1.ศาลอนุมัติหมายจับ "บิ๊กโจ๊ก" ข้อหาฟอกเงิน หลังมีพฤติการณ์เลี่ยงหมายเรียก ด้านเจ้าตัวรีบมอบตัวทันที ยัน ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่กังวล หากต้องถูกออกจากราชการ!
เมื่อวันที่ 2 เม.ย.พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 10
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการสืบสวนสอบสวนเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงจากคดีเว็บการพนัน BNKMaster ที่ สน.เตาปูน ได้เคยขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งศาลอนุญาตออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย เเยกเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ราย และพลเรือน 1 ราย ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ศาลไม่อนุมัติหมายจับ เนื่องจากมีตำแหน่งสูง ควรออกหมายเรียกก่อน จากนั้นทางพนักงานสอบสวนจึงได้ออกหมายเรียกทั้งหมด 3 ครั้ง เเต่ยังไม่สามารถส่งหมายเรียกถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ พนักงานสอบสวนจึงขอศาลออกหมายจับ
มีรายงานว่า หลังจากมีการยื่นศาลขอออกหมายจับ ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เรื่องขอชี้เเจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากมีการยื่นคำร้องขอออกหมายจับ
ซึ่งต่อมา ช่วงเย็นวันเดียวกัน ศาลได้พิจารณาคำร้องพร้อมไต่ส่วนเเล้ว อนุญาตให้ออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยศาลระบุเหตุผลว่า คดีมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นความผิดฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวน โดยคดีนี้เป็นอำนาจของศาลอาญา
หลังศาลอนุมัติหมายจับ ปรากฏว่า ช่วงค่ำวันเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยกเลิกภารกิจทุกประเภท และไฟล์ทบินทุกจุดหมาย ก่อนเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ที่ สน.เตาปูน ทันที ขณะที่ลูกน้องคนสนิทหลายนาย ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจ และถูกออกหมายจับในข้อหาเดียวกัน รวมถึงผู้ที่เคยถูกจับกุมในคดีมินนี่ ต่างเดินทางมารวมตัวกันที่โรงพัก เพื่อให้กำลังใจเจ้านาย อาทิ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ และ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ
หลังเข้ามอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ใช้สิทธิ์ขอประกันตัว และเดินทางออกจาก สน.เตาปูน พร้อมให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสั้นๆ ว่า ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว วันนี้เป็นการมอบตัวตามปกติ และได้รับการประกันตัวออกมา ส่วนรายละเอียดการประกันตัวไม่ขอเปิดเผย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ปฏิเสธข้อกล่าวหาหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ตอบประเด็นนี้ แต่ยืนยันว่า วันนี้ตนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และไม่ได้รู้สึกกังวล ที่จะต้องให้ถูกออกจากราชการ หลังจากนี้จะเดินทางไปทำงานตามปกติ โดยยังไม่ทราบว่า พนักงานสอบสวนจะนัดมาอีกครั้งเมื่อไหร่
เมื่อถามว่า มีข้อมูลออกมาว่าปฏิเสธพิมพ์ลายนิ้วมือใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า "ไม่นะ ทำตามขั้นตอนปกติ" ตามกระบวนการแล้วต้องรายงานนายกรัฐมนตรีตามขั้นตอน ยังไม่ระบุว่าวันไหน เดี๋ยวจะแจ้งอีกที เมื่อถามว่า การออกหมายจับครั้งนี้เชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังไม่ขอตอบตรงนี้ ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และวันนี้เองก็ใช้สิทธิ์ประกันตัวออกมา ตามระบบกระบวนการยุติธรรมไทย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการถูกกล่าวหา จึงถือว่ายังคงเป็นผู้บริสุทธิ์
มีรายงานว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต้องพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม แต่ในส่วนของความผิดทางวินัย มีรายงานว่า คณะพนักงานสอบสวนได้มีการรายงานตามขั้นตอนไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล และฝ่ายกฎหมายกฎหมาย ก่อนจะเสนอ ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. เพื่อพิจารณาแล้ว โดยอาจเป็นเหตุที่นำไปสู่ขั้นตอนการดำเนินการทางวินัย อาทิ การตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง หรือการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย และทางปกครอง เช่น การสั่งประจำหรือสำรอง หรือพักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นการสั่งเพื่อให้พ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นการชั่วคราว ในระหว่างการดำเนินการทางวินัย หรืออาญา ได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว อยู่ในความรับผิดชอบของกองวินัย และสำนักงานกำลังพล ที่จะเสนอเรื่อง เพื่อให้ รรท. ผบ.ตร. พิจารณาสั่งการ
2.ศาล รธน.รับคำร้อง กกต.เสนอยุบพรรค "ก้าวไกล" เหตุเสนอแก้ ม. 112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ให้ก้าวไกลชี้แจงใน 15 วัน ด้าน "พิธา" ถามผู้มีอำนาจ ยุบแล้วได้อะไร!
สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติเอกฉันท์เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค จากกรณีก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้วใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่ง กกต.เห็นว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายเป็นความผิดมาตรา 92 (1) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 จึงมีมติเสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต.ไว้วินิจฉัยกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคก้าวไกลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2560 มาตรา 92 และขอให้เพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดทะเบียนขึ้นใหม่ด้วยเป็นระยะเวลา 10 ปี
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีการการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญปี 2561 มาตรา 7 (13) ประกอบมาตรา 92 วรรคหนึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 และจะแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้กับพรรคก้าวไกล เพื่อยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันได้รับสำเนาคำร้องนี้
ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ กกต.ที่เสนอให้ยุบพรรคก้าวไกลว่า "เราคงจะต้องดูรายละเอียด และดูว่าเราต้องใช้สิทธิ์ในการขอขยายเวลา และขอสิทธิ์ในการไต่สวน กว่าจะได้ต่อสู้ทางคดีอย่างเหมาะสม เพราะเรื่องนี้โทษหนักกว่าคราวที่แล้วเยอะ คราวที่แล้วมีเอาไว้เพียงแค่ปรามป้องกัน อันนั้นเรายังมีสิทธิ์ได้ไต่สวนเลย แต่คราวนี้มันถึงกระทั่งยุบพรรค ประหารชีวิตการเมืองทั้งหลาย มันก็ควรที่จะให้สิทธิ์ในการขยายในรายละเอียดและก็ให้ต่อสู้อย่างเต็มที่ มันจะได้หมดข้อครหา...”
นายพิธา กล่าวต่อว่า จากการฟังความเห็นของทุกพรรคการเมือง ซึ่งต่างก็ไม่เห็นด้วยกับโทษยุบพรรค จึงฝากสื่อไปถามนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการยุบพรรคเพื่อทำลายล้างทางการเมือง ...ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับมาต่อสู้ในระบบ ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ และส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าผู้ที่มีอำนาจในการยุบพรรค ได้ถามตัวเองหรือไม่ว่ายุบพรรคไปจะได้อะไร ซึ่งในระยะสั้นอาจจะทำให้พรรคที่ถูกยุบอ่อนแรงลง ทำให้ฝ่ายค้านอันดับหนึ่งอ่อนแอลง แต่ในระยะยาว มันก็เป็นการติดเทอร์โบ ทำให้พรรคที่ถูกยุบได้แต้มต่อทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า
3. "ทักษิณ" ให้โอวาทพรรคเพื่อไทย มั่นใจ "เศรษฐา" นำพา ปท.ช่วงเปลี่ยนผ่านได้ ชม "อุ๊งอิ๊ง" เป็นดีเอ็นเอผสมระหว่าง "ทักษิณ-พจมาน" เป็นผู้นำที่ดีได้!
เมื่อวันที่ 5 เม.ย. พรรคเพื่อไทยมีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย และบรรดารัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย รวมถึงแกนนำพรรค และ สส.ของพรรค เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ ช่วงต้นของการประชุมได้มีการเปิดวีดิทัศน์ เนื้อหาเป็นการให้สัมภาษณ์ของ น.ส.แพทองธาร, นายเศรษฐา รวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นักโทษเด็ดขาดคดีทุจริตที่อยู่ระหว่างการพักโทษ ให้แก่สมาชิกพรรคได้รับฟัง โดยช่วงหนึ่งนายทักษิณ ระบุว่า "พรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหาว่า เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ เรื่องนี้ผมบอกได้เลยว่าไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคเพื่อไทย หรือไทยรักไทย แต่พรรคเพื่อไทยจริงๆ สร้างมาจากไทยรักไทย เป็นพรรคที่รีฟอร์มหรือเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง“
นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า ถ้าจำได้ พรรคไทยรักไทย เริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบประกันสุขภาพ การเอาเงินจากเมืองหลวงกลับไปสู่ชนบท กระจายเงินออกไป และเรื่องการดูแลสินค้าเกษตร ทุกเรื่องเป็นเรื่องใหม่หมดที่ไทยรักไทยทำ และพรรคเพื่อไทยก็ทำมาต่อเนื่อง วันนี้ต้องเข้าใจว่า สังคมเปลี่ยนไปแล้ว การเข้าถึงประชาชนเป็นหัวใจสำคัญทั้งทางกายภาพ หรือทางสื่อ และต้องสะท้อนปัญหาของประชาชนในสภาฯ ได้ ถึงแม้จะไม่เป็นผู้บริหาร แต่อยากให้ สส.ของพรรคเพื่อไทยเข้าถึงประชาชน การทำงานในสภาฯ ให้เข้มแข็ง และหัวใจคือต้องเป็นนักการเมืองที่รักประชาชน ประชาชนเดี๋ยวนี้มองตาเราก็รู้ว่ามีเมตตาธรรม หรือเราเป็นคนถือตัวไม่สนใจ สิ่งเหล่านี้จะอยู่กับความรู้สึกของชาวบ้าน จะมาเสแสร้งไม่กี่วัน 1 เดือนตอนเลือกตั้ง เขาก็รู้หมดแล้ว ฉะนั้นเราต้องอยู่กับชาวบ้านให้ได้
“ในวันนี้พรรคเพื่อไทยก็กำลังจะทำดิจิทัลวอลเล็ต โคตรใหม่ ไม่ใช่ใหม่ธรรมดา ฉะนั้น วันนี้เราไม่ได้อยู่กับเรื่องโบราณแน่นอน เพราะโลกเปลี่ยนไป เพื่อไทยก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ระบบทุนนิยมที่ไร้ความเมตตาธรรมจะไม่สามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้”
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนมั่นใจว่านายเศรษฐาสามารถนำพาประเทศได้ เพราะท่านเป็นนักบริหาร มีประสบการณ์มาก การมีเครือข่ายที่ส่งเสริมช่วยเหลือ สนับสนุนกันเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับตนเป็นคนบ้านนอก ตอนเป็นนายกฯ ก็ไม่มีเครือข่ายใน กทม. มีทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง เป็นการวางตัวที่เหมาะของพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา เหมาะที่จะลงไปในช่วงที่เปลี่ยนผ่านระหว่างการเมืองที่มีหลายพรรค
“สำหรับอุ๊งอิ๊ง (น.ส.แพทองธาร) ผมมั่นใจว่าจะสามารถนำทีมพลิกเกมได้ไม่ยาก เป็นดีเอ็นเอระหว่างคุณหญิงพจมาน (ดามาพงศ์) กับผม ผสมกันเป็น อุ๊งอิ๊ง คือ เอาส่วนเข้มแข็ง อดทน เด็ดขาดมาจากคุณหญิงพจมาน และเอาส่วนที่พบปะผู้คน เข้าใจการเมืองมาจากผม และเชื่อว่าเขาเป็นผู้นำที่ดีได้ ไม่ใช่มาเชียร์ลูก แต่ในเมื่อผมทำได้ ดีเอ็นเอผมก็ต้องทำได้ และทำได้ดีกว่าด้วย”
ด้าน น.ส.แพทองธาร กล่าวปาฐกฐาพิเศษว่า ต้องขอขอบคุณทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำพรรคในอดีต ผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน พี่น้อง สส. และผู้ที่ยังเชื่อมั่นในพรรค ทุกกำลังใจ ทุกการทำงาน ทุกความทุ่มเทของทุกคนทำให้พรรคยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เรากำลังเปลี่ยนแปลงจากข้างในด้วยการเติมคนใหม่เข้ามาทำงานกับเรา เติมองค์ความรู้ใหม่ให้เราพร้อมทำงานมากขึ้น คิดว่าอีกไม่นานประชาชนจะได้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยกำลังทำอะไร และกำลังจะเปลี่ยนไปทิศทางไหน เราตั้งใจเปลี่ยนแปลงพรรคครั้งใหญ่ตั้งแต่รากฐานเพื่อให้พรรคเพื่อไทย อยู่คู่กับประเทศไทยไปตลอด ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนไปอีกกี่คน บริบทในอนาคตจะเป็นอย่างไร พรรคเพื่อไทยจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศไทยได้เสมอ เหมือนจุดเริ่มต้นตั้งแต่พรรคไทยรักไทย "บางคนบอกว่าพรรคเราจะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ที่เน้นคงสิ่งเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ขอยืนยันว่า ไม่มีวันเป็นแบบนั้น เพราะดีเอ็นเอของเราคือการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่เราเป็นรัฐบาล เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย”
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทุกอำเภอของประเทศไทยจะมีการอัดฉีดเงินลงไป เมื่อมีเงินมากกว่าห้าแสนล้านบาทเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจทั้งประเทศจะถูกกระตุ้น หลังจากวันนี้วันที่งบประมาณผ่านแล้ว ดิฉันเชื่อมั่นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา จากที่วิ่งเร็วอยู่แล้ว จะเร็วขึ้นอีก หลายนโยบายที่เคยติดขัดเพราะงบประมาณ จากนี้จะผ่านฉลุย หลายนโยบายจะสำเร็จได้เห็นผลเร็วๆ นี้แน่นอน และพบกับการสรุปผลงานของรัฐบาลเพื่อไทยที่ไม่ต้องรอ 10 เดือนในวันที่ 3 พ.ค.นี้ “พรรคไทยรักไทยได้ส่งต่อการเปลี่ยนแปลงจนมาถึงพรรคเพื่อไทย เราคือพรรคปฏิรูปที่ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าด้วยนโยบาย โดยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”
ขณะที่นายเศรษฐากล่าวปาถกฐาพิเศษว่า วันนี้ตนขอพูดในฐานะนายกฯ มาให้ความกระจ่างเรื่องนโยบาย และพูดจากใจในฐานะสมาชิกพรรค เรื่องแรกที่ผ่านมา เราทำการต่างประเทศเชิงรุก และการส่งเสริมการลงทุน ก็ต้องบินไปต่างประเทศบ้าง แต่ตนไม่ได้ชอบบินไป จะเป็นแมลงวันหรืออะไรก็ตามที่ฟังแล้วตลก ถือเป็นสีสันในชีวิต สอบถามคนที่ไปกับตนได้เพราะไม่ได้สบายเลย และการจะลงทุนเป็นแสนล้านเขาจะตัดสินใจใน 7 เดือนหรือ ขอให้อดทน อีก 2 ปีข้างหน้าจะเป็นสึนามิแห่งการลงทุนในทุกภาคส่วน
“ผมเป็นคนไม่แพ้ตลอดกาล ท่านทักษิณ บอกว่า ผมเป็นนายกฯ ช่วงการเปลี่ยนผ่าน ผมไม่ใช่คนอายุน้อย ถ้าได้เห็นประวัติทุกท่านทราบชีวิตผมครบทุกอย่าง แต่ที่ก้าวเข้ามาตรงนี้ เรื่องเดียวที่ปรารถนาในชีวิตต้องนำการเปลี่ยนผ่านที่เป็นบวก และนำชัยชนะกลับมาให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป”
4. กกต.ชงศาล รธน.ตัดสิทธิเลือกตั้ง "นครชัย ก้าวไกล" พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าจัดเลือกตั้ง เหตุลงสมัคร สส.ทั้งที่รู้อยู่แล้วขาดคุณสมบัติจากเคยโดนคดีลักทรัพย์!
เมื่อวันที่ 5 เม.ย.เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.ที่สั่งเอาผิดย้อนหลังนายนครชัย ขุนณรงค์ อดีต สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล โดย กกต.เห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า นายนครชัย เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 6962/2542 คดีหมายเลขแดงที่ 6766/2542 วันที่ 24 พ.ย.42
แม้ต่อมา จะมี พ.ร.บ.ล้างมลทิน ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 มีผลใช้บังคับ แต่การล้างมลทินคือ การลบล้างโทษว่ามิเคยถูกลงโทษจำคุกในความผิดนั้น ๆ เท่านั้น ส่วนพฤติกรรม หรือการกระทำความผิดซึ่งศาลพิพากษาว่าได้กระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งยังคงอยู่ ไม่มีผลเป็นการลบล้างการกระทำความผิดและลบล้างคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ามีการกระทำความผิดนั้น ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2564
ข้ออ้างของนายนครชัยที่ว่า ตนได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 จึงไม่อาจรับฟังได้ นายนครชัยจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 42 (12) อีกทั้งนายนครชัย ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งของตนเองให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
เมื่อนายนครชัยได้ลงลายมือชื่อในใบสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ระยอง ลงวันที่ 3 เม.ย.66 รับรองว่า ตนเองมีคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. โดยรู้อยู่แล้วว่า ตนเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดดังกล่าวของศาลจังหวัดชลบุรี กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายนครชัยลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่า ตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแล้วปกปิด หรือไม่แจ้งข้อความจริงนั้น และให้ถือว่าการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขต 3 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายนครชัย ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 วรรคสอง และมาตรา 151
จึงมีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของ สส.ของนายนครชัย สิ้นสุดลงตั้งแต่วันเลือกตั้ง และมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายนครชัย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 และให้รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 86 เพื่อดำเนินคดีอาญากับนายนครชัย ตามมาตรา 151 ของกฎหมายเดียวกัน และดำเนินการเรียกค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่าง อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของนายนครชัย
ทั้งนี้ นายนครชัยได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.เมื่อวันที่ 24 พ.ค.66 แต่หลัง กกต.ประกาศรับรอง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยขณะนั้น ออกมาเปิดเผยว่า นายนครชัยเคยต้องโทษจำคุก ถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็น สส. ทำให้ในวันที่ 3 ส.ค.66 นายนครชัยได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น สส. และ กกต.จัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 10 ก.ย.66 โดยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ จากพรรคก้าวไกล เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง
5. "วินัย ทองสอง" เผย คณะกรรมการสอบพบข้อมูล "บิ๊กโจ๊ก" กระทำผิดจริงฐานฟอกเงิน หลังพบเส้นเงินโยงเว็บพนัน เชื่อรู้เห็นและได้รับประโยชน์บางส่วน!
เมื่อวันที่ 5 เม.ย. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องคดีของบุคคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบเป็นครั้งแรกว่า ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และฝ่ายที่กล่าวหา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เข้ามาสอบถามเกือบ 30 ราย อาทิ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, พล.ต.ต ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์, พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย, พ.ต.อ.ดุสิต พรหมสิน ผกก.สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และทีมทนายความของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าให้ข้อมูล และให้ส่งเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงภายในวันที่ 30 เม.ย.นี้ พร้อมให้ฝั่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่งข้อมูลเอกสารที่เหลือทั้งหมดมาให้คณะกรรมการภายในวัน 20 เม.ย.นี้
พล.ต.อ.วินัย เผยว่า "จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกือบ 30 คน ทางคณะกรรมการมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับศาลที่อนุมัติออกหมายจับ ซึ่งเชื่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีส่วนร่วมในการกระทำผิดจริง โดยเป็นการฟอกเงิน ที่พบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันออนไลน์มายังบัญชีม้าและเชื่อมโยงมายัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงเชื่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รู้และได้รับประโยชน์บางส่วนจากการกระทำดังกล่าว แต่ยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีก"
พล.ต.อ.วินัย กล่าวต่อว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการนั้นมีผลออกมาก่อนที่ศาลจะออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยหากข้อมูลฝั่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ก็จะทยอยส่งให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฝั่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เนื่องจากหากไม่ทันกำหนดภายใน 60 วัน ก็สามารถขยายระยะเวลาต่อไปได้ แต่ยืนยันว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนที่มองว่า ทางการตรวจสอบฝ่าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วนั้น เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานมาเป็นเวลานานกว่า 7 เดือน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนี้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานจากบุคคลที่เกี่ยวข้องเอง โดยไม่ได้นำข้อมูลและพยานหลักฐานจากพนักงานสอบสวนมาอ้างอิง
ส่วนกระบวนการตรวจสอบฝั่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ นั้น ในวันที่ 10 เม.ย.นี้ เวลา 10.30 น. จะเชิญนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้มเข้าให้ข้อมูลที่บ้านมนังคศิลา หลังจากที่คณะทำงานได้เชิญมาหลายครั้ง แต่ทนายตั้มอ้างว่าติดภารกิจเดินสายร้องเรียน ซึ่งจะต้องสอบถามทนายตั้มเกี่ยวกับที่มาของเอกสารที่ได้นำไปร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และภรรยาที่ สน.เตาปูน รวมทั้งที่มาของพยานบุคคล และเส้นทางการเงินที่อ้างว่ามีความเชื่อมโยงกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และภรรยา
พล.ต.อ.วินัย กล่าวด้วยว่า คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจในการตรวจสอบทั้งข้าราชการและบุคคลทั่วไปที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในชั้นศาลในอนาคต แต่หากภายหลังเกิดกรณีศาลมีคำพิพากษาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งขัดกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการจะถือเป็นปัญหาหรือไม่นั้น พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต เพราะแม้ว่าศาลจะชี้ว่าไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะไม่ผิด มีหลายคดีที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด แต่ต่อมาศาลยกฟ้อง ซึ่งการที่ศาลยกฟ้องไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ผิด แต่การตัดสินคดีต้องตัดสินไปโดยปราศจากข้อสงสัย แต่ทางเรากล่าวหาหรือจากการตรวจสอบ น่าเชื่อว่าได้กระทำผิด เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันตามพยานหลักฐาน นอกจากนี้หากอนาคต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะฟ้องร้องคณะกรรมการชุดนี้ ตนก็ไม่กังวล เพราะเราพูดกันตามข้อเท็จจริง ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดนี้จะพยายามฟื้นความศรัทธาให้กับองค์กรตำรวจด้วยการทำงานอย่างตรงไปตรงมา และพร้อมจะทำความจริงให้ปรากฏ