1.ป.ป.ช. ตั้ง คกก.ศึกษาแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น หากสร้างความเสียหาย รบ.ต้องรับผิดชอบ ด้าน "จตุพร" ท้า "เศรษฐา" ถ้าทำ ปท. พัง ต้องให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด!
จากกรณีที่พรรคเพื่อไทยชูนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง นโยบายหนึ่งก็คือ แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้แก่ประชาชนที่อายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องใช้เงินมากถึง 5.6 แสนล้านบาท ส่งผลให้หลายภาคส่วน โดยเฉพาะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์นับร้อยคน และอดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติหลายคนได้ออกแถลงการณ์คัดค้าน เนื่องจากเป็นนโยบายที่ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะการก่อหนี้จำนวนมาก ในที่สุดภาระจะตกอยู่กับประชาชน ที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และราคาสินค้าแพงเพราะเงินเฟ้อสูงขึ้น ฯลฯ
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ให้สำนักงาน ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการพิจารณาศึกษาโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พร้อมให้เชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ด้านเศรษฐศาสตร์และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อศึกษารายละเอียดโครงการดังกล่าวว่า มีข้อน่าห่วงใย หรือความสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตหรือผลกระทบด้านเศรษฐกิจในระยะยาวตามที่มีนักวิชาการและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ท้วงติงมาหรือไม่ เพื่อสรุปความเห็นโครงการดังกล่าว และให้ข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาล แต่ยังไม่ได้ระบุกรอบเวลาชัดเจนว่าจะใช้เวลาศึกษานานเท่าใด
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช.อยู่ระหว่างพิจารณาจะเชิญผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านใดบ้างมาร่วมเป็นคณะกรรมการศึกษาโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ยังไม่มีระบุตัวบุคคลชัดเจนจะเชิญใครมาบ้าง และว่า ตามมาตรา 32 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้อำนาจ ป.ป.ช.ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐและรัฐบาล เพื่อให้วางมาตรการป้องกันการทุจริตหรือข้อน่าห่วงใยที่อาจเกิดขึ้นกับการดำเนินโครงการต่างๆ ที่มีความสุ่มเสี่ยงได้
“เบื้องต้นในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ป.ป.ช.จะรวบรวมประเด็นที่มีข้อถกเถียง และเชิญผู้มีความรู้ ผู้ทรงคุณวุฒิมาศึกษาร่วมกันว่า โครงการมีความสุ่มเสี่ยง หรือข้อควรระวังในการดำเนินการหรือไม่ จากนั้นถ้ามีข้อห่วงใยจะเสนอความเห็นไปยัง ครม.หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ปรับปรุงการปฏิบัติราชการ เหมือนกับโครงการจำนำข้าวที่ ป.ป.ช.เคยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้หาก ป.ป.ช.มีข้อเสนอแนะ หรือข้อท้วงติงแจ้งไปยัง ครม. แล้ว หาก ครม.ไม่ปฏิบัติตามแล้วเกิดความเสียหายขึ้นมา ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะถือว่าเตือนแล้ว แต่ไม่ฟัง เมื่อเกิดปัญหาต้องรับผิดชอบ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้มีประชาชนในนามกลุ่มผู้สนับสนุนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นำโดยนายจุติพงษ์ พุ่มมูล เดินทางไปยื่นหนังสือที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล แสดงเจตนารมณ์สนับสนุนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนรับหนังสือ
ทั้งนี้ นายจุติพงษ์ อ่านแถลงการณ์ว่า ตามที่กลุ่มนักวิชาการและผู้เห็นต่างทางการเมืองออกมาคัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ทางกลุ่มเห็นว่า นโยบายนี้ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมในการสร้างโอกาสและต่อลมหายใจการดำรงชีวิตของประชาชน ตลอดจนสร้างอาชีพ ขอให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการตามที่หาเสียงและแถลงต่อรัฐสภา การคัดค้านของฝ่ายนักวิชาการมีอคติต่อรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เห็นหัวประชาชนคนยากจน จึงพยายามชี้ให้เห็นว่า ขัดต่อนโยบายการเงินการคลัง ประเทศเสียโอกาสและเวลามามากพอแล้วกับความเห็นต่างที่ล้าหลัง ขอให้รัฐบาลดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เห็นต่างที่มีพฤติกรรมยุยงปลุกปั่นให้ไปถอนเงินจากธนาคาร เป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น
ด้านนายสมคิด กล่าวว่า รัฐบาลยินดีนำความเห็นทุกกลุ่มไปศึกษาพูดคุยกัน ยืนยันรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อ แต่จะหาสิ่งที่ลงตัว ... ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาว่าจะคัดกลุ่มคนจนและคนรวยอย่างไร แต่คิดว่าควรมอบให้ทุกคน ถ้าคนรวยไม่ใช้ไม่เป็นไรถือเป็นสิทธิ ถ้าไม่ใช้ต้องคืนภายใน 6 เดือนโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้เฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ว่า หากรัฐบาลยังมุ่งมั่นจะทำดิจิทัลวอลเล็ต ขอเรียกร้องให้นำทรัพย์สินของผู้คิดและผลักดันโครงการนี้มาค้ำประกัน ถ้าเกิดผิดพลาดจะถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด แม้จะมีมูลค่าไม่เท่ากับจำนวนเงินแจก 5.6 แสนล้านบาทก็ตาม
“ถ้าทุจริตคอร์รัปชัน แล้วพาระบบการเงินการคลังของประเทศพัง ต้องถูกยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดินให้หมด โดยเอาทรัพย์สินที่แสดงบัญชีทรัพย์สินมาทำสัญญาประกันไว้เลยว่า ถ้าโครงการนี้มีความผิดพลาด รัฐสามารถยึดเงินส่วนนี้ไปเลย”
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ถ้าแจกเงินดิจิทัลเกิดความเสียหายขึ้น สิ่งนี้เป็นความฉิบหายของชาติ ไม่ใช่มาแก้ตัวโดยเอาเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นเดิมพัน ซึ่งการออกตัวแก้ต่างเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องความรับผิดชอบกับการสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ดังนั้น จึงต้องมีการค้ำประกันการแจกเงินดิจิทัล จึงเป็นการเดิมพันให้หมดหน้าตัก และเทหมดตัวกันไปเลย เพราะเมื่อทำโครงการแล้วเกิดความเสียหายกับประเทศ ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
“ถ้าโครงการดิจิทัลสำเร็จ พรรคเพื่อไทยก็ได้คะแนนเสียงตามที่คิดอ่านทางการเมืองกันไว้ แต่หากเกิดความฉิบหายขึ้น คุณต้องฉิบหายด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ให้ประเทศไทยมาฉิบหายอย่างเดียว”
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า “มีผู้รู้บอกว่า การทำบล็อกเชนบัญชีคนทั้ง 56 ล้านคนนั้น อาจมีราคาการทำถึงหมื่นล้านบาท ซึ่งเราไม่น่าเสียเงินในส่วนนี้เลย อย่าว่าแต่เป็นหมื่นเลย พัน หรือ ร้อยล้านก็ไม่ควรเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อต้องการแจกให้ใช้ใน 6 เดือน แล้วจะบ้ามาเสียเงินหรืออย่างไร ทักษิณ ชินวัตร ด่าไว้ การแจกเงินเป็นวิธีการของคนปัญญาอ่อน ดังนั้น จึงต้องมีคนกล้ารับผิดชอบ”
“เพื่อไทยยังไม่มีการการันตีถ้าโครงการแจกเงินดิจิทัลเกิดความฉิบหายกับประเทศ ดังนั้น คนแจก คนคิด คนผลักดันมุ่งมั่นให้ทำต่อ คุณกล้าไหมเอาทรัพย์สินของพวกคุณมาค้ำประกันความฉิบหายของประเทศ เมื่อเกิดความเสียหายก็ยึดไปเลย เทเดิมพันหมดหน้าตักกันแบบนี้ เมื่ออยากทำก็ทำเลย จะกลัวอะไร กล้าไหม”
ล่าสุด (14 ต.ค.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวถึงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตว่า อยากอธิบายให้ฟังว่า สมมุติวันที่ 1 ก.พ. 67 คนที่อายุ 16 ปีขึ้นไปได้คนละหมื่นบาท บ้านไหนมีสามคนห้าคนเอาไปตั้งตัวได้เลย คิดดูว่ามีประโยชน์มากแค่ไหน และเงินที่ได้ไป ใช้ใน กทม.ไม่ได้ ต้องใช้ในเขตที่ท่านอยู่ จะช่วยพัฒนาชุมชนที่ท่านอยู่ ไม่ใช่พัฒนาเมืองใหญ่อย่างเดียว ซึ่งมีหลายท่านไม่เห็นด้วย แต่ตนก็ไม่เห็นด้วยกับคนที่ไม่เห็นด้วย แต่เรารับฟังความคิดเห็น เพราะเราเป็นรัฐบาลของประชาชน รับฟังแล้วปรับให้ดีให้เป็นนโยบายที่โดนใจทุกคน คิดดู วันที่ 1 ก.พ. มีเงิน 5.6 แสนล้านเข้าไปในระบบ ถ้าเป็นภาคอุตสาหกรรมจะเตรียมสินค้าออกมารองรับหรือไม่ จะมีการจ้างคนเพิ่มหรือไม่ เงินจะอยู่ในกระเป๋าประชาชนมากขึ้นแค่ไหนอย่างไร
“ท่านอย่ายอมให้คนที่ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีเหตุผลมายับยั้งโครงการนี้ ถ้าชอบก็ขอให้พูดบ้าง ให้เปล่งเสียงออกมาบ้าง เรื่องลดค่าไฟค่าน้ำมันต้องพูด อย่างภาคอุตสาหกรรมที่ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน ท่านต้องออกมาพูดว่า ท่านมีความสุข ดีใจที่รัฐบาลนี้ทำให้ เราเองก็เป็นคนเหมือนกัน ต้องการขวัญและกำลังใจเหมือนกัน..."
2.เร่งอพยพแรงงานไทยในอิสราเอลกลับ ปท.หลังสงคราม “อิสราเอล-ฮามาส” ยอดขอกลับทะลุ 7 พันคน สังเวยชีวิตแล้ว 24 บาดเจ็บ-ถูกจับเป็นตัวประกันเพียบ!
จากกรณีที่ “กลุ่มฮามาส” กลุ่มนักรบปาเลสไตน์ ได้เปิดฉากโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่อย่างไม่คาดคิดเมื่อเช้ามืดวันเสาร์ (7 ต.ค.) โดยระดมยิงจรวดนับพันลูกจากดินแดนกาซา และส่งกำลังภาคพื้นดินบุกเข้าสังหารและจับผู้คนในเขตแดนรัฐยิว ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการถล่มโจมตีทางอากาศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งฝ่ายอิสราเอลและปาเลสไตน์ นอกจากนี้ ยังมีแรงงานไทยถูกจับเป็นตัวประกันด้วย
ปรากฏว่า ในส่วนของไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “ผมขอประณามการโจมตีอิสราเอล การโจมตีที่ไร้มนุษยธรรมที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลและประชาชนอิสราเอล เหตุการณ์นี้ไม่สมควรเกิดขึ้น และผมขอร่วมกับประชาคมโลกประณามการกระทำดังกล่าว”
นายเศรษฐา ยังระบุด้วยว่า “ผมได้สั่งการให้กองทัพอากาศเตรียมพร้อมเครื่อง Airbus A340 และ C-130 อพยพคนไทยออกจากอิสราเอลทันที ทาง พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) รับทราบและพร้อมปฏิบัติการ ผมติดตามสถานการณ์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และมีความกังวลใจที่เห็นรายงานเข้ามาว่ามีแรงงานไทยถูกจับไป 2 คนหรือมากกว่านั้น ตอนนี้กำลังยืนยันข้อมูลจากทางการอิสราเอลอยู่ ทางกองทัพและหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเตรียมความพร้อม ผมต้องการให้คนไทยทุกคนได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยครับ”
วันต่อมา (8 ต.ค.) นายกรัฐมนตรี เผยว่า ได้รับทราบรายงานจาก น.ส.พรรณภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟว่า มีคนไทยเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 2 คน จากเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ให้รายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และเป็นศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือคนไทยตลอด 24 ชั่วโมง
9 ต.ค. เพจ “Israel in Thailand” ได้เผยแพร่ข้อความของนางออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ว่า “ขอให้ประชาชนชาวไทยมั่นใจได้ว่า #อิสราเอล จะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้อง #แรงงานไทย ขอให้มั่นใจว่า พวกเขาจะได้รับการดูแล รักษา และปกป้อง เช่นเดียวกับประชาชนชาวอิสราเอลอย่างเท่าเทียมกัน”
10 ต.ค. นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยความคืบหน้าการช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอลว่า ยอดล่าสุดคนไทยในอิสราเอลที่แจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศ 3,000 กว่าคนแล้ว จากจำนวนแรงงานไทยในอิสราเอลทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 30,000 คน แต่อยู่ในจุดที่มีความเสี่ยงประมาณ 5,000 คน ซึ่งเราได้มีการทยอยอพยพออกมาจากพื้นที่เสี่ยงภัยเรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยัน จะใช้ทุกวิถีทางในการนำคนไทยกลับ ทั้งการเช่าเหมาลำ การใช้เครื่องบินพาณิชย์ของเราเองที่จะนำคนคนไทยกลับเข้ามาให้เร็วที่สุด
วันเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของคนไทยในต่างแดนสำคัญที่สุด และว่า เราเป็นประเทศที่สูญเสียมาก ณ เวลานี้มีผู้เสียชีวิตในอิสราเอลจำนวน 18 คน จึงถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวลใจว่าจะหยุดแค่นี้หรือไม่ ต้องคอยติดตามสถานการณ์ พร้อมย้ำว่า ได้กำชับทางการทูตและการช่วยเหลือในทุกช่องทางและทุกวิถีทางแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องของตัวประกัน ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต หรือแรงงานไทย ส่วนการดูแลหลังจากนี้จะต้องดูแลให้ดีตามกฎหมาย ให้ยึดระเบียบที่วางไว้
12 ต.ค. นายกรัฐมนตรี แถลงว่า มีพี่น้องชาวไทยอยู่ในเขตอันตรายแสดงเจตจำนงต้องการกลับประเทศแล้วประมาณ 6,000 คน และว่า วันนี้เป็นนิมิตหมายอันดีที่คนไทยในอิสราเอลจะได้กลับเข้ามาล็อตแรก 15 คน แต่ยังมีอีกเยอะมาก ซึ่งเราต้องลำเลียงกลับเข้ามา พร้อมวอนสายการบินเอกชนของไทยช่วยสมทบอพยพคนไทยออกจากอิสราเอล เพื่อให้การช่วยเหลือทันท่วงที
13 ต.ค. นายเศรษฐา ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า “ผมได้รับรายงานว่า วันนี้ ทีมกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับการบินไทย นกแอร์ และแอร์เอเชีย เพื่อวางแผนจัดเที่ยวบินอพยพคนไทยกลับจากอิสราเอลโดยด่วน “ตั้งแต่นี้ไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ จะมีเที่ยวบินไปรับพี่น้องคนไทยที่ต้องการกลับบ้าน กลับมาประเทศไทยทุกวัน จนจบภารกิจครับ ผมขอขอบคุณทั้งสามสายการบินเป็นอย่างยิ่งที่สนับสนุนเครื่องบินเพื่อช่วยเหลือคนไทยในภารกิจสำคัญนี้ด้วยครับ”
วันเดียวกัน นางกาญจนา ภัทรโชติ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า หลังการประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินเพื่อติดตามสถานการณ์ในอิสราเอล นายกรัฐมนตรีได้เชิญเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย หารือ และขอให้ฝ่ายอิสราเอลช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดส่งคนไทยกลับประเทศโดยเร็วที่สุด ซึ่งทูตอิสราเอล แจ้งว่า อิสราเอลได้อพยพคนต่างชาติออกจากบริเวณพื้นที่ใกล้ฉนวนกาซาไปยังพื้นที่ปลอดภัยแล้วกว่าร้อยละ 99 นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยดูแลความปลอดภัยและการลำเลียงมายังสนามบิน ซึ่งทูตอิสราเอลได้รับปาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับทูตอิสราเอลเกี่ยวกับเรื่องการส่งต่อแรงงานไปยังนิคมเกษตรพื้นที่อื่น ขอให้มีการพักสภาวะจิตใจจากภาวะตึงเครียด และไม่ให้มีการบังคับใช้แรงงาน
ทั้งนี้ รายงานของกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า ล่าสุด มีคนไทยในอิสราเอลลงทะเบียนขอกลับไทยแล้ว 6,778 คน ไม่ขอกลับ 85 คน
14 ต.ค. นายกรัฐมนตรีเผยความคืบหน้าสถานการณ์คนไทยในอิสราเอลว่า เป็นที่น่าเสียใจที่ขณะนี้สถานทูตไทยประจำอิสราเอลรายงานว่า มีคนไทยเสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย รวมเป็น 24 ราย ถูกจับเป็นตัวประกันยังเท่าเดิม 16 ราย บาดเจ็บ 16 ราย มีการประสานงานต่อเนื่องที่จะเร่งเอาคนไทยกลับบ้านโดยเร็วที่สุด ซึ่งล่าสุด มีผู้แสดงเจตจำนงขอกลับประเทศ 7,000 คนแล้ว
ส่วนที่มีนักวิชาการด้านความมั่นคงระหว่างประเทศกังวลเรื่องการวางตัวของไทยกับอิสราเอลอาจกระทบกับปาเลสไตน์ได้ มีการปรึกษาฝ่ายความมั่นคงอย่างไรเรื่องการวางตัวเป็นกลาง นายเศรษฐา ยืนยันว่า เราวางตัวเป็นกลาง เราไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งของใครทั้งสิ้น แต่หน้าที่ของตนคือการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะทางเพื่อนของชาวปาเลสไตน์ ผู้นำต่างๆ และสถานทูตอิสราเอล เพื่อปกป้องคนไทยให้ปลอดภัยจากวิกฤตสงครามครั้งนี้ ยืนยันเราไม่ได้มีการช่วยเหลือใครทั้งสิ้นและไม่ได้แสดงจุดยืนว่าเข้าข้างใคร แต่เราเข้าข้างคนไทยที่ประสบปัญหาอยู่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่รัฐบาลไทยเป็นห่วงอยู่ก็คือ คนอีกประมาณกว่า 6,000 คนที่อยากจะออกมาและพี่น้องอีกเป็นหมื่นคนที่มีความกังวล เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญสูงสุด เรายินดีทำงานกับทุกฝ่ายเพื่อให้คนไทยปลอดภัย
3. "อิทธิพล คุณปลื้ม" เลิกหนีคดีเซ็นสร้างคอนโดฯ หรูกลางเมืองพัทยา เดินทางจากกัมพูชากลับไทย ถูกรวบตัวทันที พร้อมปฏิเสธข้อหา ก่อนศาลให้ประกัน!
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้ควบคุมตัวนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายกเมืองพัทยา ตามหมายจับในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารบริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยเที่ยวบิน KR701 จากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังทำบันทึกการควบคุมตัว ได้นำตัวนายอิทธิพลส่งสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 จ.ระยอง
ต่อมา นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ได้รับตัวนายอิทธิพล ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 แล้ว และได้ยื่นฟ้องนายอิทธิพลต่อศาล ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
ในเวลาต่อมา ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์และอ่านอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟัง โดยจำเลยให้การปฏิเสธและแถลงต้องการหาทนายความ แต่วันดังกล่าว จำเลยยังไม่สามารถแต่งตั้งทนายความได้ ศาลจึงให้จำเลยไปจัดหาทนายความ และนัดสอบคำให้การใหม่ในวันที่ 31 ต.ค. เวลา 13.30 น.
ทั้งนี้ ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างพิจารณา โดยตีราคาประกันเป็นเงินสด 120,000 บาท
อนึ่ง คดีนี้สืบเนื่องจากที่นายอิทธิพล คุณปลื้ม กับพวก ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2566 ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ลงวันที่ 10 ก.ย.2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ฯ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนส่งสำนวนคดีให้อัยการสูงสุดเพื่อฟ้องต่อศาล แต่นายอิทธิพลไม่ไปรายงานตัวต่ออัยการเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ศาลจึงออกหมายจับนายอิทธิพลเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ซึ่งขณะนั้นอายุความของคดีใกล้จะหมดลง เนื่องจากจะครบ 15 ปีในวันที่ 10 ก.ย.2566 แต่นายอิทธิพลได้หลบหนีจากไทยไปยังกัมพูชาก่อนที่อัยการจะส่งฟ้องต่อศาล
อย่างไรก็ตาม ภายหลัง อัยการได้แนะนำให้ ป.ป.ช.ขอศาลเพื่ออนุมัติหมายจับใหม่ เพื่อให้คดีหยุดนับอายุความช่วงที่หลบหนี เมื่อศาลอนุมัติหมายจับใหม่ เท่ากับคดีไม่มีอายุความ ถ้านายอิทธิพลหนี ต้องหนีตลอดชีวิต ซึ่งสุดท้าย เมื่อวันที่ 22 ก.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เผยว่า ตนทราบมาว่า นายอิทธิพลมีการประสานติดต่อเพื่อจะขอมอบตัว แต่ไม่ทราบว่าจะมามอบตัวกับหน่วยไหน อาจจะเป็นศาลหรือไม่ เพราะเป็นผู้ออกหมายจับ กระทั่งในที่สุด นายอิทธิพลได้เดินทางจากกัมพูชากลับมาไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 9 ต.ค. และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัว
4. สลด! "เสี่ยห้องเย็นหล่มสัก" ฟิวส์ขาดกระหน่ำยิง หน.ด่านกักสัตว์ดับ-จนท.เจ็บ หลังไม่พอใจถูกบุกตรวจห้องเย็น ด้าน "ธรรมนัส" กร้าว สั่งล้างบางห้องเย็นเถื่อนทั่วประเทศ!
เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ตำรวจ สภ.บ้านกลาง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ได้รับแจ้งเหตุคนถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ที่บ้านเลขที่ 9/9 หมู่ 1 ต.ช้างตะลูด อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้น จึงรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นโกดังขนาดใหญ่กำลังปรับปรุงให้เป็นทั้งบ้านพักและห้องเย็น รวมทั้งเตรียมที่จะสร้างเป็นโรงฆ่าสัตว์ด้วย พบผู้เสียชีวิต ทราบชื่อต่อมาคือ นายศราวุธ ประจวง หัวหน้าด่านกักสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ ถูกอาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงเข้าที่แขน ลำตัว และขากรรไกรด้านซ้าย รวม 5 นัด เสียชีวิตคาที่ นอกจากนั้นยังพบผู้บาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อต่อมาคือ นายพงษ์พันธา ศรีสุวรรณ์ เจ้าหน้าที่ด่านกักสัตว์ฯ อายุ 50 ปี ถูกยิงเข้าที่บริเวณเอวด้านซ้าย จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลหล่มสัก
ส่วนผู้ก่อเหตุ ทราบต่อมาคือ นายอนุสรณ์ ดอนสวรรค์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “เสี่ยนุ” อายุ 57 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและห้องเย็นหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อหาฆ่าคนตาย และควบคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ สภ.บ้านกลาง พร้อมของกลางอาวุธปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. และปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ
จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน นายศราวุธ และนายพงษ์พันธา ได้เข้าตรวจสอบห้องเย็นของนายอนุสรณ์ หลังได้รับการร้องเรียนว่า มีพฤติกรรมเอาเนื้อสุกรจากนอกพื้นที่มาจำหน่าย โดยเจ้าหน้าที่จะขอนำเอาชิ้นเนื้อในห้องเย็นไปตรวจสอบ แต่นายอนุสรณ์ไม่ยินยอม นายศราวุธและเจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางกลับ
ต่อมา ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นายศราวุธ-เจ้าหน้าที่ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ได้มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ระหว่างนั้น นายอนุสรณ์ได้อาศัยจังหวะที่นายศราวุธและเจ้าหน้าที่เผลอ ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิงใส่นายศราวุธจนล้มฟุบลง กระสุนปืนได้แฉลบไปโดนนายพงษ์พันธา เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ขณะที่เพจของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้โพสต์ภาพและข้อความไว้อาลัยว่า “กรมปศุสัตว์ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวนายสราวุฒิ ประจวง หัวหน้าด่านกักกันสัตว์เพชรบูรณ์ กรมปศุสัตว์ ที่ถูกยิงเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบห้องเย็นหรือสถานที่เก็บเนื้อสัตว์และซากสัตว์ ในวันที่ 11 ตุลาคม 2566” ลงชื่อ นายสัตวแพทย์ สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ และครอบครัวปศุสัตว์
วันต่อมา (12 ต.ค.) นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวถึงคดีดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้ และนำตัวไปฝากขังแล้ว จากการสอบถาม ผบก.ภ.เพชรบูรณ์ทราบว่า ไม่มีการให้ประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ เป็นการสังหารเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีอัตราโทษสูง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคงมีแนวทางในการปฏิบัติที่เข้มข้นและไม่ให้ประกันตัวในชั้นศาล ขณะที่ทางจังหวัดฯ ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบแล้วเช่นกัน และต้องตรวจสอบว่า ผู้ต้องหารายนี้มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ แต่เบื้องต้นทราบว่า เป็นคนที่อื่นแต่มามีครอบครัวอยู่ที่หล่มสัก
ส่วนเรื่องการตรวจสอบห้องเย็นเป็นเรื่องของทางปศุสัตว์ที่ดำเนินการตามปกติอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ทราบเบื้องต้นมาว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนว่า มีการลักลอบนำเนื้อหมูจากที่อื่นข้ามเขตมาขาย เป็นการทำผิดกฎหมายผิดระเบียบของปศุสัตว์
สำหรับศพของนายศราวุธ ประจวง หัวหน้าด่านกักสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดลําสนธิ ต.ลำสนธิ อ.ลําสนธิ จ.ลพบุรี โดยมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพเมื่อวันที่ 13 ต.ค.
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงเหตุเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ถูกกระหน่ำยิงเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ขณะนำกำลังเข้าตรวจสอบห้องเย็นต้องสงสัยลักลอบจำหน่ายเนื้อสัตว์เถื่อนแห่งหนึ่งที่ จ.เพชรบูรณ์ว่า ถือเป็นเหตุการณ์รุนแรง อุกอาจที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่ขณะปฎิบัติหน้าที่โดยไม่มีทางสู้ ซึ่งตนเองจะไม่ยอมให้ผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ และต้องให้ผู้กระทำผิดถูกลงโทษตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด
โดยขั้นตอนจากนี้ ตนได้ประสานไปยังท่านสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม และ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ขอให้สนธิกำลังทหารและสั่งการผู้การจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งกำลังชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษลงพื้นที่ พร้อมกับหน่วยงานของกรมปศุสัตว์ เพื่อติดตามตรวจสอบห้องเย็นทั่วประเทศที่ฝ่าฝืน กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายทันที
“ผมขอแสดงความเสียใจต่อเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ผู้เสียชีวิต เบื้องต้นทราบว่าเป็นถึงหัวหน้าด่านตรวจ ซึ่งได้กำชับให้อธิบดีกรมปศุสัตว์ดูแลเยียวยาครอบครัวและบุตรอย่างเต็มที่ โดยเบื้องต้นมอบเงินช่วยเหลือ 100,000 บาท ส่วนผู้ที่บาดเจ็บก็ต้องรักษาและเยียวยาขวัญกำลังใจเช่นกัน เนื่องจากถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เรื่องนี้ไม่ทำให้ผมหวั่นไหวหรือล้มเลิกที่จะล้างบางผู้กระทำผิดกฎหมายแน่นอน จากนี้ต้องตรวจเอกซเรย์ทั่วประเทศเข้มข้นมากขึ้น ไม่มีละเว้นว่าใครเป็นนายทุน หรืออยู่เบื้องหลังห้องเย็นเถื่อนแม้แต่รายเดียว”
ต่อมา นายสัตวแพทย์ บุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปที่ปศุสัตว์จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทุกคน จากนั้นได้นำกำลังเจ้าหน้าที่กระจายออกตรวจสอบห้องเย็นเก็บเนื้อหมูในพื้นที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ก่อนเผยว่า จากการตรวจสอบห้องเย็นดังกล่าวได้ขออนุญาตถูกต้อง แต่มีการนำเนื้อหมูมาจาก จ.นครปฐม เข้ามาในเพชรบูรณ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งต้องสอบสวนว่า มีการเคลื่อนย้ายหมูมาจากนครปฐมอย่างไร มีการขออนุญาตหรือไม่ หรือแหล่งที่มาอย่างไร ถ้าเราสืบค้นได้ว่า มาจากห้องเย็นใดที่ใน จ.นครปฐม เราก็จะขยายผลเข้าไปตรวจสอบทันที
ด้าน พล.ต.ต.ฐเดช กล่อมเกลี้ยง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ เผยว่า น่าจะเป็นความเครียด และหงุดหงิด คืออาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่นำเนื้อหมูหรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการตรวจจากปศุสัตว์และมีความผิด ซึ่งเขาก็ยินยอมให้เสียค่าปรับแล้ว 25,000 บาท รับสารภาพตรงนั้น แต่ผู้ก่อเหตุอาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องตรวจยึดเนื้อหมูไว้อีก ก็เลยทำให้หงุดหงิด และโต้เถียงกัน “น่าจะเป็นการบันดาลโทสะ ซึ่งผู้ก่อเหตุได้เดินกลับเข้าไปในบ้าน ซึ่งทางหัวหน้าด่านกักสัตว์ก็ไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุอะไร จากนั้นผู้ก่อเหตุก็กลับมาขอเจรจราต่อรองกันอีก พอไม่สำเร็จ ก็ใช้อาวุธปืนยิงหัวหน้าเสียชีวิตดังกล่าว”
5. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก "ผู้กองบอย" 20 ปี คดีฆ่า "น้องนิ่ม" ภรรยา พร้อมสั่งออกหมายจับ หลังเจ้าตัวยังหลบหนี!
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครั้งที่ 2 คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.อ.ทรงกลด บุญส่ง หรือผู้กองบอย อายุ 32 ปี อดีตรอง สว.สส.สน.วังทองหลาง เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ กรณียิงภรรยาเสียชีวิต
คดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 20 มิ.ย.63 จำเลยได้มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .45 ของจำเลย จ่อกดที่ศีรษะ น.ส.พิมชฎาพร ภูแย้มใสย์ หรือน้องนิ่ม อายุ 30 ปี ภรรยาซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เพื่อข่มขู่ โดยจำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า หากกระสุนปืนลั่นออกมา จะทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ เป็นเหตุให้มือของผู้ตายไปถูกอาวุธปืนดังกล่าว และทำให้อาวุธปืนลั่นออกมา 1 นัด กระสุนปืนถูกที่ศีรษะของ น.ส.พิมชฎาพร จนถึงแก่ความตาย
เหตุเกิดภายในทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น หมู่บ้านเสนาวิลล่า ถนนแฮปปี้แลนด์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร จึงขอให้ลงโทษจำเลยความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 65 ว่า จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 20 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหาย 720,000 บาท พร้อมริบอาวุธปืนของกลาง นอกจากนี้ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท เพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง
ต่อมา วันที่ 7 ก.ย. 66 ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อถึงกำหนด นายประกันจำเลย แจ้งต่อศาลว่า ไม่สามารถติดต่อจำเลยได้
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้รับหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง หรือร้องขอเลื่อนคดี พฤติการณ์เชื่อว่าจำเลยหลบหนี จึงให้ออกหมายจับจำเลยเพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนนายประกันทราบนัดโดยชอบแล้วไม่ส่งตัวจำเลยตามกำหนด ถือว่าผิดสัญญาประกัน ให้ปรับนายประกันเต็มตามสัญญา 1 ล้านบาท และนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 10 ต.ค.
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนด ร.ต.อ. ทรงกลด ยังคงไม่มาศาลตามนัด ศาลจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลับหลังจำเลยตามกฎหมาย
โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 20 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 720,000 บาทแก่มารดาผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดี พร้อมให้ออกหมายจับจำเลยเพื่อมารับโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์