xs
xsm
sm
md
lg

จ่ายกันกระอักเลือด ปรับขั้นต่ำบัตรเครดิตเพิ่ม 8% คนเจนวายกระทบ หนี้ที่จับตาพิเศษเพิ่มอีก 32.4%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโรเผยผลกระทบปรับเพิ่มจ่ายหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำ จาก 5% เป็น 8% พบแค่ไตรมาสแรกหนี้เสียเพิ่มขึ้น 14.6% เป็น 6.4 หมื่นล้าน แถมหนี้ที่ต้องจับตาส่อจะเป็นหนี้เสีย 1.2 หมื่นล้าน พุ่ง 32.4% ส่องที่มาพบมีแต่คนเจนวายที่แบกหนี้หลังแอ่น

วันนี้ (8 พ.ค.) เฟซบุ๊ก Surapol Opasatien ของนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร โพสต์ข้อความแสดงความเป็นห่วงถึงหนี้บัตรเครดิต หลังสถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิตปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา ว่า ข้อมูลไตรมาสที่ 1/2567 เกี่ยวกับสินเชื่อบัตรเครดิตจากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ พบว่าตัวเลข​ ณ​ เดือนมีนาคม​ 2567​ ยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด​ 24 ล้านใบ เป็นเงิน​ 5.5 แสนล้านบาท เติบโต​ 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ถ้าเทียบจากสิ้นปี​ 2566​ หดตัว​ 5.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ)

ส่วนตัวเลขบัญชีสินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น​หนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล (Non-Performing Loan หรือ NPLs)​ ค้างชำระเกิน​ 90 วันจะมีจำนวน​ประมาณ​ 1 ล้านบัตรเศษ คิดเป็นยอดเงิน​ 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตนเริ่มไม่สบายใจ พอมาดูยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention Loan หรือ SM) ที่กำลังจะเป็นหนี้เสีย พบว่ามีจำนวนบัตรที่ชำระหนี้ได้แบบตะกุกตะกัก​ ติดๆ ขัดๆ​ 1.9 แสนบัตร​ คิดเป็นจำนวนเงิน​ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 32.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

"มาถึงตรงนี้เริ่มตาโตแล้วครับว่า​ แค่สามเดือนแรกของการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำ ทำไมมันเกิดการกระโดดในหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ​ ตามต่อไปดูว่าแล้วมันโตจากปลายปี​ 2566​ เท่าใด ก็พบว่า​เติบโตถึง​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ต้องระวังว่ามันจะไหลเพิ่ม​ ไหลแรงกว่าเดิมหรือไม่ นอกจากปัญหาค่าครองชีพแล้ว​ รายได้ไม่ฟื้นตัว​ เปราะบางจนนุ่มนิ่ม​ มันสะท้อนแล้วว่าชำระหนี้สินเชื่อนี้ได้ลำบากมากขึ้น​" นายสุรพลระบุ


ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโรกล่าวต่อว่า เมื่อนำข้อมูลบัตรเครดิตที่เป็นยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จำนวนเกือบ 2 แสนใบ เป็นบัตรที่เปิดมานานเท่าใด​ พบว่าเปิดบัตรมาไม่เกิน​ 2 ปี​ มีจำนวน​ 3.6 หมื่นใบ อยู่ในมือคนเจนวาย (Generation Y หรือผู้ที่เกิดปี 2524-2539) จำนวน 2.3 หมื่นใบ เปิดมามากกว่า​ 2 ปี แต่ไม่เกิน​ 4 ปี มีจำนวน​ 3.9 หมื่นใบ​ อยู่ในมือ​คนเจนวาย จำนวน 2.7 หมื่นใบ เจนเอ็กซ์ (Generation X หรือผู้ที่เกิดปี 2508-2523) จำนวน 9.2 พันใบ เปิดมามากกว่า​ 4 ปีแต่ไม่เกิน​ 6 ปี มีจำนวน​ 4.5 หมื่นใบ​ อยู่ในมือคน​เจนวาย จำนวน​ 3 หมื่นใบ​ เจนเอ็กซ์​ จำนวน 1.2 ​หมื่นใบ คำถามก็คือ​ หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จะไหลต่อเป็น​หนี้เสียอีกเท่าใด​ การกำหนดให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก​ 5% เป็น​ 8% และ​ 10% ตามลำดับ​ ช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้จริงหรือไม่ ตามเป้าประสงค์มาตรการ

"ความจริงคนเรามีบัตรเครดิตได้หลายใบ​ การเพิ่มอีก​ 3% ของยอดหนี้ในแต่ละใบ​ คนไม่เคยเป็นหนี้อาจนึกไม่ออกว่าจะหมุนหาจากไหนไปจ่ายได้​ และประการสุดท้าย ค่าใช้จ่ายทั้งหลายมันเริ่มเพิ่มอย่างชัดเจน เช่น​ ไข่ไก่​ ผักบางชนิด​ น้ำมันก็เริ่มขยับ​ เป็นต้น​ การท่องตำราแก้ปัญหากับการท่องยุทธ​จักรแบบเดินเผชิญสืบ​ มันใช้ใจที่ต่างกัน​ ตัวอย่างเรื่องนี้คือหนังชีวิตจริง​ แต่ถ้ามองเป็นหนังอนิเมะ​ มันก็อาจผิดเพี้ยน​ ต้องกลับมาดูกันเพราะแค่​ 3 เดือนกลิ่นมันแรงแบบโตขึ้น​ 32.4% เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา มันไม่ธรรมดานะครับ​ ตั้งโจทย์ผิด​ แต่ตอบโจทย์​ที่ผิดได้ถูก​ ผลลัพธ์​ผลผลิตมันจะผิดเพี้ยนไปหรือไม่​ วันนี้ฝนตกแล้ว​ ฝนหลังฝุ่นที่ร้อนระอุย่อมสวยงามเสมอ" นายสุรพลระบุ

อนึ่ง ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิตปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา และจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำให้ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้าง กระทั่งได้ออกมาตรการลดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิต โดยให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจกำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำของยอดคงค้างทั้งสิ้น สำหรับปี 2566 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 สำหรับปี 2567 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 และตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น