ่งเรื่องแนวสอนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งตนได้นำมาปฏิบัติมาทำตาม ตนมีกิน มียศ มีตำแหน่ง แต่ก็ยังมาทำไร่ ปลูกผักกิน รู้จักประหยัดอดออม แต่คุณกลับเล่นของสูง ไม่สมควรอย่างยิ่ง เมื่อก่อนฟัง ตอนนี้ได้ยินเสียงก็ไม่อยากฟังแล้ว ถ้าวันนั้นตนนั่งอยู่ด้วยก็ไม่ปล่อยให้พูดจบ เพราะไม่เข้าท่า อย่าลืมชาติกำเนิด พร้อมกับทิ้งท้ายว่า คุณไม่เคารพ แต่ผมเคารพ อย่ามาก้าวล่วง เจตนาคุณไม่ดี ดังได้ก็ดับได้

ขณะที่่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือผู้การแต้ม มือปราบหูดำ ได้กล่าวถึงโน้สเช่นกัน โดยระบุว่า "ตนเองได้ดูคลิปที่เป็นกระแสแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ก็ไม่สบายใจเช่นเดียวกัน อยากจะเตือนว่า การที่คุณพูดถึงผู้ใหญ่และวิจารณ์เรื่องเพศ อาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณได้พูดถึงเรื่องความพอเพียง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่การกระทำของคุณทำให้สังคมส่วนใหญ่เข้าใจผิด บิดเบือน เพราะคุณเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นบุคคลที่มีคนติดตามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กและคนรุ่นใหม่ ซึ่งถือว่าคุณนั้นเป็นต้นแบบ

การที่คุณออกมาพูดแล้วทำให้เป็นเรื่องตลก แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องตลกร้ายของสังคมไทย สิ่งที่คุณพูด คุณเข้าใจผิด เช่นเรื่องความพอเพียง คุณสื่อความผิด ความพอเพียงนั้นไม่ใช่แค่การปลูกผัก ทำนา ทำไร่ แต่เป็นเรื่องแนวความคิด ปรัชญาที่ลึกซึ้งในการสอนคนให้รู้จักใช้ชีวิตแบบพอประมาณ มีเหตุ มีผล และมีภูมิคุ้มกัน สามารถนำไปปรับใช้กับทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกอาชีพได้

วันนี้เมื่อคุณออกมาเตือนผู้ใหญ่ให้ทำตัวเพื่อให้เด็กยกมือไหว้ ผมว่าคุณก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว หากคุณยังมีแนวความคิดแบบนี้ ระวังจะไม่มีใครไหว้คุณเช่นเดียวกัน"


ด้าน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี ไม่พอใจการกระทำของโน้ส ถึงขั้นขึ้นโรงพักแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวันที่ 8 พ.ค. โดย น.ส.ปารีณาได้โพสต์ภาพขณะอยู่บนสถานีตำรวจ เพื่อแจ้งความเอาผิด "โน้ส อุดม" ตามมาตรา 112 โดยระบุว่า "นอนไม่หลับ จริงๆ อยากจะพัก แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ยอมรับเคยชื่นชอบ แต่การเอาเบื้องสูงมาหากิน คือสารเลว คืนนี้ปารีณามาดำเนินคดีไอ้จมูกโตตามมาตรา 112 ที่ สภ.โพธารามค่ะ ขอให้ศาลสูงพิพากษาจำคุก #ขอให้ศาลเตี้ยลงประชาทัณฑ์"

3. รทสช.วุ่น "สุพัฒนพงษ์" ยื่นหนังสือลาออกสมาชิกพรรค อ้างภารกิจส่วนตัวเยอะ ด้าน "กฤษฎา" ลาออก รมช.คลัง หลังน้อยใจถูก รมว.คลังคนใหม่ลดงาน!



เมื่อวันที่ 8 พ.ค. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช. โดยระบุเหตุผลที่ลาออกว่า เนื่องจากมีภารกิจส่วนตัวหลายประการ จึงขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและตำแหน่งอื่น ๆ ในพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.2567 เป็นต้นไป

ด้านนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรค รทสช. ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง กับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ทางพรรคยังไม่ได้ทราบเรื่องดังกล่าว และไม่ได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการอะไร จึงยังถือว่าเป็นข่าวลือ แต่ที่ชัดเจนและเป็นทางการ คือวันเดียวกันนี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และประธานยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว โดยต้องการเปิดทางให้บุคลากรท่านอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน เนื่องจากท่านจะไปประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้ วันเดียวกัน (8 พ.ค.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ยื่นหนังสือลาออกตำแหน่ง รมช.คลัง ว่า “มีผู้สื่อข่าวส่งข่าวมา ผมจึงได้โทรหาคุณกฤษฎา ท่านก็บอกว่าใบลาออกกำลังมา ซึ่งผมได้บอกว่า ให้คิดไว้ก่อนคืนหนึ่ง เดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่” ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ ระงับใบลาออกไว้ก่อนใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนระงับไว้ก่อน

เมื่อถามว่า ตกใจหรือไม่ที่นายกฤษฎาลาออก นายกฯ กล่าวว่า เรื่องพรรค์นี้เป็นเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นมากกว่า ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกัน ตนบอกว่า หากมีความไม่สบายใจในเรื่องการแบ่งงาน ก็ยังมีโปรเจกต์อีกเยอะในกระทรวงการคลัง ซึ่งก็ยังทำงานร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรีได้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ก็พร้อมมอบหมายงานเพิ่มเติมให้ จึงขอให้ท่านคิดดูอีกคืนหนึ่งก่อน

เมื่อถามว่า นายกฤษฎาได้แจ้งเหตุผลหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงเป็นเรื่องแบ่งงานมั้งครับ เมื่อถามว่า นายกฤษฎา ได้ตอบอย่างไรทางโทรศัพท์ นายกฯ กล่าวว่า ท่านก็หัวเราะ ตนก็บอกว่าให้คิดดูก่อนแล้วกัน ตนยังไม่รับและท่านก็เป็นน้องตน รู้จักกันมานาน ก็บอกไปแบบนั้น

เมื่อถามว่า ได้คุยกับนายพิชัยหรือไม่ว่าเป็นเรื่องการแบ่งงาน นายกฯ กล่าวว่า นายพิชัยได้พยายามโทรหานายกฤษฎา แต่ท่านไม่ยอมรับสาย ตนจึงโทรหาแทน พอดีเลขาฯ ของนายกฤษฎาอยู่ตรงนี้พอดี จึงให้โทรศัพท์ไป ถามต่อว่า การเบรกของนายกฯ แสดงว่าพร้อมที่จะแบ่งงานให้ใหม่ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าต้องให้เกียรตินายพิชัยในการแบ่งงาน ซึ่งยังมีงานเพิ่มอีกเยอะ

เมื่ออีกว่า จะมีผลกระทบต่อการทำงานรัฐบาลหรือไม่ เพราะหลังปรับ ครม.มีลาออก 2 คน นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มี ก็ไม่มีปัญหาอะไร ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศก็มีการแต่งตั้งแล้ว นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ก็เป็นอดีตทูต เมื่อถามว่า จำเป็นต้องเคลียร์ใจกับนายกฤษฎา ที่ดูเหมือนถูกลดลงไปอยู่อันดับ 3 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ได้โทรหาท่านแล้วเมื่อกี้นี้ ขอให้รอคำตอบวันที่ 9 พ.ค.”

วันเดียวกัน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวนายกฤษฎาออกจากตำแหน่ง รมช.คลังว่า คงเป็นกระแสข่าว ตนยังไม่ทราบ เมื่อถามว่า ส่วนตัวมองการแบ่งงานในกระทรวงการคลังอย่างไรบ้าง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ผมยังไม่ทราบ ยังไม่เห็น เพราะผมไม่ได้อยู่กระทรวงการคลัง”

เมื่อถามว่า นายกฤษฎาได้มาพูดคุยบ้างหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่มี ยังไม่ได้พูดคุยกันเลย เมื่อถามย้ำว่า เมื่อนายกฤษฎาลาออกจะทำให้มีปัญหาในการทำงานหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ก็หาคนอื่นแทน ก็แค่นั้น เมื่อถามต่อว่า จะยับยั้งหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ เมื่อถามอีกว่า ได้ยินข่าวนี้แล้วตกใจหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ตกใจ เพราะในทางการเมืองถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีคนออกไปก็ต้องหาคนแทน เท่านั้นเอง แต่โควตารัฐมนตรียังเป็นของพรรค รทสช.

เมื่อถามต่อว่า ล่าสุดมีข่าวว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรค รทสช.ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคด้วย นายพีระพันธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน ซึ่งแต่ละคนก็มีภารกิจส่วนตัวของเขา เราจะไปยุ่งกับเขาได้อย่างไร ใครจะอยู่ใครจะไปใครจะทำอะไร แต่ละคนก็ตัดสินใจเอง

เมื่อถามอีกว่า คิดว่าจะมีปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาลและการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ ที่รัฐมนตรีชิงลาออก นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่มี เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาหรอก เมื่อถามต่อว่า การที่พรรค รทสช.มีคนออกถึง 2 คน ทำให้มองได้หรือไม่ว่าภายในพรรคมีคลื่นใต้น้ำอยู่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนทำงานมาไม่มีปัญหา

ทั้งนี้ วันต่อมา (9 พ.ค.) มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่า การแสดงเจตจำนงและยื่นจดหมายลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของนายกฤษฎา ที่ยื่นต่อนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา แม้ในวันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะได้โทรศัพท์เพื่อยับยั้งการลาออกดังกล่าว แต่ในทางกฎหมายแล้วถือว่า การลาออกของนายกฤษฎามีผลโดยสมบูรณ์แล้ว โดยก่อนหน้านี้มีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีการะบุไว้ชัดเจนว่า ตามรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตน และรับผิดชอบร่วมกันในนโยบายทั่วไปต่อสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐสภาตามบทเฉพาะกาล

เมื่อรัฐมนตรีคนใดไม่ประสงค์จะรับผิดชอบในหน้าที่ของตนหรือในนโยบายทั่วไปอีกต่อไป จึงต้องถือว่าเป็นสิทธิของรัฐมนตรีคนนั้นที่จะลาออกเมื่อใดก็ได้ และไม่อยู่ภายใต้การยับยั้งของผู้ใด ดังนั้น ในกรณีที่มีการแสดงเจตนาลาออกด้วยวาจา การลาออกย่อมมีผลสมบูรณ์เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับทราบการแสดงเจตนานั้น ส่วนกรณีที่การแสดงเจตนาลาออกกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร การลาออกย่อมมีผลสมบูรณ์นับแต่วันที่ได้กำหนดไว้ในใบลาออก ซึ่งได้ยื่น ณ สถานที่และต่อบุคคลตามระเบียบปฏิบัติราชการ โดยไม่จำเป็นต้องยื่นต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง

4. ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งให้ยึดทรัพย์ "ธาริต" อีก 44 ล้าน ฐานร่ำรวยผิดปกติ ขณะที่ก่อนหน้าเคยถูกศาลแพ่งสั่งยึดทรัพย์แล้ว 341 ล้าน!



เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับคดีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 มีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมมูลค่า 44,630,426 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากร่ำรวยผิดปกติ

คดีนี้ สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดกรณีนายธาริต ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ และมีหนี้สินลดลงผิดปกติ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ นายสนชัย ศรีทองกุล และบริษัท ปิยธนวรรษ จำกัด

โดยศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องไต่สวนดังกล่าวให้อัยการสูงสุด ร้องขอให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวันที่ 27 ก.ย.61 สรุปว่า ให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่ร่ำรวยผิดปกติรวมมูลค่า 341,797,811.58 บาท พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

ทั้งนี้ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีแรก ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกกล่าวหายังมีทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติรายการอื่น ที่อยู่ในชื่อ น.ส.สุทธิมา จันดาคูณ น.ส.ธัญธร ด่านวิบูลย์ พันตำรวจโท อิทธิพล บุญพินิจ อีกจำนวนมาก และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส ผู้ถูกกล่าวหาได้ใช้ชื่อนางวันทนา พิพัฒน์ไชยศิริ และนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ ซื้อทองคำแท่งจากบริษัท ออสสิริส จำกัด จำนวนมาก ในการนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติสั่งไต่สวนผู้ถูกกล่าวหา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอร่ำรวยผิดปกติ เป็นคดีที่สอง ซึ่งรายการทรัพย์สินที่สั่งไต่สวนคดีที่สอง เป็นคนละรายการกับทรัพย์สินที่ไต่สวนและศาลแพ่งมีคำพิพากษาในคดีแรก

โดยผลการพิจารณาในคดีที่สอง ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติว่า นายธาริต ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 53,512,096 บาท โดยที่ประชุมมีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน

ส่วนคดีที่สอง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มี.ค.67 ความแพ่ง ข้อหาขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน คดีหมายเลขดำที่ พท 1/2565 คดีหมายเลขแดงที่ พท 1/2567 ระหว่างอัยการสูงสุด ผู้ร้อง กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้าน รวม 6 คน ให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 44,630,426 บาท พร้อมดอกผลของเงิน หรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินที่ได้ โดยร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 125

สำหรับทรัพย์สินดังกล่าว ประกอบด้วย 1.เงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ชื่อบัญชีเด็กหญิงอภิชยา เพ็งดิษฐ์ โดยนางสาวสุทธิมา จันดาคูณ รวมเป็นเงิน 2,000,000 บาท 2.เงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคาร A ชื่อบัญชี นางสาวสุทธิมา จันดาคูณ จำนวน 4,800,000 บาท 3.ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น โครงการ ซิตี้เซนส์ ประชาชื่น ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ราคา 3,140,000 บาท กับค่าบำรุงบริการสาธารณะ จำนวน 22,176 บาท รวมเป็นเงิน 3,162,176 บาท 4.ห้องชุด (ห้องที่ 1) อาคารบ้านเอื้ออาทรประชานิเวศน์ ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ราคา 280,500 บาท 5.ห้องชุด (ห้องที่ 2) อาคารบ้านเอื้ออาทรประชานิเวศน์ ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ราคา 225,000 บาท

6.รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น VELLFIRE ทะเบียน ธพ 28 กรุงเทพมหานคร ราคา 1,980,000 บาท 7.รถยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น แอคคอร์ด ทะเบียน ฆญ 2931 กรุงเทพมหานคร ราคา 1,697,000 บาท 8.รถยนต์ยี่ห้อ BMW รุ่น 523 i ทะเบียน 4 กศ – 1173 กรุงเทพมหานคร ราคา 3,709,000 บาท 9.รายการทรัพย์สินของนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรสของผู้ถูกกล่าวหา ที่ใช้ชื่อนางวันทนา พิพัฒน์ไชยศิริ และนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ ซื้อทองคำแท่งจากบริษัท ออสสิริส จำกัด รวมเป็นเงิน 8,076,750 บาท 10.รายการทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหา ที่อยู่ในชื่อของนางสาวธัญธร ด่านวิบูลย์ เงินฝากในบัญชีธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขาสรงประภา ชื่อบัญชี นางสาวธัญธร ด่านวิบูลย์ รวมเป็นเงิน 11,500,000 บาท 11.รายการทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหา ที่อยู่ในชื่อของพันตำรวจโท อิทธิพล บุญพินิจ รวมเป็นเงิน 7,200,000 บาท (อาคารชุด เดอะซีเครซ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวม 2 ห้อง ราคา 6,200,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 45915 ตำบลมุกดาหาร อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ราคา 1,000,000 บาท)

ให้ผู้ถูกกล่าวหาส่งมอบเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินและทรัพย์สิน จำนวน 44,630,426 บาท และ/หรือเอกสารที่เกี่ยวกับการรับช่วงทรัพย์ของเงินหรือทรัพย์ดังกล่าว พร้อมกับให้โอนกรรมสิทธิ์ หรือชำระเงิน 44,630,426 บาท พร้อมดอกผลข้างต้นแก่แผ่นดินโดยกระทรวงการคลัง หากไม่โอนให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนา หากผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถโอนทรัพย์สินให้แก่แผ่นดินได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม ให้ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้เงิน 44,630,426 บาท หรือให้โอนทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาตามสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินที่ขาดอยู่แก่แผ่นดินแทนจนครบถ้วน และหากไม่โอนให้ถือเอาคำสั่งของศาลแทนการแสดงเจตนา

5. ศาลอาญาพิพากษาลับหลัง ให้จำคุก "ไมค์ ภาณุพงศ์" 4 ปี คดีหมิ่นสถาบัน ด้านเจ้าตัวหนีคดี ยังไร้วี่แวว หลังศาลออกหมายจับก่อนหน้านี้!



เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาครั้งที่ 2 คดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายภาณุพงศ์ หรือไมค์ ระยอง อายุ 28 ปี แกนนำม็อบคณะราษฎร เป็นจำเลย ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 8

คดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2563 ถึงวันที่ 7 ธ.ค.2563 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กใช้ชื่อบัญชี “ภาณุพงศ์ จาดนอก” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 9 หมื่นคน ได้โพสต์ข้อความลักษณะดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ให้เสื่อมเสียพระเกียรติ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายของพระมหากษัตริย์ โดยการโพสต์ของจำเลยดังกล่าว ทำให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นเข้ามาแสดงความคิดเห็น และแชร์ข้อความ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อมาวันที่ 25 ม.ค.2563 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดและได้รับการประกันตัว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่มาศาลตามนัด ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่มาศาล มีพฤติการณ์หลบหนี จึงให้ออกหมายจับจำเลย ปรับนายประกัน จำนวน 95,000 บาท และนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง

เมื่อถึงกำหนดนัด จำเลยไม่เดินทางมาศาล มีผู้รับมอบมอบฉันทะ (มารดานายภาณุพงศ์) นายประกันเดินทางมาศาล ศาลอาญาจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) เป็นความผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ที่เป็นบทลงโทษหนักสุด จำคุก 4 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลย มีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ 1 ใน 4 ตามมาตรา 78 คงจำคุก จำเลย 3 ปี


กำลังโหลดความคิดเห็น