มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างจาก “กรมปทุมวัน” ว่า กรณีนี้น่าจะสาวถึง “บิ๊กโจ๊ก” ที่บงการอยู่เบื้องหลังยาก เพราะไม่ได้มีการสั่งลายลักษณ์อักษรเป็นทางการ จึงดูเหมือน “ผู้การนำเกียรติ” ดำเนินการเอง แม้จะมีหนังสือเสนอให้ “บิ๊กโจ๊ก” อนุมัติการร้องทุกข์กล่าวโทษก็ตาม
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ การที่นายตำรวจสังกัด สตม. หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตั้งแต่ชั้นประทวนถึงระดับ พ.ต.อ. เกือบ 100 ชีวิต บุกมาร้องความเป็นธรรม กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
กรณีที่ถูก พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมตำรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.ศฝร.บช.น.) ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ฐานเรียกรับผลประโยชน์ อย่างเป็นธรรม
โดยกลุ่มตำรวจ สตม. ที่อยู่ตามด่านต่างๆ ในแถบภาคอีสาน ระบุในหนังสือร้องเรียนว่า พล.ต.ต.นำเกียรติ ได้ใช้พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ ประกอบการดำเนินคดี
เรื่องนี้ได้เคยร้องเรียน ผบ.ตร.คนเก่ามาแล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ แต่ปรากฎว่า พล.ต.ต.นำเกียรติ กลับยังนำผลการสอบสวนพร้อมคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกลุ่มตำรวจ สตม.ดังกล่าว ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เวฬุวัน จ.ขอนแก่น ภายหลังจากมีการตั้งคณะกรรมการไปแล้ว
ที่มาที่ไปต้องย้อนความกลับไปช่วงปลายปี 2565 ที่มีคำสั่ง ตร.ที่ 544/2565 ลงวันที่ 15 พ.ย.65 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนคดี “จีนเทาตู้ห่าว” โดยมี “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าผู้กำกับดูแล และมี “ผู้การนำเกียรติ” เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน
หลังจากนั้นไม่นาน อัยการสูงสุด (ขณะนั้น) ก็ได้มีคำสั่งลงวันที่ 16 ธ.ค.65 ว่าคดีที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ตร.ที่ 544/2565 ทำการสอบสวนอยู่ในขณะนั้น เป็นคดีที่มีโทษตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร ดังนั้นจึงต้องมี อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาราชการแทน เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และคดีที่เกี่ยวกับ “จีนเทาตู้ห่าว” ก็ได้ถูกโอนไปอยู่ในอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุดแล้ว
เท่ากับว่า “ทีมโจ๊ก” ไม่มีอำนาจในการสอบสวน หากไม่มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย แต่ปรากฎว่า ยังแอบอ้างอำนาจเรียกตำรวจ สตม.มาทำการสอบปากคำที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 อย่างต่อเนื่อง ก่อนนำพยานหลักฐานที่ได้มาหลังมีคำสั่งอัยการสูงสุดไปร้องทุกข์กล่าวโทษกลุ่มนายตำรวจ สตม. เมื่อเดือน ก.พ.66
งานนี้กลุ่มนายตำรวจ สตม.จึงมองว่า “ผู้การนำเกียรติ” มีเจตนากลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม แอบอ้างคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย จูงใจหลอกลวง และข่มขู่ให้กระทำการ หรือให้ถ้อยคำโดยมิชอบ รวมทั้งปกปิดบิดเบือนข้อเท็จจริงทำได้รับความเสียหาย และนำเรื่องมาพึ่ง “ผบ.ต่อ” ผู้นำทัพสีกาสีคนใหม่
โดยเรื่องนี้กลุ่มตำรวจ สตม.ได้มีการร้องเรียนถึงพฤติกรรมของ “ผู้การนำเกียรติ” ยังไม่ได้โยงไปถึง “บิ๊กโจ๊ก” ที่เป็นหัวหน้าผู้กำกับดูแลคดีแต่อย่างใด เนื่องจาก “ผู้การนำเกียรติ” เป็นผู้ลงนามร้องทุกข์กล่าวโทษด้วยตัวเอง
สำหรับ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ที่ถูกร้องเรียนครั้งนี้ รู้กันดีในวงการสีกากีว่า เป็นขุนพลคนสนิทของ “บิ๊กโจ๊ก” โดย “ผู้การนำเกียรติ” เพิ่งตกเป็น 1 ใน 8 นายตำรวจ “ทีมโจ๊ก” ที่ถูกกล่าวหาในคดีพัวพันเว็บพนันออนไลน์
โดยอาจพูดได้ว่า “ผู้การนำเกียรติ” เป็นมือขวาบิ๊กโจ๊ก” ก็ว่าได้ เพราะมักได้รับมอบหมายให้ทำคดีสำคัญหลายคดี เป็นคนนั่งหัวโต๊ะเวลาประชุมคดีต่างๆ ทั้งคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ, คดีตู้ห่าว หรือล่าสุดคดีกำนันนก เกี่ยวกับการฮั้วประมูล ในช่วงที่ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่อยู่
จึงพออนุมานได้ว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่การดำเนินการในคดีตำรวจ สตม.ที่กำลังเป็นเรื่องนี้นั้น “บิ๊กโจ๊ก” จะไม่รู้เห็น และหลายครั้ง “บิ๊กโจ๊ก” ก็นำข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำโดย “ผู้การนำเกียรติ” ไปให้ข่าวต่อสื่อมวลชน
แต่ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างจาก “กรมปทุมวัน” ว่า กรณีนี้น่าจะสาวถึง “บิ๊กโจ๊ก” ที่บงการอยู่เบื้องหลังยาก เพราะไม่ได้มีการสั่งลายลักษณ์อักษรเป็นทางการ จึงดูเหมือน “ผู้การนำเกียรติ” ดำเนินการเอง แม้จะมีหนังสือเสนอให้ “บิ๊กโจ๊ก” อนุมัติการร้องทุกข์กล่าวโทษก็ตาม
คราวซวยจึงตกมาที่ “ผู้การนำเกียรติ” ที่เป็นคนทำเรื่อง ที่ถือว่ากระทำเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84, มาตรา 86 และมาตรา 157 รวมถึงความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาตรา 171 ด้วย
เป็นอีกกรณีที่สะท้อนการทำงานสไตล์ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ “รับชอบ ไม่รับผิด” โดยงานนี้ก็ปล่อย “นำเกียรติ” ขุนพลคู่ใจต้องเสี่ยง “ตายเดี่ยว” จนอาจพูดได้ว่าเป็นพฤติกรรมให้ลูกน้องเผชิญชะตากรรมไปเอง
สำทับกับความเดิมที่มัก “ฟ้องพี่” มีเรื่องมีราวกับนายตำรวจรุ่นพี่ ทั้งยุค “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หรือสดๆร้อนๆ กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.คนล่าสุด
กลายเป็นสไตล์การทำงานของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ดูจะถูกเปิดโปงออกมาเรื่อยๆนับจากนี้.