xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-9 ก.ย.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."กำนันนก" อ้าง ไม่ได้สั่งยิง "สารวัตรศิว" หลังวิ่งเต้นโยกย้ายให้หลานไม่สำเร็จ ด้าน "บิ๊กโจ๊ก" ยันมีหลักฐานสั่งยิง เตรียมออกหมายจับ ตร.ที่ช่วยทำลายหลักฐาน-พาคนร้ายหนี!

เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 6 ก.ย. พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย เหตุเกิดที่ลานกว้าง ในบริเวณบ้านนายประวีณ จันทร์คล้าย อายุ 35 ปี หรือ "กำนันนก" กำนันตำบลตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่า ผู้เสียชีวิต คือ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. ถูกยิงทั่วร่างกายหลายนัด บาดเจ็บสาหัส ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่อีกราย คือ พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. ถูกยิงบาดเจ็บบริเวณแขนซ้าย

มีรายงานว่า กำนันนกเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ สนิทสนมใกล้ชิดกับอดีตนักการเมืองใหญ่ระดับประเทศ รู้จักตำรวจใหญ่ นักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่มากมาย จึงมักนัดพบดื่มสังสรรค์กันที่บ้านพักกันประจำ ประกอบกับมีแผนการจะฝากฝังหลานชายที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ต.ต.ศิวกร ให้ได้ย้ายตำแหน่งหน้าที่ จึงวางแผนนัดหมายให้ พ.ต.ต.ศิวกร มาร่วมสังสรรค์ที่บ้านพักในวันดังกล่าวด้วย เพื่อจะโชว์บารมีว่าตนเองรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน คล้ายกับบีบให้ พ.ต.ต.ศิวกร ยอมทำตาม

ซึ่งงานดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 20.00 น. มีตำรวจมาร่วมงานหลายนาย หลังจากการดื่มกินผ่านไป 1 ชม. กำนันนกก็ได้เริ่มเปิดฉากพูดคุยกับ พ.ต.ต.ศิวกร เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการให้ช่วยสับเปลี่ยนตำแหน่ง จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา ผบ.หมู่ ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. หลานชาย จากสายตรวจรถวิทยุ มาเป็นสายตรวจจักรยานยนต์ แต่ทาง พ.ต.ต.ศิวกร ได้ตอบปฏิเสธไป โดยบอกว่า ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ที่ประจำหน้าที่นั้นเกษียณก่อน ทำให้กำนันนกไม่พอใจและรู้สึกเสียหน้า ก่อนที่นายประวีณจะพูดขึ้นมาในลักษณะไม่พอใจว่า “ขอมันคนเดียว มันเป็นหลานผม” แต่ทาง พ.ต.ต.ศิวกร ก็ยังแสดงทีท่าปฏิเสธอยู่ ยิ่งทำให้กำนันนกไม่พอใจหนักขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน และตบโต๊ะ พร้อมย้ายไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งที่ลูกน้องของตัวเองนั่งอยู่

ระหว่างนั้น พ.ต.ต.ศิวกร และ จ.ส.ต.พิสิฐ เห็นท่าไม่ดี จึงลุกไปขอโทษกำนันนก แต่กำนันนกทำท่าทีไม่สนใจ พร้อมพูดไล่ให้ พ.ต.ต.ศิวกร กลับไป พ.ต.ต.ศิวกร จึงกลับมานั่งที่โต๊ะเดิม ส่วน จ.ส.ต.พิสิฐ นั่งคุยกับกำนันนกอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ แล้วไหว้อำลา จากนั้นจึงเดินออกจากโต๊ะไปที่ลานจอดรถเพื่อกลับบ้าน

ให้หลังไม่นานประมาณ 5 นาที นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ “หน่อง ท่าผา” มือปืนลูกน้องคนสนิทของกำนันนก ได้ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปยืนทางด้านข้างของ พ.ต.ต.ศิวกร ห่างประมาณ 1 เมตร ก่อนชักอาวุธปืนออกมากระหน่ำยิงใส่ พ.ต.ต.ศิวกร จำนวนหลายนัด จน พ.ต.ต.ศิวกร ล้มฟุบไป ขณะเดียวกันกระสุนยังถูก พ.ต.ท.วศิน ที่นั่งอยู่ติดกับ พ.ต.ต.ศิวกร ได้รับบาดเจ็บไปด้วยอีกราย หลังเกิดเหตุกลุ่มเพื่อนตำรวจจึงเร่งช่วยกันพาตัว พ.ต.ต.ศิวกร และ พ.ต.ท.วศิน นำส่งโรงพยาบาลนครปฐม ก่อนที่ พ.ต.ต.ศิวกร จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนนายธนัญชัย อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีไป
 
สำหรับประวัติของ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. ซึ่งถูกลูกน้องคนสนิทกำนันนกกระหน่ำยิงเสียชีวิต เคยทำคดีสำคัญมาแล้วหลายคดีสมัยอยู่กองปราบปราม เช่น คดีแก๊งตกพระ ตุ๋นเหยื่อสูญเงินกว่า 3 แสนบาท, จับกุมแก๊ง “เสี่ยโป้” อภิรักษ์ ชัชอานนท์ ชักชวนเล่นพนันออนไลน์, หนึ่งในทีมจับกุม แยม ธมลพรรณ์ อดีตนางเอก พร้อมสามี ข้อหาร่วมเปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์-เว็บโป๊ ยึดทรัพย์ได้กว่า 700 ล้าน รวมถึงคดีสำคัญอีกหลายคดี อีกทั้งหลังจากที่ได้ย้ายไปทำงานในสังกัดกองบังคับการตำรวจทางหลวง ก็มีผลงานการสกัดจับแก๊งขนยาเสพติดซุกรถกระบะได้ที่ช่วงถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ต.ห้วยโรง อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ตรวจยึดของกลางเป็นยาบ้ากว่า 200,000 เม็ด ส่วนอุปนิสัยนั้น เป็นคนจิตใจดี เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนฝูง ตั้งใจทำงาน เป็นคนยอมหักแต่ไม่ยอมงอในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ในงานเลี้ยงรับประทานอาหารบ้านกำนันนก มีตำรวจมาร่วมงานกว่า 20 นาย เหตุใดเมื่อเกิดเหตุการณ์ตำรวจถูกยิง จึงไม่มีการจับกุมผู้ก่อเหตุ นอกจากนี้ยังปล่อยให้มีการทำลายหลักฐาน เช่น ล้างคราบเลือด, ลบกล้องวงจรปิด รวมทั้งปล่อยให้มือปืนหลบหนี

วันรุ่งขึ้น (7 ก.ย.) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบเหตุดังกล่าวแล้ว พร้อมสั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมชุดหนุมาน และ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เร่งรัดออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งตำรวจรู้ตัวแล้ว พร้อมไล่ล่าติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว หากขัดขืนพร้อมจะใช้มาตรการเด็ดขาดดำเนินการ

ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เผยว่า ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนทั้งในส่วนของตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจภูธรภาค 7 ลงพื้นที่ไล่ล่าคนร้ายตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา “ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่อุกอาจมากๆ ขนาดตำรวจยังกล้าลงมือทำขนาดนี้ แล้วประชาชนจะได้รับความปลอดภัยได้อย่างไร ผมกำชับให้เร่งล่าคนร้ายอย่างเร่งด่วน และเชื่อว่าจะมีความคืบหน้าไม่เกินเช้าวันพรุ่งนี้ ขอบอกไว้เลยว่าถ้าคนร้ายต่อสู้ ตำรวจก็จะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที” หากพบว่าใครเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือมีผู้จ้างวานหรือบงการเบื้องหลัง ได้สั่งการให้จัดการออกหมายจับดำเนินคดีทุกคนอย่างเด็ดขาด

วันเดียวกัน (7 ก.ย.) กำนันนก ได้เดินทางเข้ามอบตัวที่ สภ.เมืองนครปฐม พร้อมทนายความ หลังถูกออกหมายจับในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่น หลังพบพยานหลักฐานว่ามีส่วนเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับกรณีที่นายธนัญชัย ลูกน้องคนสนิทก่อเหตุยิง พ.ต.ต.ศิวกร จนเมียชีวิต และ พ.ต.ท.วศิน ได้รับบาดเจ็บ

ขณะที่งานศพของ พ.ต.ต.ศิวกร หรือสารวัตรศิว มีขึ้นที่ศาลา 11 วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง ได้อัญเชิญน้ำหลวงอาบศพพระราชทานเมื่อวันที่ 7 ก.ย. โดยมี พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผู้ บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เป็นประธานในพิธี

วันต่อมา (8 ก.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เผยความคืบหน้าการไล่ล่ามือปืนคดีนี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบและตำรวจพื้นที่ได้ไล่ข้อมูลสืบสวน จนกระทั่งพบว่า นายธนัญชัย มือปืน อยู่ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี จึงได้เข้าล้อมตรวจค้นในช่วงเช้าที่ผ่านมา จนเกิดเหตุยิงต่อสู้ ตำรวจจำเป็นต้องใช้อาวุธจึงเกิดการวิสามัญ จากการตรวจสอบหัวกระสุนพบว่า เป็นปืนกระบอกเดียวกันที่ก่อเหตุยิงสารวัตรทางหลวง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เเผยด้วยว่า ในส่วนของกำนันนก รู้อยู่แล้วว่ากำนันนกต้องให้การปฏิเสธ จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาจ้างวานฆ่า แต่ได้สั่งให้สอบประเด็นร่วมกันฆ่าเพิ่มเติม หลังจากสอบปากคำแม่บ้าน พบว่า กำนันนกเป็นคนสั่งให้ทำลายพยานหลักฐาน ทั้งแกะกล้องวงจรปิด ล้างคราบเลือด เก็บปลอกกระสุนไปทำลาย

ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีตำรวจ 25 นายไปร่วมงานบ้านกำนันนกโดยด่วน รวมถึงสาเหตุที่มีการปล่อยให้ผู้กระทำผิดหลบหนีไป และมีการทำลายพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ พร้อมออกคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจทั้ง 25 นาย มาช่วยราชการที่ ศปก.ตร. "หากพบว่าข้าราชการตำรวจรายใดมีความผิดอาญา หรือวินัย ให้ดำเนินการเด็ดขาดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป”

ล่าสุด (9 ก.ย.) พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ได้นำตัวกำนันนก ออกจากห้องคุมขัง เพื่อขอศาลอาญาฝากขังผัดแรก โดยกำนันนกมีสีหน้าอิดโรยและเครียดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ มีรายงานว่า กำนันนกยังคงยืนกรานปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ในชั้นสอบสวน อ้างเพียงว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งการให้นายธนัญชัย ลูกน้องก่อเหตุยิง พ.ต.ต.ศิวกร เสียชีวิตแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้หนักใจอะไร เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เผยล่าสุด (9 ก.ย.) ว่า ขณะนี้คดีคืบหน้าไปมาก สามารถแยกตำรวจภายในงานเลี้ยงวันเกิดเหตุออกเป็น 2-3 กลุ่ม สามารถระบุได้ว่า ตำรวจคนไหนเข้าไปช่วยเหลือเก็บเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด ใครพาคนร้ายหนี และกลุ่มไหนที่หลังเกิดเหตุพากันแยกย้ายออกจากงานเลี้ยงไปเลย เพราะฉะนั้น ตนจึงได้เรียกตำรวจทั้ง 25 นาย มาสอบปากคำ “วันนี้ถึงแม้ว่าจะให้การโกหกยังไง ให้การไม่ตรงยังไง ก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน หากมีความเกี่ยวข้องมาก เช่น ช่วยเหลือผู้ต้องหา ช่วยทำลายพยานหลักฐาน ช่วยพาผู้ต้องหาหนี เหล่านี้ก็จะขออนุมัติหมายจับต่อศาล”

ส่วนวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ หรือมูลเหตุว่ากำนันสั่งยิงหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เราน่าจะมีพยานหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่า คนสั่งยิง คือ กำนัน แต่เราต้องให้ความเป็นธรรม ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ “คดีนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะพยานหลักฐานมันนิ่ง สิ่งสำคัญที่กำลังทำต่อ คือ กำลังไล่ข้อมูลทั้งหมดว่าใครเป็นเครือข่ายของกำนันนกบ้าง จะได้ถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก”

2."เศรษฐา" นำ ครม. เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ "ในหลวง" พระราชทานพรให้มีกำลังใจ-ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศและประชาชน!


เมื่อวันที่ 5 ก.ย. เวลา 13.53 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่

โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัส ความว่า ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้พบกับคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้มาถวายสัตย์ฯ ในวันนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่รู้จักกัน เพราะหลายคนก็เคยรู้จักกันแล้ว หลายคนก็ยังไม่เคยรู้จัก จะได้รู้จักกันและแสดงความยินดีที่มีศรัทธาเข้ามาบริหารประเทศ ก็ขอถือโอกาสให้พรให้มีกำลังใจ กำลังกายและปัญญาที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความสุขและเพื่อประโยชน์เป็นส่วนรวมต่อประเทศชาติและประชาชน ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่า ท่านมีความตั้งใจดีทุกคน มีศรัทธาทุกคน ก็ขอให้พรให้ท่านมีกำลังใจต่อไปในการปฏิบัติหน้าที่

ต่อมา นายเศรษฐา พร้อมคณะรัฐมนตรี ได้แถลงที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ตนเองและคณะรัฐมนตรีจะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการต่อไป ขอยืนยันว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของประชาชนและทุกท่าน ที่มาในวันนี้ มาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของประชาชนทุกคน รัฐบาลนี้มีความตั้งใจ เพราะปัญหามีมากมาย จะทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยทุกวัน ทุกนาทีจะเอาความต้องการของประชาชนเป็นที่ตั้ง เริ่มจากวันที่ 8 ก.ย. ตนเองจะลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น อุดรธานีและหนองคาย เพื่อพูดคุยรับทราบปัญหาของประชาชนทุกคน เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป และวันที่ 11 ก.ย. จะมีการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า รัฐบาลนี้จะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ภายใต้หลักการที่มีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งรัฐบาลจะสร้างโอกาสความเท่าเทียมให้กับประชาชน เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต

ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยความรู้สึกหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ว่า ครั้งนี้เป็นการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นครั้งที่ 2 ของตนเอง ต้องเรียนด้วยความเคารพว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปฏิสันถารที่ทำให้คณะรัฐมนตรีมีกำลังใจอย่างมาก ทรงมีพระราชกระแสตรัสให้กำลังใจ หลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณเสร็จสิ้น พระองค์ทรงพระดำเนินเข้ามาหานายกรัฐมนตรีด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม และตรัสให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ทรงเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ได้ดี พระองค์ท่านยังทรงชมนายกรัฐมนตรีว่า เชื่อมั่นว่าเป็นคนเก่งอยู่แล้ว และทรงพระสรวล เราเองก็มีความปีติตามที่เราได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประเทศชาติและบ้านเมือง และปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกประการ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ก.ย. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วม 3 ฝ่าย (วิป 3 ฝ่าย) เพื่อวางกรอบเวลาการอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา และแบ่งสัดส่วนเวลาของแต่ละฝ่ายว่า การประชุมเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาจะมีขึ้นในวันที่ 11-12 ก.ย.นี้ ใช้เวลา 2 วัน รวมทั้งสิ้น 30 ชม. แบ่งเป็นประธานรัฐสภา 1 ชม. คณะรัฐมนตรี แถลงและชี้แจง 5 ชม. สว. 5 ชม. รัฐบาล 5 ชม. และฝ่ายค้าน 14 ชม. คาดว่าคงไม่เกินเวลาที่กำหนดไว้

ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากฝากอะไรถึงฝ่ายค้านหรือไม่ เนื่องจากฝ่ายค้านอยากใช้เวทีนี้ซักฟอกรัฐบาล นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า ฝ่ายค้านยืนยันเองว่า จะอภิปรายอยู่ในกรอบเรื่องนโยบายและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามนโยบายนั้น ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คิดว่าตอนนี้ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ มีข้อมูลพร้อมที่จะอภิปรายในกรอบกฎหมายและข้อบังคับ

3. “อิทธิพล คุณปลื้ม” หนีหมายจับคดีออกใบอนุญาตสร้างคอนโดฯ มิชอบก่อนคดีหมดอายุความ 5 วัน ด้าน ป.ป.ช.ขอศาลออกหมายจับใหม่ไม่มีอายุความ!



เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 จังหวัดระยอง ได้ออกหมายจับนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำเเหน่งนายกเมืองพัทยา ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ลงวันที่ 10 ก.ย. 2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ฯ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

สืบเนื่องจากพนักงานอัยการสำนักงานปราบปรามคดีทุจริตฯ ภาค 2 ได้นัดตัวส่งฟ้องนายอิทธิพลเมื่อวันที่ 4 ก.ย. เเต่เมื่อถึงเวลานัด ผู้ต้องหาไม่เดินทางมาตามนัด ป.ป.ช.ในฐานะผู้ร้องจึงยื่นขอศาลออกหมายจับ เพื่อนำตัวยื่นฟ้องศาล ด้านศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า จำเลยทราบหมายโดยชอบเเล้วไม่เดินทางมา มีพฤติการณ์หลบหนี ให้ออกหมายจับในวันที่ 5 ก.ย.2566

ทั้งนี้ มีรายงานว่า คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี มีอายุความ 15 ปี ตามมาตรา 95(2) ซึ่งคดีจะครบกำหนดอายุความในวันที่ 10 ก.ย.2566

ต่อมา (6 ก.ย.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดนายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในการก่อสร้างโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์เรสซิเดนซ์ ปัจจุบันคือ โครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ คอนโดมิเนียม พัทยา ไทยแลนด์ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร และพิจารณาต่อใบอนุญาตก่อสร้างอาคารโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

หลังศาลออกหมายจับนายอิทธิพล คุณปลื้ม ด้าน พ.ต.อ.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ รรท.ผบก.ปปป. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. พร้อมหมายค้นศาลจังหวัดชลบุรี เข้าตรวจค้นบ้าน 2 หลังใน ต.หนองปรือ ต.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อตามหาตัวนายอิทธิพลเมื่อวันที่ 6 ก.ย. เนื่องจากคดีจะหมดอายุความในวันที่ 10 ก.ย.ที่จะถึงนี้แล้ว แต่จากการตรวจค้น ไม่พบตัวผู้ต้องหาตามหมายจับแต่อย่างใด

มีรายงานว่า หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ขอศาลออกหมายจับช่วงต้นเดือน ก.ย. นายอิทธิพลได้ชิงเดินทางออกนอกประเทศไปก่อน โดยเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ปลายทางประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ส่วนนายวิทยา ศิรินทร์วรชัย และนายพิเชษฐ อุทัยวัฒนานนท์ ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีนี้ด้วยกันนั้น พบว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ได้หลบหนีไปก่อนหมายจับจะออก 2 วัน

ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 แต่ ป.ป.ช.ใช้เวลารวบรวมสำนวนและพยานหลักฐานนานมาก กว่าจะส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเวลาล่วงเลยมาเกือบจะครบ 15 ปี ในวันที่ 10 ก.ย.2566 โดยอัยการสูงสุดได้มีความเห็นสั่งฟ้องนายอิทธิพลวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา และนัด ป.ป.ช.ให้นำตัวนายอิทธิพลมาเพื่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 2 วันที่ 4 ก.ย. แต่นายอิทธิพลไม่มาพบตามนัด กระทั่งศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 2 อนุมัติหมายจับดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องอายุความของคดีนี้ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นายคำนึง วงษ์ทวีทรัพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึงเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยขอให้ดำเนินการออกหมายจับนายอิทธิพล คุณปลื้ม, นายพิเชษฐ อุทัยวัฒนานนท์, นายวิทยา ศิรินทร์วรชัย ผู้ต้องหาที่ 1-3 ในคดีนี้ใหม่ เนื่องจากพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 2 พิจารณาแล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปรามการทุจริต พ.ศ.2561มาตรา 7 บัญญัติไว้ว่า "...ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดี หรือระหว่างการพิจารณาของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ..."

นายโกศลวัฒน์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากมีการถกเถียงกันเรื่องปัญหาอายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ หากมีการหลบหนี เพราะคดีนี้เกิดก่อนกฎหมายปราบปรามการทุจริตแก้ไข อัยการจึงเห็นว่า อำนาจในการออกหมายจับเป็นของศาล จึงควรดำเนินการให้ชัดเจนเสนอให้ศาลเพื่อโปรดพิจารณา จะได้เป็นแนวทางให้ผู้ปฏิบัติทำหน้าที่กันได้อย่างถูกต้อง

ล่าสุด (7 ก.ย.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เผยว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 ได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับนายอิทธิพล คุณปลื้ม ฉบับใหม่ ที่ไม่มีอายุความแล้ว

4. “สมยศ-เนตร นาคสุข” ไม่รอด ถูก “ป.ป.ช.” ชี้มูลความผิดอาญาคดีสั่งไม่ฟ้อง “บอส” ด้าน “เพิ่มพูน ชิดชอบ” โดนผิดวินัยไม่ร้ายแรง!



หลังจากสื่อหลายสำนักรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาในคดีการกลับคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ในข้อหาขับรถยนต์ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยมีขบวนการช่วยเหลือในการเปลี่ยนพยานหลักฐานเกี่ยวกับความเร็วของรถยนต์ เป็นทางการ

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ได้ยืนยันข่าวการชี้่มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวแล้ว โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญาที่มีการยืนยันชื่อแล้ว คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด, นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส, นายพิชัย (ชูชัย) เลิศพงศ์อดิศร หรือ สว.ก๊อง ปัจจุบันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่, นายสายประสิทธิ เกิดนิยม และพนักงานสอบสวนบางส่วน

สำหรับนายธานี อ่อนละเอียด สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นควรส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจ เนื่องจากเรื่องที่ถูกกล่าวหา ไม่ใช่เป็นความผิดร้ายแรง ตามมาตรา 64 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวว่า มีการกันตัว พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก อดีตผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจที่เป็นเจ้าของสถานที่จัดประชุมเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์ของนายวรยุทธ เป็นพยาน เพื่อให้ยืนยันหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวพันกับผู้ถูกกล่าวหาคนสำคัญในคดี และพยานบางรายให้การเท็จเข้าข่ายความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนด้วย

สำหรับขั้นตอนต่อไป ป.ป.ช.จะส่งสำนวนไต่สวนเอกสารพยานหลักฐาน ให้อัยการสูงสูดดำเนินการฟ้องร้องต่อไป อย่างไรก็ตาม การชี้มูลความผิดครั้งนี้ ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดมีสิทธิต่อสู้คดี เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก

สำหรับคดีนายวรยุทธ ปัจจุบันเหลือเพียง 1 คดี คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย.2570 ส่วนข้อหาอื่นได้หมดอายุความ และบางคดีถูกสั่งไม่ฟ้อง

ทั้งนี้ สื่อบางสำนักได้โทรศัพท์เพื่อสัมภาษณ์ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด แต่ พล.ต.อ.สมยศ บอกเพียงสั้นๆ ว่า “ขอไม่พูดถึงแล้วครับ ว่าไปตามขั้นตอน”

ขณะที่นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด 1 ในผู้ถูกชี้มูลความผิด ก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เช่นกัน โดยบอกว่า “ไม่มีอะไรจะให้สัมภาษณ์ครับ” เมื่อถามต่อถึงการเตรียมต่อสู้คดี ก็บอกว่า ตอนนี้กำลังคิดอยู่ ก็คงจะดำเนินการต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า อยากยืนยันความบริสุทธิ์ใจไหม นายเนตร บอกว่า “ไม่เอา ผมพูดไปหลายเที่ยวแล้ว ก็สั่งตามพยานหลักฐาน ไม่มีอะไร” ยืนยัน พร้อมต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างชี้แจงได้

5. "ปารีณา" รอด! ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษายกฟ้องคดีที่ถูก ป.ป.ช.กล่าวหายื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ปมเงินให้กู้ยืม-พระเครื่องดัง!



เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องว่า น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน 2 รายการ

ขอให้ศาลฯ ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคสอง (1), 167 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ด้าน น.ส.ปารีณา ให้การปฏิเสธ

ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีมติเสียงข้างมากว่า สำหรับรายการเงินให้กู้ยืมรายนาย ป. นั้น ในทางไต่สวนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นาย ป. ยอมรับว่า ผู้ถูกกล่าวหาให้เงินสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้ง ประกอบกับพฤติการณ์ที่นาย ป. เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาโพธาราม และสั่งจ่ายเช็คมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นหลักประกัน เมื่อผู้ถูกกล่าวหาขอหลักประกันเพิ่ม นาย ป. ได้นำโฉนดที่ดินไปให้ผู้ถูกกล่าวหายึดถือ และนาย ป. เคยบอกนาย ส.ว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้ง และขอให้นาย ส. ไปเป็นเพื่อนเพื่อไปทำสัญญากู้ยืมที่ผู้ถูกกล่าวหาให้การสนับสนุนนาย ป. ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง

โดย นาย ส. ได้ยินผู้ถูกกล่าวหาพูดทวงเงินจากนาย ป. เชื่อว่า นาย ป. ได้รับเงินช่วยเหลือเป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งจากผู้ถูกกล่าวหา และไม่ได้เป็นการช่วยเหลือแบบให้เปล่า
แม้ไม่ปรากฏพยานหลักฐานการส่งมอบเงิน แต่ทางไต่สวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า สัญญาเงินกู้ดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิปลอม และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากสำนวนการไต่สวนของผู้ร้องว่า มีการสมคบกันทำสัญญาเงินกู้ขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกกล่าวหาจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า ตนมีสิทธิตามสัญญาเงินกู้ จึงฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อผู้ร้อง

ส่วนรายการพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ศาลฯ มีมติเสียงข้างมากว่า การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของผู้ถูกกล่าวหาในการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการพระเครื่องทั้งสององค์ โดยขอใช้เอกสารชุดเดิมทั้งหมด ประกอบกับ นาย อ. อดีตสามีของผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำว่า นาย อ. เป็นเจ้าของพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุใหม่) และพระสมเด็จนางพญา พิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ซึ่งเป็นองค์เดียวกับที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของคู่สมรส

การจัดทำบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหา กรณีพ้นจากตำแหน่ง ครบ 1 ปี ในปี 2557 นาย อ. มอบให้นายบุรินทร์ เลขานุการ เป็นผู้รวบรวมเอกสารนำไปยื่นต่อผู้ร้อง เนื่องจากนาย อ.กำลังจะหย่ากับผู้ถูกกล่าวหา นาย อ. เคยให้ผู้ถูกกล่าวหายืมใส่พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุเก่า) และพระนางกำแพง หลังจากหย่ากันผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้คืนให้ พระเครื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาครอบครองเป็นคนละองค์กับพระเครื่องสององค์ดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำว่า หลังจดทะเบียนหย่า ผู้ถูกกล่าวหาครอบครองพระเครื่องสององค์เรื่อยมา เป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจว่า ตนเป็นเจ้าของพระเครื่องทั้งสององค์ที่อยู่กับตนและเป็นองค์เดียวกับที่เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง

สอดคล้องกับที่นาย พ.ผู้เชี่ยวชาญ ให้ถ้อยคำว่า คนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง ย่อมไม่อาจแยกแยะข้อแตกต่างของพระเครื่องทั้งสององค์ได้
เชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจมาโดยตลอดว่า พระเครื่องทั้งสององค์ที่ได้รับมาจากนาย อ. ระหว่างสมรสและอยู่ในความครอบครองเรื่อยมา คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุใหม่) และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ที่ยื่นและอ้างไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า พระเครื่องสององค์ที่นำมาแสดงต่อผู้ร้อง เป็นคนละองค์กับที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ

พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังไมได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาแสดงรายการพระเครื่องไม่ตรงกับที่มีอยู่จริง และระบุราคาสูงกว่าความเป็นจริง
กรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อผู้ร้อง พิพากษายกคำร้อง

ด้าน น.ส.ปารีณา กล่าวหลังทราบคำพิพากษาว่า ตอนแรกตนเองก็ไม่ค่อยคาดหวังกับคดีนี้เท่าใดนัก แต่เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว จึงรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรมมากขึ้น นอกจากนี้แล้วก็เป็นเพราะรายละเอียดข้อเท็จจริงในคดีและทนายความที่เก่ง (นายทิวา การกระสัง) ช่วยว่าความให้


กำลังโหลดความคิดเห็น