ผู้จัดการสุดสัปดาห์- กลายเป็นเรื่องงามไส้ขายขี้หน้าเป็นที่สุด ทั้งกรณีจับนายวีระชาติ รัศมี ลูกเขยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ข้อหารับสินบน และกรณี “เสี่ยแป้ง นาโหนด” แหกคุกเพื่อตามล่าเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงอมเงินวิ่งเต้นคดี
ทั้งสองคดีมีความเหมือนในความต่างตรงที่ผู้ก่อเหตุและผู้ที่เป็นต้นเหตุเป็น “เจ้าหน้ารัฐ”
นายวีระชาติ นั้นเป็นถึง “นายกเทศมนตรี” ตำบลตลุกดู่ อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี ถือเป็นตัวแทนของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตอนนี้รับหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญยิ่งของรัฐบาล คือปราบปรามผู้มีอิทธิพล กวาดล้างเจ้าพ่อมาเฟีย โดย“เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มอบหมายนายชาดา ที่ได้ชื่อว่าเป็น “นักการเมืองผู้กว้างขวางแห่งอุทัยธานี” แบกรับงานนี้ เพื่อให้โชว์ฝีมือเรียกคะแนนนิยม สังคมที่มีเสียงฮือฮาตอนที่นายชาดา เข้ามารับงานก็เฝ้ารอดูว่าท่วงทำนอง “ส่งเสือเข้าถ้ำเสือ” จะเขย่าวงการเจ้าพ่อได้สักแค่ไหน
ยังไม่ทันไร กลับกลายเป็นว่านายชาดาต้องมากลืนเลือดกัดฟันสั่งให้นายวีระชาติ ผู้เป็นลูกเขย ลาออกจากตำแหน่งหลังเกิดเรื่องเรียกรับสินบน ขณะที่คดีความของ “กำนันนก” ผู้กว้างขวางแห่งนครปฐม ซึ่งเป็นปฐมบทของการประกาศนโยบายล้างเจ้าพ่อมาเฟียของรัฐบาลชุดนี้กลับค่อย ๆ เลือนหายไปกับสายลม
นายวีระชาตินั้นถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบและร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จากกรณีเรียกรับเงินสินบนจากผู้ประกอบการทำโครงการก่อสร้างระบบประปาในพื้นที่ โดยถูกจับพร้อมของกลางเป็นเงิน 600,000 บาท โดยพฤติการณ์ความผิดนั้น จากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจหลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย พบว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ เนื่องจากถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลข่มขู่ร้านขายวัสดุก่อสร้างห้ามขายสินค้าให้กับผู้เสียหาย จนส่งผลให้ไม่สามารถก่อสร้างตามกำหนดการ
จากนั้นนายวีระชาติเรียกผู้เสียหายมาพบ 3 ครั้ง และเสนอให้ผู้เสียหายจ่ายเงิน 1 ล้านบาท เพื่อแลกกับการก่อสร้างได้ตามปกติ แต่ได้มีการต่อรองเหลือ 6 แสนบาท พร้อมกับนัดเวลาส่งมอบ ตำรวจจึงร่วมมือกับผู้เสียหายเข้าจับกุมนายวีระชาติ และภายหลังพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ เป็นเงินสด 4 แสนบาท โดยจะนัดหมายอีกครั้งเมื่อสำนวนคดีเสร็จสิ้นเพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ท่าทีของนายชาดา ภายหลังเกิดเหตุการณ์จับกุมนายวีระชาติ อ่านทางลมและรู้กระแสสังคมดีจึงรีบออกตัวว่า จะไม่เข้าไปยุ่งกับการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ยืนยันว่าได้หารือผ่านทางโทรศัพท์แล้ว นายชาดาบอกว่าเคยเตือนนายวีระชาติแล้ว และขอให้ตำรวจดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เช่นเดียวกับท่าทีของนายอนุทิน ที่ยืนยันเช่นกันว่าต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้น และยืนยันว่า นายชาดาจะไม่เข้าไปก้าวก่ายอย่างแน่นอน
แน่นอน แรงกดดันทั้งหลายทั้งปวงถาโถมใส่นายชาดา อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ต่อมา นายชาดา ได้บอกให้นายวีระชาติลาออกจากตำแหน่งนายกเทศบาลตลุกดู่ เพื่อให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเนื้อหาในจดหมายลาออกที่นายวีระชาติ เขียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2566 เวลา 23.30 น. นั้น ระบุว่า ขอลาออกจากตำแหน่งด้วยว่าต้องคดีถูกแจ้งข้อหาเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ แต่ขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
การลาออกของนายวีระชาติ จะสยบแรงกระเพื่อมสั่นคลอนเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ได้หรือไม่ และลดแรงสะเทือนถึงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ ยังไม่แน่ ขึ้นอยู่กับว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งพลพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล จะมีท่าทีตอบรับเช่นไร
ต้องไม่ลืมสังเกตด้วยว่าระหว่างที่นายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย เจอกระแสโจมตีแจกเงินดิจิทัลอย่างหนัก ทางพรรคภูมิใจไทยก็ยืนนิ่งดูพรรคแกนนำรัฐบาลถูกถล่ม กระทั่งตอนหลังที่เกิดเหตุจับกุมนายวีระชาติ “เสี่ยหนู” จึงออกตัวว่าไม่ลอยแพพรรคเพื่อไทย ยืนยันให้การสนับสนุนนโยบายแจกดิจิทัลวอลเลต
อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี ก็ว่า “.... เห็นข่าวก็ตกใจเช่นกัน แต่เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วย ยืนยันว่าถ้ามีความผิดก็ต้องจัดการไปตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องของรัฐมนตรีท่านใดก็ตาม ....”
ขณะที่นายอนุทิน ก็สำทับว่า “ใครที่คิดว่าทำผิดกฎหมายแล้วจะถูกจับไม่ได้ ให้กลับไปคิดใหม่ ... บอกแล้ว ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ถ้าผิดก็รับโทษ ถ้าเชื่อว่าถูกใส่ร้ายให้เอาหลักฐานมาชี้แจง”
ลูกเขยนายชาดา จะถูกใส่ร้ายหรือไม่ หรืออย่างที่นายชาดาว่า “เคยเตือนแล้ว” ยังต้องสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ถูกผิด กันต่อไป แต่ ณ เวลานี้ มีเสียงแปร่งๆ จากนางเตือนจิตรา แสงไกร หรือ “ตั้ม” อดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี และเป็นอดีตภรรยาของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ซึ่งออกมาโพสต์ปกป้องนายวีระชาติ หรือ “แม็ค” ในทำนองว่า “....แผนนี้โดนเตรียมการมาอย่างดี เสนอติดสินบนเจ้าพนักงาน ตั้งใจวางแผนมาโค่น ไม่ได้ทำคือไม่ได้ทำ ไม่ได้รับและไม่มีการติดต่อ ความจริงจะปรากฎ….”
สำหรับ นายวีระชาติ รัศมี หรือ แม็ค เข้าพิธีสมรสกับ นางสาวอัลฑริกา ไทยเศรษฐ์ หรือหญิง บุตรสาวของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา
ไม่เพียงแต่คดีของนายวีระชาติ เท่านั้น จังหวะนี้ยังมีเรื่องงามไส้ด้วยคดี “เสี่ยแป้ง นาโหนด” นายเชาวลิต ทองด้วง วัย 37 ปี ปฏิบัติการแหกคุกเหมือนเอาเท้าลูบหน้าเจ้าหน้าที่รัฐ แถมว่ากันว่าเหตุจูงใจที่ “เสี่ยแป้ง” แหกคุกก็เพื่อออกตามล่าเจ้าหน้ารัฐระดับสูงอมเงินช่วยวิ่งเต้นคดีนับสิบล้านบาทอีกด้วย
การวางแผนแหกคุกของเสี่ยแป้ง อาศัยประโยชน์จากโครงการของในหลวง ร.10 คือ “ราชทัณฑ์ปันสุข” ที่ทรงต้องการให้นักโทษได้รับการดูแลด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง เสี่ยแป้ง จึงขอร่วมโครงการ เพื่อถูกส่งตัวออกจากกำแพงเรือนจำมั่นคงสูงอย่างเรือนจำนครศรีธรรมราช มาสู่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ที่ง่ายต่อการหลบหนี
เสี่ยแป้งขอออกมาทำฟันพอหมอเลื่อนนัด ก็ทำแกล้งเป็นโรควูบเพื่อได้นอนโรงพยาบาล แล้วจัดการติดสินบนคนเฝ้าไข้ไขโซ่ตรวนพันธนาการหลบหนีกลางดึก ซึ่งคนรับสินบนตามแผนแหกคุกคราวนี้ย่อมมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ช่วยปั๊มกุญแจผี รวมถึงเจ้าหน้าที่ 2 คน ที่ละทิ้งหน้าที่เวรยามเฝ้าหน้าห้องอย่างมีพิรุธ แถมทอดเวลากว่า 3 ชั่วโมงกว่าจะแจ้งตำรวจเมื่อรู้ว่าเกิดเหตุนักโทษหลบหนี
การยอมเสี่ยงแหกคุกของเสี่ยแป้ง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา เพราะเขาประเมินแล้วว่าอาจได้แก่ตายคาคุก เพราะโดนศาลสั่งจำคุกไปแล้วถึง 21 ปี 3 เดือน 25 วัน โดยมีคดีอุกฉกรรจ์ติดตัวในเวลานี้ ยืดยาวเป็นหางว่าว รวมแล้วถึง 11 คดี เวลานี้ทั้งกองปราบปราม ทั้งตำรวจภูธร ต่างออกตามล่าเสี่ยแป้งกันให้วุ่น บางกระแสก็ว่าน่าจะหนีข้ามแดนมาเลเซียไปแล้ว เพราะไปเจอรถกระบะ พาหนะที่พาเสี่ยแป้งหลบหนี จอดใกล้ท่าเรือที่จังหวัดสตูล บางกระแสก็ว่ากลับไปกบดานที่จังหวัดพัทลุง ถิ่นของตัวเอง เพื่อรอโอกาสล้างแค้น
มีรายงานว่า สาเหตุหลักที่เป็นแจงจูงใจให้เสี่ยแป้งคิดหลบหนี เพราะมีความเคียดแค้นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงในกระบวนการยุติธรรม 2 นาย ซึ่งเขาจ่ายเงินวิ่งเต้นคดีสูงเกือบ 10 ล้านบาท ในคดีปล้นชิงตัวผู้ต้องหาและพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่รับเงินก้อนโตไปแล้ว กลับหักหลังจนนำไปสู่การพิพากษาตัดสินจำคุก 21 ปี ซึ่งเสี่ยแป้ง ได้ระบายความแค้นกับญาติและคนใกล้ชิดที่มาเยี่ยมในเรือนจำทุกครั้ง
ก่อนจะมีชื่อเสียงเรียกขานว่า “เสี่ยแป้ง” นายเชาวลิต ทองด้วง มีฉายา “เสือแป้ง” จอมโจรโคตรโหดแห่งเมืองพัทลุง ก่อคดีปล้น ฆ่า ค้ายาเสพติด ฟอกเงิน จนผงาดขึ้นเป็นเจ้าพ่อผู้มั่งคั่ง ร่ำรวยระดับเคยถูก ปปง.ยึดทรัพย์กว่า 150 ล้านบาทมาแล้ว
“เสี่ยแป้ง” หรือ “เสือแป้ง” ในอดีต เดินเข้าสู่ถนนสายการเมืองเคยลงสมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง เมื่อปี 2562 แต่สอบตก ขณะเดียวกันเขาขยันสร้างภาพเป็นคนใจบุญ ขยันเดินสายช่วยเหลือชาวบ้าน
ว่ากันว่า เสี่ยแป้งเป็นลมใต้ปีกให้นักการเมืองระดับประเทศของพรรคเก่าแก่พรรคหนึ่ง และเลี้ยงดูตำรวจไว้เป็นโขยง จัดได้ว่าเสือแป้งเป็นดาวร้ายบริวารของพรรคการเมืองและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต่างพึ่งพาอาศัยกัน
ผลจากการแหกคุกของ “เสี่ยแป้ง” ทำให้นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และมีคำสั่งให้ นายณรงค์ หนูคง ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และผู้คุมที่เกี่ยวข้องเข้ามาสำรองราชการที่ส่วนกลางในระหว่างที่ดำเนินการสอบสวน และศาลได้อนุมัติหมายจับ 4 ผู้ช่วยเหลือเสี่ยแป้ง ฐานความผิดร่วมกันกระทำการด้วยประการใดให้ผู้ถูกคุมขังตามอำนาจศาลซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไปหลุดพ้นจากการคุมขังไป
เห็นได้ว่าผู้มีอิทธิพล เจ้าพ่อ มาเฟีย ที่ใหญ่คับแผ่นดิน กล้าทำผิดกฎหมาย ล้วนแล้วแต่มี “เจ้าหน้ารัฐ” นอกรีตให้การช่วยเหลือ อุ้มชู และยิ่งไปกว่านั้นนักการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติบางคน ต่างมีเจ้าพ่อ มาเฟีย เป็นลมใต้ปีก
ดังนั้น หากรัฐบาลคิดจะกวาดล้างผู้มีอิทธิพล ก็ต้องเด็ดปีกเจ้าหน้ารัฐนอกรีตเสียก่อนเป็นอันดับแรก ไม่เช่นนั้นก็อย่าคุยเขื่องคำโตว่าจะกวาดล้างผู้มีอิทธิพลให้สิ้นจากแผ่นดินไทย