54% ของพนักงานที่ตอบแบบสำรวจยินดีทบทวนการลาออก หากบริษัทเดิมยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจ 81% ของผู้ว่าจ้างที่ทำการสำรวจคาดว่าจะปรับเงินเดือนในปีนี้ให้เพิ่มขึ้นให้สูงกว่าภาวะเงินเฟ้อ
โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลกเปิดเผยผลสำรวจเงินเดือนประจำปี 2567 ซึ่งให้ภาพรวมของเงินเดือนและแนวโน้มการสรรหาบุคลากรทั่วโลกรวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่สําคัญเกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงานและเงินเดือนของตลาดแรงงานไทย การสํารวจนี้ดําเนินการเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 570 คน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานและบริษัทต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงานที่เปลี่ยนไป ความคาดหวังของเงินเดือน และแนวโน้มการรักษาบุคลากรในปีที่จะมาถึง
ประเด็นสำคัญของผลสํารวจในปีนี้ที่น่าสนใจ คือ สิ่งที่พนักงานให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น เปลี่ยนแปลงไปสู่เรื่องความยืดหยุ่นในการทำงาน ความสมดุลของงานและชีวิตส่วนตัว วัฒนธรรมองค์กรที่ตอบโจทย์กับตนเอง การให้ความสำคัญต่อเรื่องความรับผิดชอบทางสังคม (CSR) และการยอมรับและเคารพต่อความหลากหลาย ในขณะเดียวกัน ฝั่งนายจ้างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาคนเก่ง การสรรหาพนักงาน และกลยุทธ์การยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจเพื่อรั้งพนักงานไม่ให้ลาออก ที่หลายบริษัทเริ่มใช้กันมากขึ้น
กลยุทธ์การดึงดูดและรักษาคนเก่ง
นางปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจําประเทศไทยของบริษัท โรเบิร์ต วอลเตอร์ส กล่าวว่า “บริษัทในประเทศไทยหลายแห่งได้ยกระดับกลยุทธ์การสรรหาพนักงานโดยใช้จุดขายด้านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและแบรนด์นายจ้างที่โดดเด่น (employer branding) โดยเชื่อมโยงเข้ากับกระบวนการสรรหาบุคลากร” เมื่อเทียบกับแนวโน้มที่เห็นมากขึ้นในบริษัทหลายแห่ง คือ การสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มที่เน้นในเรื่องความยั่งยืนและการยกระดับโปรแกรมการฝึกอบรม นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อเรื่องความเท่าเทียม (equity) ความหลากหลาย (diversity) และการยอมรับความแตกต่าง (inclusion) รวมไปถึงความมุ่งมั่นต่อความรับผิดชอบต่อสังคม (ซีเอสอาร์ แนวโน้มที่สำคัญเหล่านี้จะต่อเนื่องไปถึงปี 2567 เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามดึงดูดพนักงานที่มีค่านิยมที่สอดคล้องกับองค์กร รวมถึงการอุทิศตนเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
"พนักงานยุคใหม่ต้องการทํางานในองค์กรที่มีค่านิยมที่ตรงกับตนเอง และสิ่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจว่าพวกเขาจะลาออก อยู่ต่อ หรือย้ายองค์กร" นางนัฐติยา ซอล ผู้อํานวยการฝ่ายขายและการตลาด ทรัพยากรบุคคล ซัปพลายเชนและวิศวกรรม และอีสเทิร์น ซีบอร์ด ของโรเบิร์ต วอลเทอร์ส กล่าวเสริม
ผลการสำรวจระบุว่า ภายใน 12 เดือนข้างหน้า 75% ของพนักงานตั้งใจจะเปลี่ยนงานใหม่ โดย 73% ค่อนข้างเชื่อมั่นในโอกาสทางอาชีพของสายงานตนเอง ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาโยกย้ายงาน ได้แก่ ค่านิยมของบริษัท (44%) ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การจ่ายโบนัส (89%) ประกันสุขภาพเอกชน (74%) การทํางานที่ยืดหยุ่น/การทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ (59%) สิทธิวันหยุด/วันลา (41%) และประกันความคุ้มครองชีวิต/โรคร้ายแรง (30%)
ทั้งนี้ นางปุณยนุชยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าในปี 2567 บริษัทต่างๆ จะเพิ่มความพยายามในการรักษาคนเก่งของตนด้วยการยื่นข้อเสนอสู้ (counteroffers) เมื่อมีโอกาส ดังนั้น เพื่อดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ นายจ้างควรให้ความสำคัญต่อปัจจัยต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อพนักงาน เช่น นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น การสนับสนุนด้านสุขภาพจิต การลงทุนในการเรียนรู้และการพัฒนา และความมุ่งมั่นต่อการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เคารพความแตกต่างหลากหลาย
จากผลสำรวจ เห็นได้ชัดเจนว่าพนักงาน 54% เปิดกว้างที่จะพิจารณาข้อเสนอซื้อตัวกลับของนายจ้างเก่าแม้ว่าจะได้งานใหม่แล้ว โดยให้น้ำหนักกับปัจจัยที่จะทำให้เขาอยู่ต่อ ได้แก่ เงินเดือนที่เพิ่มขึ้น (93%) การเลื่อนตำแหน่ง (57%) ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น (40%) ส่วนแบ่งโบนัส (33%) และการทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ (21%) ในบรรดาผู้ตอบแบบสำรวจ 34% กล่าวว่า พวกเขาจะพิจารณาข้อเสนอซื้อตัวกลับ 28% จะอยู่ต่อน้อยกว่า 6 เดือน 17% อยู่ต่อเป็นเวลาหนึ่งปี ในขณะที่ 14% จะอยู่ต่อเป็นเวลา 3-5 ปี
ผลการสำรวจเพิ่มเติมพบว่า 78% ของพนักงานที่ตอบแบบสำรวจชอบงานที่มีความยืดหยุ่นที่ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ (hybrid working) ซึ่งตอบโจทย์ในเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน (86%) นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี (36%) การส่งเสริมความหลากหลายและการเลือกปฏิบัติ (26%) ความพยายามในการลดโลกร้อน (12%) และแนวปฏิบัติด้านความรับผิดชอบต่อสังคม หรือซีเอสอาร์ (7%)
ในขณะที่นายจ้าง 59% ที่ตอบแบบสำรวจมีความกังวลเกี่ยวกับการรักษาพนักงานไว้ แต่พวกเขาเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้สร้างนโยบายมากมายที่จะช่วยรักษาพนักงานไว้ เช่น การเรียนรู้และการพัฒนาที่ดีขึ้น (71%) การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (58%) ผลประโยชน์ของพนักงานที่ดีขึ้น (57%) นโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่น (51%) และการเลื่อนตำแหน่งนอกเหนือรอบปกติ (44%)
การจัดการกับความท้าทายและการเพิ่มขีดความสามารถพนักงาน จากการสำรวจพบว่า ความท้าทายหลักที่นายจ้างต้องเผชิญในการสรรหาพนักงาน ได้แก่ ความคาดหวังเงินเดือนที่สูง (73%) การขาดทักษะทางเทคนิคที่ต้องการ (52%) ประสบการณ์ในสายงานที่ไม่เพียงพอ (45%) การแข่งขันแย่งชิงคนเก่งที่รุนแรง เช่น การยื่นข้อเสนอสู้และการซื้อตัวกลับ (38%) และการขาดแคลนทักษะด้านการจัดการ (soft skill) ที่จำเป็น (36%)
นางปุณยนุชยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (อีเอสจี - ESG) ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายและการตลาด และตำแหน่งที่เน้นเทคโนโลยีเป็นหลัก
“ภาคการดูแลสุขภาพ การค้าปลีก และยานยนต์ เป็นภาคส่วนที่ต้องการคนเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ และนักวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าซึ่งแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต”
ในปี 2567 ที่กำลังจะถึงนี้ นายจ้างต่างเล็งเห็นปัญหาการขาดแคลนพนักงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี การขาย บัญชีและการเงิน การตลาดและซัปพลายเชน และการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว 92% ของบริษัทจึงโฟกัสที่การพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้กับพนักงานของตนผ่านโปรแกรมการฝึกอบรมภายในและภายนอก และการให้งบสนับสนุนการฝึกอบรมส่วนบุคคล
ในขณะเดียวกัน เกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานที่ตอบแบบสำรวจ (50%) วางแผนที่จะเพิ่มทักษะทางเทคนิคและทักษะด้านสังคม ซึ่งรวมถึงลักษณะอุปนิสัยที่ช่วยให้สามารถทำงานและสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือซอฟต์สกิล (soft skill) ของตนเองในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะมีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมานายจ้างที่ตอบแบบสำรวจได้เริ่มเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของพนักงาน ได้แก่ การทำงานแบบยืดหยุ่น/การทำงานทางไกล (35%) โครงการโบนัสที่จูงใจ (22%) การประกันสุขภาพภาคเอกชน (21%) ค่าเดินทาง (17% ) และสวัสดิการการทำฟัน (16%)
ความคาดหวังของพนักงานและแนวโน้มเงินเดือนในปี 2567 ในปี 2567 พนักงาน 75% คาดว่าจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น โดย 41% คาดว่าเงินเดือนจะขึ้น 6-10% และ 46% คาดว่าจะได้รับโบนัส 6-10% ซึ่งสวนทางกับฝั่งนายจ้างที่มีแนวโน้มขึ้นเงินเดือนเพียง 1-4% ในทุกตำแหน่งงาน ซึ่งมั่นใจว่าจะเกินกว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อ แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโบนัสจะคาดการณ์การจ่ายเฉลี่ยสูงถึง 13% ในทุกระดับงาน
แม้ว่าทั้งนายจ้างและพนักงานที่ตอบแบบสำรวจต่างเห็นพ้องกันว่าพวกเขาเข้าออฟฟิศโดยเฉลี่ย 3 หรือ 5 วัน แต่พนักงานยังคงชอบการทำงานแบบยืดหยุ่นมากกว่า (hybrid working)
แนวโน้มการบริหารพนักงานในปี 2567 มีความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจซึ่งเน้นในเรื่องของการบริหารความแตกต่างหลากหลาย และการลงทุนในการยกระดับทักษะพนักงานภายในเพื่อสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดในอนาคต
อุตสาหกรรมชั้นนำที่คาดว่าจะได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นในปี 2567 ได้แก่ การขายและการตลาด (81%) กฎหมาย (80%) เทคโนโลยีการดูแลสุขภาพ (79%) การบัญชีและการเงิน (79%) วิศวกรรมและการผลิต (79%) และทรัพยากรบุคคล(79%)
อุตสาหกรรมชั้นนำที่พนักงานกำลังมองหาโอกาสเปลี่ยนงานใหม่ในปี 2567 ได้แก่ ซัพพลายเชน การจัดซื้อและโลจิสติกส์ (81%) วิศวกรรมและการผลิต (81%) การขายและการตลาด (78%) กฎหมาย (74%) การบัญชีและการเงิน ( 72%) ทรัพยากรบุคคล (64%)
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ www.robertwalters.co.th/salarysurvey.html