เมืองไทย 360 องศา
หากย้อนกลับไปพิจารณานโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำหรือ “ค่าแรง” ของพรรคเพื่อไทย ที่เคยประกาศเสียงดังมี “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ตอนนั้นยังเป็นแค่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก่อนเลือกตั้งว่า ต้องปรับขึ้นวันละ 600 บาท โดยอ้างในเรื่องความเหลื่อมล้ำ รายได้และค่าครองชีพ
แม้ว่าจะบอกว่า “ภายในปี 70” ก็ตามที แน่นอนว่าย่อมทำให้ถูกใจบรรดาพี่น้องแรงงานที่ขายแรงงานไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือว่า “ต่างด้าว” ก็ตาม เพราะจำนวนเงินมันเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ได้รับอยู่เกือบเท่าตัว
แต่ผลจากการประชุมประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ที่ประกอบด้วยกรรมการไตรภาคีพิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2566 มีผลออกมาแล้วว่า ปรับเพิ่มค่าแรงทั่วประเทศ 2-16 บาท โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 67 เป็นต้นไป
สำหรับผลการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2566 ว่า ที่ประชุมมีมติให้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั้ง 77 จังหวัด ในอัตราเพิ่มขึ้น 2-16 บาท ซึ่งค่าจ้างค่าขั้นต่ำที่เพิ่มมากที่สุดคือ จ.ภูเก็ต คือ 370 เพิ่มขึ้นจาก 354 บาท และต่ำที่สุดคือ 330 บาท ใน 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 328 บาท
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ที่ศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการไตรภาคีมีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาท ว่า ค่าแรงขั้นต่ำของเราไม่ได้ขึ้นมานานมาก และขึ้นมาน้อยมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน
โดยรัฐบาลพยายามทำหลายวิธีที่จะให้ลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร และอีกหลายอย่าง เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ของประชาชน รวมไปถึงการแก้ไขหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ รัฐบาลพยายามทำอยู่ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่เรื่องของการเพิ่มรายได้ก็สำคัญ โดยประชาชนหลายสิบล้านคนต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก บางจังหวัดขึ้นแค่ 7-12 บาทเท่านั้น ซึ่งน้อยเกินไป ทั้งที่รัฐบาลพยายามที่จะยกระดับ ให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทค ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เราจะยอมให้แรงงานประชาชนคนไทยต่ำติดดินแบบนี้หรือ ประเทศที่ใกล้เคียงกับไทยเช่น สิงคโปร์หรือเกาหลี สิงคโปร์ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 1,000 บาท เราจะยอมให้พี่น้องประชาชนของเราเป็นพลเมืองชั้น 2 ชั้น 3 ของโลกหรือ ในเมื่อค่าแรงขั้นต่ำติดดินขนาดนี้ เมื่อรัฐบาลพยายามยกระดับภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการก็ควรที่จะทำไปพร้อมๆ กัน ถ้าทำเพียงฝ่ายเดียวเป็นไปไม่ได้
ถามว่า ในเรื่องค่าแรงจะมีโอกาสทบทวนใหม่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องขอทบทวนใหม่ เดี๋ยวจะต้องไปพิจารณาดูถึงแนวทางความเหมาะสม เพราะเพิ่งทราบข่าวเรื่องนี้ แต่คงไม่ใช่การสั่งการ แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน เราต้องพูดถึงองค์รวมของเศรษฐกิจ และการทำธุรกิจไม่ใช่แค่ขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างอย่างเดียว แต่ยังมีการเพิ่มรายได้เปิดตลาดที่มากขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการหรือนายจ้างก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับคนที่เป็นกำลังสำคัญในภาคผลิตด้วยหรือเปล่า พอพ้นจากวันหยุดก็จะมีการเรียกคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเรื่องนี้ทุกคนมีความกังวลหมด ขอให้คิดถึงใจเขาใจเรา
นั่นเป็นคำพูดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากมีการแถลงปรับค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศใหม่ ซึ่งจังหวัดที่ปรับขึ้นสูงสุดคือ ภูเก็ตที่ขึ้นมา 16 บาท เป็นวันละ 370 บาท
ซึ่งก็น่าคิดว่าคำพูดและท่าทีดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยผู้นี้มีเจตนาอะไรกันแน่ หรือว่ามีเจตนา “กลบเกลื่อน” หรือ “แก้เกี้ยว” ในอีกหนึ่งนโยบายของพรรคที่ทำไม่ได้ หลังจากก่อนหน้านี้ในเรื่องนโยบายแจกเงิน “ดิจิทัลวอลเล็ต” คนละหมื่นบาท ที่ส่อเค้าว่าต้องล้มไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไม่ว่าจะเป็นการ “ผิดกฎหมาย” เป็นการเพิ่มภาระหนี้ จากการ “กู้มาแจก” และสารพัดเสียงคัดค้านท้วงติง
ขณะเดียวกันการปรับขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ก็มีความเห็นของ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง และนักวิชาการอิสระ ที่โพสว่าเป็นการให้บทเรียนอะไรบ้าง
1. บทเรียนของประชาชน ว่า การหาเสียงในประเด็นขึ้นค่าแรง เป็นเท่าโน้นเท่านี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการขึ้นค่าแรงไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่เป็นอำนาจคณะกรรมการไตรภาคี ที่รัฐไปกำหนดไม่ได้
2. บทเรียนพรรคการเมือง ว่า อย่าสร้างนโยบายหาเสียง ที่คุณก็รู้ว่า ไม่ใช่อำนาจของคุณ แม้คุณจะเป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ คุณก็สั่งไม่ได้ ทีหลังอย่าทำนโยบายแบบนี้
3. บทเรียน กกต. ว่า ต้องกล้าสวนพรรคการเมืองซึ่งทำนโยบายที่รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่พรรคเขียนอะไรมา ก็ไม่มีความเห็นในการกำกับดูแล ปล่อยให้เป็นนโยบายที่เข้าข่ายหลอกประชาชน
4. บทเรียนผู้ใช้แรงงาน ว่า อย่าให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับ นโยบายที่รู้อยู่ว่ายากจะเป็นไปได้ โดยหวังว่า เขาจะทำได้
ถือว่าเป็นบทเรียนที่กระตุ้นเตือนทุกฝ่าย โดยเฉพาะประชาชน ผู้ใช้แรงงานที่หลงไหลไปกับการนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองแบบลมๆแล้งๆ อวดอ้างในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อวกกลับมาที่การปรับค่าแรงล่าสุด ที่ปรับขึ้นตั้งแต่ 2-16 บาท สูงสุดอยู่ที่ 370 บาทเท่านั้น ยังห่างไกลค่าแรงวันละ 600 บาท มากนัก แม้ว่า จะพูดกำกวมเอาไว้ว่า “ภายในปี 70” ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาแนวทางแล้ว การรปรับค่าแรงล้วนเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี รัฐบาลไม่อาจไปสั่งการโดยตรงได้
นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกหลายนโยบายที่กำลังถูกมองว่าทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก เช่น นโยบายปรับเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรีเดือนละ 25,000 บาท ที่ถือว่าเป็นงานยาก และจะกระทบกันเป็นวงกว้างทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่จะมีภาระในเรื่องต้นทุนสูงขึ้น และที่สำคัญอาจส่งผลให้เกิดการ “ชะลอ” การจ้างบัณฑิตจบใหม่ ที่เวลานี้มีรายงานว่ามีการ “เตะฝุ่น” มากอยู่แล้ว ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นไปอีก ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา การส่งออกที่เป็นรายได้หลัก ก็ยังไม่โงหัวขึ้นมา
เมื่อพิจารณาจากการขึ้นค่าแรงดังกล่าวมันสะท้อนความเป็นจริง ซึ่งอีกด้านหนึ่งมันสวนทวงกับคำพูดที่คุยโม้โออวดของพรรคการเมืองที่ต้องการเพียงแค่การหาคะแนนเสียงในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นนโยบาย “เงินดิจิทัล” ที่ดูตามรูปการณ์แล้วจะ “ไปไม่ได้” เสียมากกว่า เพราะเวลานี้ยังไปไม่ถึงไหน
ขณะที่ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ได้สูงสุดแค่ 370 บาท ยังห่างไกลวันละ 600 บาท ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้เวลานี้ก็คือ ท่าที “หงุดหงิด” ของ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เท่านั้น
ซึ่งมองว่าเป็นแค่กลบเกลื่อน แต่ก็ยังไม่วายพูดเอาหล่อ แบบเข้าใจแรงงานหาเช้ากินค่ำ แต่ความจริงก็คือทำได้แค่นี้แหละ !!
เมื่อพิจารณาจากการขึ้น “ค่าแรง” ดังกล่าวมันสะท้อนความเป็นจริง ซึ่งอีกด้านหนึ่งมันสวนทวงกับคำพูดที่คุยโม้โออวดของพรรคการเมืองที่ต้องการเพียงแค่การหาคะแนนเสียงในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นนโยบาย “เงินดิจิทัล” ที่ดูตามรูปการณ์แล้วจะ “ไปไม่ได้” เสียมากกว่า
เพราะเวลานี้ยังไปไม่ถึงไหน ขณะที่ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ได้สูงสุดแค่ 370 บาท ยังห่างไกลวันละ 600 บาท ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้เวลานี้ก็คือ ท่าที “หงุดหงิด” ของ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เท่านั้น ซึ่งมองว่าเป็นแค่กลบเกลื่อน แต่ก็ยังไม่วายพูดเอาหล่อ แบบเข้าใจแรงงานหาเช้ากินค่ำ แต่ความจริงก็คือทำได้แค่นี้แหละ