แอตต้าจับมือ บพข. กองทุน ววน.ร่วมงานเจรจาแลกเปลี่ยนธุรกิจกับผู้ประกอบการอินเดีย “ATTA Amazing Thailand Roadshow Mumbai 2023” ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย คาดการณ์เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวราว 3 แสนคนในปี 2567
สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) จัดงาน “ATTA Amazing Thailand Roadshow Mumbai 2023” การเจรจาแลกเปลี่ยนธุรกิจ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย นำโดย นายดนย์วิศว์ พูลสวัสดิ์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) พร้อมด้วย ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะผู้บริหาร บพข. รวมทั้งผู้ประกอบการประเทศอินเดียและประเทศไทยเข้าร่วมอย่างคึกคัก
สำหรับการเจรจาแลกเปลี่ยนธุรกิจ ณ นครมุมไบในครั้งนี้มีผู้ประกอบการจากประเทศไทยเข้าร่วมการเสนอขายจำนวน 22 ธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม และ MICE และมีผู้ประกอบการจากประเทศอินเดีย เข้าร่วมจำนวน 150 ธุรกิจ เป็นผู้ประกอบการด้านบริษัทนำเที่ยวและ MICE รวมประมาณกว่า 300 คน โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการสร้างรายได้ และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมาก ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากกว่า 300,000 คน ภายในปี 2567 และจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 9,000 ล้านบาท โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในกลุ่มคู่รัก ที่นิยมเดินทางมาแต่งงานในประเทศไทย และพาครอบครัว ญาติ เพื่อนเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยทำงานที่นิยมมาเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุด
ด้าน นายดนย์วิศว์ พูลสวัสดิ์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ กล่าวว่า ประเทศอินเดียมีศักยภาพด้านกองถ่าย หากประเทศไทยสามารถบริหารจัดการได้จะสามารถสร้างรายได้จำนวนมหาศาลเข้าสู่ประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในช่วงเดือนหน้าจะมีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่มุมไบ และประเทศไทยอีกด้วย
ขณะที่ ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช กล่าวว่า บพข.ได้มีการออกแบบงานวิจัยให้ตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวบนฐานความยั่งยืน ดังนั้น จึงเน้นการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ซึ่งในปี 2566 ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับ ATTA โดยใช้กระบวนการวิจัยพัฒนาตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มใหม่ เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง อินเดีย และอังกฤษ ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นต้นแบบของการทำงานเชิงปฏิบัติการระหว่างภาคเอกชน/นักวิชาชีพ กับภาควิชาการ/นักวิจัย-นักวิชาการ จากการขับเคลื่อนการวิจัยนี้ พบว่ากลไกการตลาดเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากงานวิจัยได้ ถ้ามีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกการทำงานของ บพข.ที่หนุนเสริมการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในฐานะผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง ซึ่งบพข.ทำงานร่วมกับ ATTA เน้นการวิจัยที่ใช้ Data Driven ให้ผลงานวิจัยมีคุณภาพและมีความแม่นยำ เพื่อคาดการณ์ตลาดและออกแบบธุรกิจ โดย ATTA ได้จัดงานเจรจาแลกเปลี่ยนธุรกิจที่จังหวัดภูเก็ตไปแล้วเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2566 มีผู้ประกอบการและสมาชิก ATTA จำนวน 21 ราย ที่ทำตลาดในกลุ่มประเทศความร่วมมือแห่งอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council) โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย และดูไบ เข้าร่วมดำเนินการดังกล่าว
“ขณะนี้ทีมบริหารและทีมวิจัยของ สกสว. บพข. และภาคเอกชน อาทิ ATTA กำลังระดมความคิดเพื่อพัฒนาข้อมูลการคาดการณ์กลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางท่องเที่ยว รวมทั้งการพำนักระยะยาว ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาไปสู่การจัดทำดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำการตลาดที่แม่นยำยิ่งขึ้น ภาคเอกชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจทั้งระยะสั้น ปานกลาง และการลงทุนในระยะยาว ส่วนหน่วยงานภาครัฐจะได้รับประโยชน์ในการกำหนดทิศทางและนโยบายแบบองค์รวมต่อไป” ผศ.สุภาวดีกล่าวเสริม
ด้าน ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวถึงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ระบุว่า ขณะนี้ตลาดยุโรปเชื่อว่าเทรนด์ของโลกจะหมุนไปตามนั้น จึงนำแนวคิดของหลักวิธีการทำตลาดของยุโรปเข้ามาใช้ สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำในอนาคตคือการวางแผนการท่องเที่ยวไทยให้สามารถอยู่ได้ นักท่องเที่ยวกระจายตัว สร้างรายได้สูงสุด และลดความเหลื่อมล้ำ โดยการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ กองทุน ววน. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมกันทำงาน
เพื่อให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จได้ง่าย และในอนาคตคิดว่าการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของประเทศไทยจะไม่ได้เป็นเพียงแค่วาทกรรมอีกต่อไป
ด้าน ผศ.ดร.ชวัลลักษณ์ คุณาธิกรกิจ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า งานวิจัยในครั้งนี้มี 3 กลุ่มตลาด ได้แก่ ตลาดตะวันออกกลาง ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สำหรับตลาดเอเชียใช้อินเดีย ซึ่งในช่วงของโควิดช่วงที่จีนยังไม่เปิดประเทศ อินเดียเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยอะมาก อย่างเช่นในปี 2566 จนถึงเดือนกันยายน มีนักท่องเที่ยวอินเดียเข้ามาแล้วกว่าล้านคน เพราะจะเป็นกลุ่มเป้าหมายอันหนึ่งและกลุ่มซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเพิ่งกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งหนึ่งหลังจากผ่านไป 30 กว่าปี ก็เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการซื้อ และอีกกลุ่มหนึ่งคือ ยุโรป ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่อยู่มานาน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวอังกฤษที่น่าจะเป็นตัวแทนของตลาดยุโรปได้ รวมทั้งได้มีการจัดกิจกรรม FAM Trip ด้วยกันพาตัวแทนที่เป็นสมาชิกใน ATTA และสมาชิกในสมาคมเครือข่ายลงพื้นที่จริง เพื่อประเมินผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอก่อนสร้างเป็น Package ขายจริง
โดยกิจกรรมสำคัญนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตการวิจัยในโครงการ “การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มความสามารถด้านการตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว” สนับสนุนโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้แผนงานด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.)