xs
xsm
sm
md
lg

“ภูมิธรรม”เล่นเอง โนสแตนอิน โชว์กินข้าวจำนำเก็บ 10 ปี ปัดฟอกขาว“ปู” แค่อยากขายข้าวดี ราคาดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จบไปแล้วสำหรับภารกิจของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้นำคณะสื่อมวลชน โรงสี ผู้ส่งออก ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้การจังหวัด และ สส. ลงพื้นที่ไปยังโกดังเก็บข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวปี 2556/57 ตั้งแต่สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และได้ทำการสุ่มข้าวสารออกมาหุงเพื่อบริโภค โดยได้ลงทุนเป็น “พรีเซนเตอร์” บริโภคข้าวด้วยตนเอง ไม่มีสแตนอิน เพื่อโชว์ให้เห็นกันชัด ๆ ว่า ข้าวที่เก็บไว้นานถึง 10 ปี หากเก็บรักษาตามคุณภาพ มาตรฐานที่กำหนด ก็ยังบริโภคได้

แต่ก่อนที่จะมาถึง “คิวโชว์” ในครั้งนี้ ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2567 นายภูมิธรรม ได้ใช้โอกาสช่วงเดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ลงพื้นที่ไปตรวจโกดังเก็บข้าวสาร ที่คลังสินค้า บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 อ.เมือง และคลังกิตติชัย หลัง 2 อ.ปราสาท ซึ่งทั้ง 2 โกดังนี้อยู่ใน จ.สุรินทร์ เหมือนกัน หลังจากได้รับการร้องเรียนจากสมาคมผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบสินค้าเกษตรไทย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการถูกกล่าวหาว่าข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวเป็นข้าวที่เก็บรักษาไม่ได้มาตรฐาน พบเป็นข้าวเสื่อมคุณภาพจนไม่สามารถจำหน่ายให้คนบริโภคได้

ในการเดินทางไปตรวจสอบครั้งแรกนี้ มีเอกชนเจ้าของโกดัง พาณิชย์จังหวัด และเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) ซึ่งทั้ง 3 คน เป็นผู้ถือกุญแจ มาเปิดโกดัง พร้อมด้วยผู้กำกับและผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมการตรวจสอบคุณภาพข้าว โดยผลการตรวจสอบ พบว่า ข้าวในคลังยังมีคุณภาพที่ดี และได้นำตัวอย่างนำข้าวจากกระสอบออกมาทดลองหุงและชิม ซึ่งคุณภาพข้าวที่หุงแล้ว ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สามารถกินได้ จึงเห็นควรที่จะต้องรีบแก้ไขปัญหา เนื่องจากช่วงเวลานี้ ข้าวมีราคาค่อนข้างดี หากเร่งขายระบายออก จะเป็นการรักษาประโยชน์ของรัฐบาลและสะสางปัญหาให้กับทุกฝ่าย


เกิดดรามาทันที

หลังจากที่นายภูมิธรรม ได้แจ้งว่า ได้ทดลองบริโภคข้าวที่เก็บมานานถึง 10 ปี และสามารถกินได้ ก็เกิดปรากฏการณ์โลกโซเชียลมีเดียแตก ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น ฝ่ายไม่เห็นด้วย ต่างออกมา เยาะเย้ย เย้ยหยัน ว่าจะกินเข้าไปได้ยังไง ข้าวแค่เก็บ ปี 2 ปี ก็กินไม่ได้แล้ว

แม้แต่ผู้ที่เกาะติดโครงการจำนำข้าวมาโดยตลอด อย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ภูมิธรรมจะฟอกขาวให้ยิ่งลักษณ์หรือไม่” ว่า ภูมิธรรม ยันข้าว 2 สต๊อกที่สุรินทร์ โครงการรับจำนำข้าว ไม่เน่า-กินได้-ขายได้ แม้เก็บมา 10 ปี แม้ผมมาพักผ่อนต่างประเทศ แต่ผมเห็นข่าวเรื่องเก็บข้าวหอมมะลินี้แล้ว ผมคิดว่านายภูมิธรรมน่าจะเลอะเทอะมากเกินไป ข้าวสารที่เก็บมานานเป็น 10 ปี ถ้ายังดีจริง ด้วยหลักการเขาต้องขายไปนานแล้ว ที่สำคัญการเก็บข้าวสารนานเป็น 10 ปี มอดจะกินหมด แม้จะรมยา แสดงว่าข้าวต้องมีปัญหา จึงขายไม่ได้ หรือข้าวถูกล้อมกองยัดใส้ ถ้าข้าวดีจริง ทำไมจะต้องเก็บไว้ ยิ่งมาบอกว่า “ข้าวดังกล่าวไปทดลองหุง ยังมีกลิ่นหอม ข้าวยังมียาง เป็นข้าวชั้นดี สามารถนำมารับประทานได้” จะพูดอะไรให้คิดถึงความจริงบ้าง อย่าทำตัวเป็นขี้ข้านักโทษโกงคุก ไม่สนใจความจริงที่เกิดขึ้น โกหกหน้าด้าน ๆ หรือไม่ หรือถูกหลอกเล่นละครตบตา ขอย้ำว่าถ้าข้าวดังกล่าวดีจริง เขาควรขายไปนานแล้ว

“ผมคิดว่านายภูมิธรรม อาจจะต้องการฟอกขาวโครงการรับจำนำข้าวให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผมเตือนไว้เลยนะครับว่า ยิ่งฟอกจะยิ่งแสบ ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ผิด เพราะการเก็บข้าวเน่า เป็นเรื่องฝ่ายปฏิบัติต้องรับผิดชอบ ตามคำพิพากษาของศาล แต่ยิ่งลักษณ์ผิดเพราะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ของการระบายข้าวแบบจีทูจี ฟอกอย่างไรก็ไม่ขาว”นพ.วรงค์ระบุ


เปิดสาเหตุทำไมถึงกล้ากิน

หากจะถามว่าทำไม นายภูมิธรรมถึงกล้าบริโภคข้าวที่เก็บไว้ในสต๊อก มานานถึง 10 ปีได้ เรื่องนี้ หาคำตอบได้ไม่ยาก คือ ข้าวที่นายภูมิธรรม สุ่มเอาไปบริโภคนั้น เดิมเป็นข้าวที่ผลการตรวจสอบและคัดแยกประเภทข้าว ตั้งแต่สมัยรัฐบาล คสช. โดยข้าวใน 2 โกดังนี้ เป็นข้าวที่สามารถเปิดประมูลเป็นการทั่วไป นั่นหมายความว่า เป็นข้าวดี คนบริโภคได้ ไม่ใช่ข้าวเข้าอุตสาหกรรม ที่คนบริโภคไม่ได้ สัตว์บริโภคไม่ได้

สำหรับข้าวใน 2 โกดังนี้ ก่อนหน้านี้ องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เตรียมเปิดประมูลจำนวน 15,013 ตัน เป็นการทั่วไป เมื่อช่วงเดือน ม.ค.2567 ซึ่งเป็นข้าวล็อตเดียวกันกับที่นายภูมิธรรมไปตรวจสอบ แต่ปรากฏว่า หลังประกาศทีโออาร์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2567 กำหนดเปิดคลังสินค้าให้ผู้สนใจประมูลเข้าดูสภาพข้าวระหว่างวันที่ 25-29 ม.ค.2567 เปิดให้ยื่นซองคุณสมบัติในวันที่ 31 ม.ค.2567 และเปิดซองในวันที่ 8 ก.พ.2567 พร้อมกับเปิดชี้แจงทีโออาร์วันที่ 24 ม.ค.2567 แต่ไม่มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการชี้แจง อคส.จึงได้ยกเลิกการประมูลข้าวครั้งนี้

ส่วนที่มีหลายคนสงสัย ทำไมข้าวดี ถึงขายไม่ออก จริง ๆ ข้าวใน 2 โกดังนี้ ขายออกมาโดยตลอด มีการนำมาเปิดประมูลไปแล้วรวม 3 ครั้ง ในปี 2557 , 2558 และ 2563 แต่ทุกครั้ง มีปัญหาการชำระเงินก่อนรับมอบสินค้า อคส. จึงต้องบอกเลิกสัญญา พร้อมดำเนินคดี และนำข้าวออกประมูลใหม่ ก็แค่นั้น แต่ลึก ๆ แล้ว จะเป็นเพราะเหตุใด ที่ทำให้ข้าวล็อตนี้ ยังไม่สามารถขายออกไปได้ และยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ คงต้องรอให้ผู้ที่รู้จริง ออกมาให้คำตอบ แต่เท่าที่หาได้ ก็มีเพียงเท่านี้


“ภูมิธรรม”จัดใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ผ่านไปไม่ถึง 2 เดือน นับจากวันที่ 14 มี.ค.2567 ที่นายภูมิธรรมลงพื้นที่ไปดูด้วยตนเองครั้งแรก มาครั้งนี้ ได้นัดหมายสื่อมวลชน โรงสี ผู้ส่งออก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ผู้การจังหวัดสุรินทร์ สส.ในพื้นที่ ลงพื้นที่ไปยัง 2 โกดังอีกครั้ง ในวันที่ 6 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบข้าวสารที่เก็บในสต๊อก และจะทำการสุ่มข้าวที่เก็บในสต๊อกมาหุงบริโภค มีเป้าหมายเพื่อที่จะให้สิ้นข้อสงสัย

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ครั้งที่แล้ว ได้ลองชิมข้าวกับท่านผู้กำกับ แต่เมื่อทำไปแล้ว มีเสียงทักว่าข้าว 10 ปีกินไม่ได้ เหมือนเล่นละคร ข้าวปีหนึ่งก็เน่าแล้ว 5 ปีก็เน่าแล้ว ปัญหาอยู่ที่การเก็บรักษา ถ้าเก็บรักษาดี ก็สามารถดูแลได้ ถ้าเก็บไม่ดี ไม่ต้อง 5 ปี หนึ่งปีก็เน่าแล้ว ครั้งนี้อยากทำให้เกิดข้อสรุปที่ชัดเจน สิ้นข้อสงสัย จึงเชิญสื่อมวลชนทุกแขนง เจ้าของโรงสี ผู้ส่งออก ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้การจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นสักขีพยาน

“ครั้งนี้ ทำกับข้าวมาให้ด้วย เป็นกะเพรา ไข่เจียว และจะเป็นผู้สังเกตการณ์ให้เจ้าหน้าที่เซอร์เวเยอร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เจาะเอาข้าวใส่ถุง มีคนดูตอนเจาะ แล้วให้มีตัวแทนผู้สื่อข่าวขึ้นรถไปกับตำรวจ เพื่อนำข้าวไปอีกหุงรับประทาน”

สำหรับที่คลังกิตติชัย หลัง 2 มีข้าวจำนวน 112,711 กระสอบ และที่พูนผลเทรดดิ้ง มี 32,879 กระสอบ รวมประมาณ 150,000 กระสอบ เป็นข้าวปี 2556/57 ถึงวันนี้ก็ 10 ปีพอดี เป็นข้าวที่เก็บรักษาอย่างดี เจ้าของโรงสี เจ้าของโกดังรมยาตามมาตรฐาน ปิดโกดังแน่นหนา ไม่มีนกเข้า ไม่มีฝนตกที่ทำให้ข้าวเสีย ที่มีปัญหาข้าวบูดเน่า คือ การเก็บรักษาที่ไม่ดี โรงสีทั้งสองถือว่ามีการเก็บรักษาที่ดี โรงสีกิตติชัยรมยาทุก 2 เดือน โรงสีพูนผลรมยาทุกเดือน


โชว์กินข้าวกับกะเพราไข่เจียว

หลังจากที่ตรวจสอบข้าวในโกดังเสร็จแล้ว นายภูมิธรรมได้ชวนผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้การจังหวัด และสื่อมวลชนไปร่วมรับประทานข้าวด้วยกัน โดยนำข้าวมาหุงและกินกับกะเพราไข่เจียว

นายภูมิธรรมกล่าวภายหลังทดลองบริโภคข้าว ว่า วันนี้ได้พาพิสูจน์ให้สิ้นข้อสงสัยแล้วว่าข้าว 10 ปี ยังสามารถหุง มีกลิ่น มีคุณภาพดีอยู่หรือไม่ ร่วมกับสื่อมวลชนทั้งหมด ซึ่งได้ข้าวจากโกดังกิตติชัย ที่มีข้าวอยู่ 112,711 กระสอบ และที่โกดังพูนผล 32,879 กระสอบ รวมประมาณ 150,000 กระสอบ มาหุงทานร่วมกับผัดกะเพรา ไข่เจียว หากสิ้นข้อสงสัยภายในเดือน พ.ค.นี้ ตนจะเปิดประมูลสาธารณะให้ทุกคนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมในโครงการประมูลได้ คาดว่าราคากลางจะอยู่ที่ 18 บาท/กิโลกรัม (กก.) ซึ่งราคาประมูลจะมากน้อยอยู่ที่กระบวนการ โดยจะป้องกันไม่ให้มีการละทิ้งข้าว คาดว่าจะจัดอันดับผู้ประมูลอันดับ 1-5 และมีมาตรการที่เข้มข้น หากประมูลไปแล้วไม่สามารถเอาไปได้ จะมีการปรับและเลื่อนลำดับอื่นขึ้นมา โดยให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเสนอให้ชัดเจน ซึ่งข้าว 2 โกดังนี้ เป็นข้าว 2 โกดังสุดท้ายของโครงการรับจำนำข้าว ตั้งแต่ปี 2556/57 ร่วม 10 ปี ที่เข้าสู่โครงการจำนำข้าวในช่วงนั้น

“ถ้าดูทางกายภาพเมล็ดข้าวยังมีจมูกข้าว ยังดูสวยงามสวยงาม สีสันอาจมีความเหลืองมากขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติของข้าวอายุ 10 ปี เรากำลังมาเคลียร์เอาเงินเข้ารัฐ คาดว่าจะได้เงินประมาณ 200-400 ล้านบาท และเป็นการสร้างความชัดเจน หลังครั้งที่แล้ว มีคนบอกว่าไม่จริง จัดฉาก ข้าวจริง 5 ปี ก็เน่าแล้ว ซึ่งข้าว 5 ปี หรือ 2 ปี ก็เน่าได้ ถ้าไม่เก็บรักษาอย่างดี แต่ 2 ที่นี้ เก็บอย่างดี เป็นไปตามมาตรฐาน จึงทำให้สิ้นสงสัย”นายภูมิธรรมกล่าว


รอบ 2 ดรามาก็ยังเกิด

อย่างไรก็ตาม แม้นายภูมิธรรม จะลงทุนบริโภคข้าวในสต๊อก ที่เก็บมานานถึง 10 ปี ด้วยตนเอง แต่ก็ยังเกิดดรามา เหมือนรอบแรก โดยนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่า ดูจากข้อเท็จจริงแล้ว เจ้าหน้าที่นำข้าวสารไปเตรียมการหุง ก่อนหุงข้าว ซาว 13-15 น้ำ และน้ำซาวข้าว มีมอดลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ย่อมแสดงให้เห็นว่า ข้าวไม่ได้คุณภาพอย่างแท้จริง และได้แนะนำให้นายภูมิธรรม นำข้าวดังกล่าวไปหุงให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) กินทุกวันอังคาร ที่มีการประชุม ครม.

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตอีกว่า การตักข้าวใส่ปากโชว์ของรองนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่มาตรฐานในการตรวจวัดคุณภาพข้าว และภาพมันฟ้องว่าแม้แต่ตัวรองนายกฯ เอง ก็ไม่มีความกล้าเต็มร้อย เพราะเน้นกับข้าว ไม่เน้นข้าว มีคนฝากถามช้อนซื้อที่ไหน ตักติดแต่กับ ไม่ค่อยติดข้าว และอีกอย่างที่รองนายกรัฐมนตรี มีความประสงค์จะสื่อสาร คือ โครงการรับจำนำข้าว ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการมากินข้าวโชว์ ก็เช่นกัน ที่ไม่สามารถมาลบล้างเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาในคดีทุจริตรับจำนำข้าวได้แม้แต่บรรทัดเดียว

ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว สรุปว่า เอาข้าว 10 ปี มาขาย ระวังคนจะเลิกซื้อข้าวแกงกิน พร้อมเสนอแนะว่า ให้สถาบันการศึกษาที่น่าเชื่อถือตรวจสอบคุณภาพข้าว มีสารตกค้าง หรือเชื้อราหรือไม่ ให้เอาข้าว 10 ปี หุงเป็นอาหารกลางวันให้ ครม. 1 เดือน สภาผู้แทนราษฎร 1 เดือน และทีมงานการเมืองและข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ 1 เดือน


เตรียมพร้อมเปิดประมูล

นายภูมิธรรมกล่าวว่า แม้จะมีเสียงคัดค้าน แต่หน้าที่ของตน จะต้องหาทางขนข้าวในคลังออกไปขาย ดีกว่าปล่อยให้เน่าเสีย ประมาณว่า 150,000 กระสอบ ถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ ก็ถึงขั้นขายไม่ได้ ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ จนได้ไปดู และลองหุงมาชิม ก็รู้สึกว่าอร่อย ไม่มีปัญหาอะไร ย้ำว่า อยากให้เรื่องนี้ปิดตำนานไปเสีย ส่วนในทางคดีจะเป็นอย่างไรไม่ใช่ภารกิจของตน ใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็ว่ากันไป ส่วนโกดังเก็บข้าวเมื่อเคลียร์เรียบร้อย ก็จะได้เงินประกันคืน ซึ่งเขาก็ควรจะรับสิทธิ์นั้นอย่างสมเหตุสมผล

ส่วนที่มีผู้ส่งออกรายใหญ่ 2 ราย คือ นครหลวง และธนสรร รวมถึงผู้ส่งออกข้าวหลายรายในจังหวัดสุรินทร์ ที่ได้มาร่วมตรวจสอบด้วย และมองว่า หากนำข้าวไปปรับปรุงอีกหน่อย ก็จะสามารถขายให้ตลาดข้าวเก่าในทวีปแอฟริกาได้นั้น ตนไม่ได้ไปบังคับใคร ใครทานได้ ก็ทาน ใครไม่อยากทาน ก็ไม่ต้องทาน ใครซื้อก็ซื้อ ซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ ตนไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมมากกว่าสิ่งที่ควรทำ และคาดว่าภายใน เดือน พ.ค. หรืออย่างช้าไม่เกิน มิ.ย. จะทำให้จบ จะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไม่อยากให้เกิดดรามา เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง

สำหรับกรณีที่มีการเชื่อมโยงการเคลียร์ข้าวของรัฐบาลออกจากโกดังในครั้งนี้ กับกระแสข่าวการเดินทางกลับประเทศไทยของน.ส.ยิ่งลักษณ์ อันนี้ คือ เอาจินตนาการมาชี้นำความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณยิ่งลักษณ์ จะกลับหรือไม่กลับ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนเองทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลเรื่องนี้ จึงไม่อยากให้เรื่องนี้ค้าง ส่วนกระบวนการหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่เกี่ยวข้อง ตนทำในขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ และคิดที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงให้ชัดเจน ก็แค่นั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น