“สนธิ” ชี้ แผน “บิ๊กโจ๊ก” โอนคดีฟอกเงินเว็บพนันไปดีเอสไอ-ป.ป.ช.เพื่อยื้อคดีให้นานที่สุดกลายเป็นหมัน ศาลระบุชัดอยู่ในอำนาจศาลอาญา เจ้าตัวต้องดิ้นอีกทางส่ง “ทนายตั้ม” เป็นตัวแทนเล่นงาน “บิ๊กต่อ” ที่มี “อัจฉริยะ” เป็นตัวแทนตอบโต้เช่นกัน เตือนสื่อที่เคยรับใช้เตรียมรับคมหอกคมดาบ หลักฐานเส้นทางเงินมีหมดแล้ว
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีศาลอาญาอนุมัติหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ว่า เท่ากับเป็นการดับฝันของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และพวกที่จะให้คดีของตนเองไปอยู่กับดีเอสไอและ ป.ป.ช.ทั้งหมด
สำหรับ การออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ครั้งนี้ มาจากความผิดที่เกี่ยวโยงคดีเว็บพนัน BNK MASTER หลังพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลเข้ายื่นขอคำร้องขอให้ศาลพิจารณาออกหมายจับ ในความผิดฐาน สมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินตามที่สมคบกัน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9,10 หลังก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ทั้งหมดถึง 3 ครั้ง เเต่ไม่สามารถส่งหมายเรียกถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สลับซับซ้อน แต่เป็นเรื่องที่วุ่นวาย เพราะ สุรเชษฐ์ หักพาล ได้ระดมสรรพกำลังเครือข่ายของตัวเองทุกอย่างเพื่อออกมาขัดขวางการขอออกหมายจับครั้งนี้ โดยพยายามที่จะอ้างว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเดียวกับอีก 2 คดี ที่ส่งไป ป.ป.ช. แล้ว ควรที่จะส่งไปให้ ป.ป.ช. ซึ่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าคนละเรื่องกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องการฟอกเงิน ไม่ใช่เรื่องการผิดมาตรา 157 หรือมาตรา 149
มีการดิ้นรนตลอดเวลา ถึงขนาดที่เรียกว่า พอตำรวจส่งหมายไป ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 จนถึงครั้งที่ 3 สุรเชษฐ์ หักพาล พยายามหลีกเลี่ยง ไม่อยู่ในที่ๆ ส่งหมาย เพื่ออ้างได้ว่าตัวเองไม่เคยรับหมาย
ก่อนหน้านั้น วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม สุรเชษฐ์ หักพาล ได้ให้ลูกน้องตัวเอง คนสนิท คือผู้กำกับสืบสวนที่อยู่สงขลา ขึ้นมาที่ สน.เตาปูน เพื่อมาแจ้งความเอาผิดลูกน้องตัวเองที่เป็นจำเลย คือ พ.ต.ท.คริษฐ์ ข้อหา 157 และ 149 เพื่อที่จะให้มีข้อหานี้ที่เข้าข่ายต้องส่งไปที่ ป.ป.ช. และพนักงานก็จะส่งไปที่ ป.ป.ช.ทันที ซึ่งพนักงานสอบสวนก็พิจารณาข้อกล่าวหาแล้ว เห็นว่าคดีฟอกเงินที่อยู่ที่ สน.เตาปูน นั้น ไม่ได้เข้าข่าย 157 และไม่ได้เข้าข่ายมาตรา 149
นอกจากนั้นแล้ว สุรเชษฐ์ หักพาล ยังวางหมากเอาไว้อีกตัวหนึ่ง ด้วยการวิ่งเต้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เพื่อให้ดีเอสไอออกแถลงการณ์ว่าเรื่องคดีที่อยู่ สน.เตาปูน นั้น ดีเอสไอได้รับการร้องเรียนจาก สุรเชษฐ์ หักพาล ดีเอสไอจะพิจารณาคดีนี้ แต่ขอส่งคดีนี้ไปให้ ป.ป.ช.ดูก่อน ถ้า ป.ป.ช.บอกว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. ป.ป.ช.ก็จะต้องระบุมาว่าแล้วจะให้ใครทำ ซึ่ง ป.ป.ช.ก็จะบอกว่าส่งให้ดีเอสไอทำ ตามหมากที่วางไว้
ทำไมต้องเป็นดีเอสไอ? เพราะถ้าดีเอสไอทำ ก็จะเริ่มต้นจากศูนย์ได้ ไม่ว่าพนักงานสอบสวนจะสอบมานานแค่ไหนก็ตาม พอมาถึงดีเอสไอ ดีเอสไอก็จะอ้างว่าจำเป็นต้องรื้อใหม่หมด เริ่มต้นจากศูนย์เลย
สุรเชษฐ์ หักพาล ต้องการจะดึงเรื่องนี้ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้ายิ่งส่งเข้า ป.ป.ช. ได้ เท่ากับ สุรเชษฐ์ หักพาล ก็ยังไม่ใช่จำเลย เพราะ ป.ป.ช. จะใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งด้วยประธาน ป.ป.ช.คนปัจจุบันนั้นก็เป็นที่น่าสงสัยว่าช่วยเหลือสุรเชษฐ์ หักพาล มาตลอด เพราะฉะนั้นแล้ว ป.ป.ช. ก็สามารถจะดองเรื่องนี้ไปเป็นปี เพราะตามกฎหมายแล้ว ป.ป.ช. มีเวลา 2 ปี ในการทำเรื่องนี้ อย่างน้อยตามกฎหมายแล้วคือบวกอีก 1 ปี เพราะสุรเชษฐ์ หักพาล ต้องการจะเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. ในเดือนกันยายนนี้ เนื่องจากถือดีว่าตัวเองอาวุโสสูงที่สุด เพราะฉะนั้นตัวเองจะโดนอะไรก็ไม่ได้ นั่นคือที่มาว่าทำไมจะต้องดิ้นอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช
“แล้วทำไมต้องดีเอสไอ ? ไม่อยากจะพูด ดีเอสไอ วิ่งได้ ยิ่งดีเอสไออยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมืองอย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนคลางแคลง สงสัยการกระทำของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในหลายๆ เรื่องในอดีต ก็คือพูดง่ายๆ ว่าประชาชนไม่ไว้ใจเลยแม้แต่นิดเดียว ก็คือสรุปง่ายๆ ว่า ถ้าดีเอสไอได้รับเรื่องนี้ไป ก็จะยืดเวลาให้ สุรเชษฐ์ หักพาล ได้เช่นกัน อาจจะพอๆ กับเวลาที่สูญเสียไปกับ ป.ป.ช. ถ้า ป.ป.ช. ดองเรื่องเอาไว้”
นายสนธิ กล่าวว่า ในวันที่ตำรวจไปยื่นขอศาลออกหมายจับนั้นสุรเชษฐ์ หักพาล และเครือข่าย ตลอดจนลูกน้องของเขาหลายคน ดิ้นรนกันมาก ทนายความของ สุรเชษฐ์ หักพาล ได้ไปยื่นคำร้องคัดค้านหมายจับครั้งนี้และนั่งรอ ตั้งแต่เช้ากว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลจะออกมาก็ประมาณสี่โมงเย็น เพราะศาลต้องพักเที่ยง และเผอิญวันนั้นท่ประธานศาลฎีกาก็ไปเยือนศาลอาญา อธิบดีศาลอาญาต้องเข้าไปต้อนรับและดูแลประธานศาลฎีกา หลังจากนั้นจึงมาพิจารณาคำร้อง
“เข้าใจว่าคงมีการไต่สวนทนายความของ สุรเชษฐ์ หักพาล แต่ในที่สุดแล้ว ถ้ามีการไต่สวน คงจะฟังไม่ขึ้น ก็เลยมีออกหมายจับ หมายเลข 1396/2567 จากศาลอาญา ศาลให้เหตุผล 3 ข้อ ข้อที่หนึ่ง ศาลบอกชัดเจนว่า คดีนี้มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นความผิดจริง แสดงว่าที่ตำรวจยื่นหลักฐานให้ดูนั้น ศาลเห็นด้วยว่าเกี่ยวโยงไปจนถึง สุรเชษฐ์ หักพาล แน่นอน
“ข้อที่สอง ศาลท่านชี้แจงว่า ผู้ต้องหา คือ สุรเชษฐ์ หักพาล มีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวน ก็คือศาลบอกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกไปแล้ว แล้ว สุรเชษฐ์ หักพาล ก็อ้างว่าไม่ได้รับหมาย ศาลก็เลยชี้่ว่า สุรเชษฐ์ หักพาล มีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวน
“ข้อที่สาม ข้อนี้่สำคัญมาก ศาลอาญาท่านฟันธงไปเลยว่า คดีนี้เป็นอำนาจของศาลอาญา ไม่ได้เป็นอำนาจ ป.ป.ช. หรือไม่ได้เป็นอำนาจของดีเอสไอเลย เท่ากับเป็นการดับฝัน สุรเชษฐ์ หักพาล และพรรคพวก” นายสนธิ กล่าว
ในวันเดียวกัน ภายหลังจากที่ศาลออกหมายจับ เมื่อเวลา 19.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยกเลิกภารกิจทุกอย่าง เพื่อเดินทางเข้าไปพบพนักงานสอบสวน ที่ สน.เตาปูน ขณะที่ ลูกน้องตำรวจคนสนิทหลายนาย ซึ่งถูกออกหมายจับในคดีเดียวกันไปแล้ว รวมถึง พวกที่เคยถูกจับกุมในคดีมินนี่เจ้าแม่เว็บพนัน ต่างเดินทางมารวมตัวกันที่โรงพัก เพื่อให้กำลังใจเจ้านาย เช่น พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ เป็นต้น
ภายหลังจากเข้ามอบตัวประมาณ 1 ชั่วโมง ใน เวลาประมาณ 20.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ขอใช้สิทธิ์ขอประกันตัว วงเงิน 100,000 บาท แล้วเดินทางออกมาจาก สน.เตาปูน ทางด้านข้างอาคาร พร้อมให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน สั้น ๆ ว่า ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว โดยวันนี้เป็นการมอบตัวตามปกติ และได้รับการประกันตัวออกมา ส่วนรายละเอียดการประกันตัวไม่ขอเปิดเผย แต่ยืนยันว่า วันนี้ตนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และไม่ได้รู้สึกกังวล ที่จะต้องให้ถูกออกจากราชการ หลังจากนี้จะเดินทางไปทำงานตามปกติ โดยยังไม่ทราบว่า พนักงานสอบสวนจะนัดมาอีกครั้งเมื่อไหร่
เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน ตามหมายจับของศาลอาญาแล้ว ต้องจับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับ สุรเชษฐ์ หักพาล เพราะ เรื่องคดีความคงต้องสู้กันอีกยาว ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ทั้งในชั้นตำรวจ อัยการ และอีก 3 ศาลกว่าจะถึงศาลฎีกาต้องใช้เวลา 6 ปี หรือ 7 ปี ซึ่งก็เป็นจังหวะที่ สุรเชษฐ์ หักพาล เกษียณอายุราชการพอดี
อย่างไรก็ตาม ตามหลักการการบริหารองค์กรตำรวจแล้ว เมื่อมีนายตำรวจต้องคดีอาญาร้ายแรงขนาดนี้ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย สอบในรู้ผลภายใน 30 วัน หากพบว่าอยู่ในตำแหน่งไป ก็สร้างความเสื่อมเสียให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งโดยทั่วไป ก็จะมีคำสั่งให้พักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยยังคงได้รับเงินเดือน มีเบี้ยหวัดบำนาญตามเดิม
เรียกว่าเป็นไฟต์บังคับ ในการดำเนินการกับตำรวจที่โดนคดีอาญาร้ายแรง เป็นแนวทางปกติทั่วไป ที่กระทำกันมาตลอด
งานนี้จึงอยู่ในมือของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. ที่นายกรัฐมนตรีส่งมากวาดบ้าน จะต้องดำเนินการกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อย่างตรงไปตรงมา
ซึ่งก็น่าจะรวมไปถึงบรรดาลูกน้องรอบตัว พล.อ.สุรเชษฐ์ ทั้ง 8 ที่โดนคดีส่วยมินนี่ชุดแรก และลูกน้องอีก 4 นาย ที่โดนคดีส่วยมินนี่ชุดสอง แต่กลับถูก “ต่อ เฟรนด์ลี” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ยื้อเอาไว้ แต่งานนี้ก็สมควรโดนกวาดไปพร้อมกัน พล.อ.สุรเชษฐ์
เนื่องจากที่ผ่านมา เมื่อ “ผบ.ตร.ต่อศักดิ์” เกียร์ว่างปล่อยให้ “ตำรวจสีเทา” กลุ่มนี้ ได้อยู่ในตำแหน่งตามเดิม ก็มีปัญหาในการยุ่งเกี่ยว หรือ แทรกแซงคดี โดยแม้แต่ อัยการอาวุโส ยังเคยโดน “กลุ่มลูกน้อง” สุรเชษฐ์ หักพาล ไปตามข่มขู่คุกคาม
ด้วยเหตุนี้เมื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ก็ลอยตัวลูกเดียว ไม่กล้าแตะต้องทางวินัยกับเหล่าลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก เพราะกลัวโดนบิ๊กโจ๊กเล่นงานกลับ อย่างที่โดนไปแล้วตอนนี้
กลายเป็นตำรวจเด็ก ๆ คณะพนักงานสอบสวน ต้องรวมตัวกันเป็น “กลุ่มโรนิน” หรือซามูไรที่ไม่มีนายดูแล แต่ยังยึดมั่นเดินหน้าทำความจริงให้ปรากฏโดยไม่ย่อท้อ อาจเรียกได้ว่างานนี้ ทุกคนเดิมพันกันด้วยชีวิตราชการของแต่ละคนเลยทีเดียว
ตอนนี้ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ก็ได้แต่ทำตัวเป็นแผ่นเสียงตกร่อง อ้างหลักการว่าตัวเองยังผู้บริสุทธิ์ เพราะศาลยังไม่พิพากษา และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ทว่าเบื้องหลัง สุรเชษฐ์ หักพาล ก็ใช้ยุทธวิธี ทั้ง“บนดิน”และ“ใต้ดิน”ในการเดินเกม เพื่อดิ้นให้ตัวเองหลุดพ้นจากกรรมเก่า ที่ตัวเองได้ก่อไว้ในรอบนี้
ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ความเคลื่อนไหวของ “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ออกมาปรากฏกายต่อหน้าสื่อมวลชนอีกครั้ง เปิดสำนักงาน Sittra Law Firm ต้อนรับทัพสื่อทุกแขนง โดยขนข้อมูลแสดงเส้นทางการเงินลากไส้เครือข่ายบัญชีม้าของทีม พ่อบ้าน แม่บ้าน ผบ.ตร. “ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ที่โยงใยกันไปมา
จากนั้น ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เปิดปฏิบัติการเดินหน้าท้าชน ยอมลงทุนเดินทางไปย้อนเกล็ด ใช้กลเม็ดไม้เด็ดสารพัด ไม่ว่าจะเป็นการยื่นหลักฐานให้ตั้งเรื่องสอบคู่กรณีให้ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) โดยยื่นหลักฐานผ่าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว หรือ “บิ๊กเต่า” รอง ผบช.ก. เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา
“งวดนี้ทนายตั้มออกมาเสนอหน้าแล้ว เพราะว่าประเด็นของ ต่อศักดิ์ สุขวิมล นั้น ติดค้างอยู่ประเด็นเดียวว่า มีแต่ข่าวบอกว่ามีเส้นทางการเงินที่พัวพัน ต่อศักดิ์ สุขวิมล ด้วย แต่เป็นแค่คำกล่าวอ้าง ที่คือจุดอ่อนของฝ่าย สุรเชษฐ์ หักพาล ก็เลยจัดหุ่นเชิดตัวหนึ่งขึ้นมา คือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทำตัวออกมาแถลงข่าวแล้วขึงขังไปแจ้งความที่ ป.ป.ป. กล่าวโทษ ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่า ต่อศักดิ์ สุขวิมล นั้นมีส่วนพัวพันกับเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า
“แต่ที่เป็นที่น่าสังเกต ไปแจ้งความ 15 นาที แล้วตัวเองก็หายตัวไปเลย พร้อมกับบอกว่าตัวเองนั้นจะมาให้คำให้การทีหลัง คนที่อยู่ในแวดวงต่างๆ ในเรื่องนี้ ตามที่ผมสืบมา ก็ปรากฏว่าข้อมูลที่ไปแจ้งนั้นไม่มีอะไรใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว และไม่ได้โยงไปถึง ต่อศักดิ์ สุขวิมล ตามที่กล่าวอ้าง
“ช่วงนี้ก็เลยมีข่าวทางโซเชียลออกมา พูดถึงที่ดินของต่อศักดิ์ สุขวิมล พูดถึงบ้านที่อยู่ที่อังกฤษ 2 หลัง ผมไม่ต้องการปกป้อง ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผมคิดว่าตำรวจถ้ามันชั่ว ให้ออกไปเลยทั้งคู่ เก็บเอาไว้ทำไม มีประโยชน์อะไร แต่มันต้องหมดยุคแล้วที่ใช้ตัวแทนออกมาพร้อมกับสื่อมวลชนกล่าวหาคนโน้น กล่าวหาคนนี้ แล้วกระพือสื่อมวลชนที่ตัวเองให้เงินให้ทองเขาเอาไว้” นายสนธิ กล่าว
นอกจากนี้ “ทนายตั้ม” ยังมีการเดินทางไปที่ สน.เตาปูน เพื่อย้อนรอย แจ้งความดำเนินคดีกับ “ผบ.ตร.ต่อศักดิ์” และภรรยา รวมถึงบุคคลที่ปรากฏชื่อในบัญชีม้า อีก 2 คน ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน เมื่อวันที่ 1 เมษายน
จากนั้น วันพุธที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ยังเดินทางไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ที่มี พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม เป็นประธานฯ โดยมีการประสานให้ 2 อดีตนายตำรวจชื่อกระฉ่อนโซเชียลออกมาถ่ายรูปรับหนังสือด้วย คือ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษรซึ่งสนิทสนมกับ สุรเชษฐ์ หักพาล มีบ้านอยู่ติดกัน และลูกชายก็ทำงานอยู่ที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นคนที่ย้ายเข้ามา กับ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ซึ่งเป็นคนสนิทของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้น “ทนายตั้ม” ยังวิ่งรอกไปยื่นหลักฐานฟาด “ผบ.ตร.ต่อศักดิ์” ให้ทีมงานผู้นำฝ่ายค้าน อย่าง นายชัยธวัช ตุลาธน กับ นายรังสิมันต์ โรม จากพรรคก้าวไกล ให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาเป็นข้อมูลอภิปรายดิสเครดิตรัฐบาลอีกด้วย
งานนี้ใครๆ ก็รู้ว่านกมีขนคนมีพวกอย่าง “ทนายตั้ม” ยอมลงทุนเปิดหน้าชกกับ “ผบ.ตร.ต่อศักดิ์” อย่างชัดเจน ก็เพราะคอนเน็คชั่น ที่มีต่อ สุรเชษฐ์ หักพาล มาอย่างยาวนาน
ยิ่งเวลานี้ ทั้ง ต่อศักดิ์ และ สุรเชษฐ์ ถูก “นายกเศรษฐา” เฆี่ยนด้วยคำสั่งไปช่วยงานสำนักนายกฯ กันทั้งคู่ ต่างคนจึงต่างอยู่ในสถานะออกอาวุธอะไรกันไม่ค่อยถนัด ฝ่ายต่อศักดิ์ มี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เป็นมือเป็นไม้
ส่วนฝ่าย สุรเชษฐ์ ที่เพิ่งโดนหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1396/2567 ลงวันที่ 2 เมษายน 2567ข้อหาสมคบฟอกเงินฯ ก็ได้ “ทนายตั้ม” มือไม้หน้าเดิมๆ มาเดินเกมส์ ทำลายความน่าเชื่อถือของศัตรูให้
แม้ “ทนายตั้ม” จะอุตส่าห์บรรจงเขียนถ้อยคำโพสต์เฟซบุ๊ก เรื่องความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ ที่ต้องหอบหลักฐานซึ่งอ้างว่าได้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ออกมาแฉ “ต่อศักดิ์” ฝ่ายเดียวเพื่อผลประโยชน์ของชาติ แต่ถามว่า จะมีสักกี่คนที่เชื่อในพฤติกรรมที่คุณเดินหน้าทำอยู่เวลานี้?
““ทนายตั้ม” คุณจำได้มั๊ย คุณเคยเปิดตัวผ่านเฟซบุ๊กตอนทะเลาะกับ “ชูวิทย์” ว่า คุณสนิทสนมกับ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ที่เพิ่งตกเป็นผู้ต้องหาเว็บพนัน BNK Master ตั้งแต่ช่วงที่โดนโยกย้ายไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในยุค คสช. คุณรู้จักกันตั้งแต่ช่วงนั้นจน สุรเชษฐ์ ได้กลับมาเป็นตำรวจทะยานขึ้นตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.
“คุณเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่า ครอบครัวคุณไปมาหาสู่ กินข้าวร่วมโต๊ะ เที่ยวด้วยกัน “สุรเชษฐ์ หักพาล” ให้ความเมตตาเอ็นดูลูกของคุณมาก ผมเลยอยากถาม ทำไมคุณกล้าโพสต์เฟซบุ๊กแสดงเจตนาว่าทำเพื่อประเทศชาติ
“หลักฐานที่คุณหอบไปให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อฆ่าต่อศักดิ์ คุณอ้างว่า ได้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 หรือเมื่อ 5-6 เดือนก่อน
“ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่มีคลิปหลุดซึ่งคุณ “ทนายตั้ม” ใช้มือถือถ่ายเอาไว้ในงานเลี้ยงตอนที่ “สุรเชษฐ์ หักพาล” กับ “มินนี่” เจ้าแม่อายุน้อยร้อยเว็บ ถือไมค์แหกปากร้องคาราโอเกะ ไม่ใช่หรือ ?
“ผมขออนุมาน ว่า การกระทำของคุณ ณ เวลานี้ก็คือการใช้หนี้ จากการทำคลิปงานวันนั้นหลุดออกมา ให้ “สุรเชษฐ์” สาแก่ใจเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือเปล่า”
ที่กล้าพูดออกมาอย่างนี้ ก็เพราะพฤติกรรมของ “ทนายตั้ม” ไม่ต่างจากที่เคยดาหน้าชน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.คู่ขัดแย้งกับ สุรเชษฐ์ เรื่องไบโอเมตริกซ์
สมัยนั้นทนายตั้มกล้าถึงขนาดทำคอนเทนต์ ถ่ายคลิปบุกรุกเข้าไปในห้องปฏิบัติฝ่ายสืบสวนกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อตรวจสอบเครื่องไบโอเมตริกซ์ ที่วางอยู่บนตู้เย็น จนถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการขณะนี้คดีความยังอยู่ในศาล
แล้วอย่างนี้ การแฉของทนายตั้มจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ยังไง ในเมื่อพฤติกรรมทำเพื่อสนองความต้องการของ “สุรเชษฐ์ หักพาล” เพียงฝ่ายเดียว เหมือนเดิม!
ไหนๆ ก็อุตส่าห์บากหน้าวิ่งรอกไปร้องทุกข์มาตั้งหลายที่ จะหันกลับมาทำความดีให้ครอบครัวภูมิใจทั้งที ทำไม “ทนายตั้ม” ไม่หอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ฝ่าย “สุรเชษฐ์” กับพวกไปด้วย
ทลายล้างให้ราบคาบทั้ง 2 ฝ่าย แบบไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องเลือกข้างอวย สุดท้ายได้ลงหลังเสือแบบสวยๆ สง่างาม
การดิ้นรนของ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ครั้งนี้ ต้องเรียกว่าเป็น “สงครามตัวแทน” โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดำเนินการผ่าน “ทนายตั้ม” ส่วนพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็ดำเนินการผ่าน นายอัจริยะ เรืองรัตนพงศ์ซึ่งทั้ง “ทนายตั้ม” กับ “อัจฉริยะ” ต่างก็เป็นคู่แค้นคู่อาฆาตกันมาอย่างยาวนาน
แต่ร่องรอย เส้นทางการเดินเกมของ “ทนายตั้ม” ภายใต้การชักใยของ สุรเชษฐ์ หักพาลนั้นก็แสดงให้เห็นคอนเนคชั่นต่าง ๆ ของ สุรเชษฐ์ ไม่ว่าจะเป็น ทนายตั้ม ทนายอนันตชัย ไชยเดช แม้จะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว
นอกจากนั้นยังมีอดีตนายตำรวจใหญ่อย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส, พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร, พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน พรรคก้าวไกลโดยเฉพาะนายรังสิมันต์ โรม ที่คุณสุรเชษฐ์ สนิทสนมใกล้ชิดมาก โดยว่ากันว่าข้อมูล “ตั๋วช้าง” ที่นายรังสิมันต์ โรมเอามาอภิปรายในสภา ทั้งหมดก็เอามาจากสุรเชษฐ์ หักพาล
“นี่ยังไม่นับกับ นี่ยังไม่นับสื่อมวลชนอีกหลายเจ้า มีอดีตผู้สื่อข่าวของช่อง 7 คนหนึ่ง รับเงินเดือน 300,000-500,000 บาทต่อเดือน นักข่าวสายอาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นอดีตนักข่าวช่อง 7 บก. กับนักข่าว PPTV บางคน BrightTV นักข่าวช่อง 9 นักข่าวช่อง 3 กับคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา
“ท่านผู้ชมครับ เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว ผมรู้สึกคิดถึงคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ หมาแก่ มากเป็นพิเศษ ที่จู่ๆ ออกมาประกาศจัดรายการ Inside Thailand เจาะลึกทั่วไทย ทางช่อง 9 เป็นวันสุดท้าย เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2567 เหมือนรู้ว่าชะตากรรมของ สุรเชษฐ์ หักพาล ใกล้ขาดเต็มทน อาจจะลุกลามมาถึงตัวเองด้วย
“คุณดนัย ครับ ถ้าคุณเลิกอาชีพสื่อมวลชน ผมขอแนะนำให้คุณเปิดสำนักหมอดู เพราะคุณแม่นมาก เหมือนกับคุณรู้อะไรมาก่อนล่วงหน้า คุณเลยขอปิดฉากเวทีของคุณเอง บรรดาสื่อมวลชนที่ผมเอ่ยถึง ผมจะเตือนว่า เส้นทางการเงินมันลบอย่างไรก็ลบไม่ออก พวกคุณที่มีนอกมีใน มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเกี่ยวกับคดีนี้คงพอจะรู้ตัวดี แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จะเลิกทำข่าว หนีจากหน้าจอแบบ หมาแก่ คงทำไม่ได้ ผมจะบอกข่าวร้ายพวกคุณนะครับ ผมมีเส้นทางทางการเงินเตรียมไว้หมดแล้ว พวกคุณคอยเตรียมรับหอก คมดาบ และลูกหลงจากคดี สุรเชษฐ์ หักพาล ให้ดีๆ” นายสนธิ กล่าว