xs
xsm
sm
md
lg

พลังลบทำลายมิตรภาพไทย-จีน นักท่องเที่ยวแดนมังกรเข้าไทยพลาดเป้าห่าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไทยสูญเสียสถานะแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยวจีน ครึ่งแรกปี 66 เดินทางมาไทยเพียง 1.5 ล้านคน จากเป้าหมายทั้งปีที่ปรับลงแล้ว 5.3 ล้านคน “สนธิ” ชี้เหตุ ชาวจีนกังวลความปลอดภัย ขอวีซ่ายุ่งยากเพราะมาตรการป้องกันจีนเทาที่ผิดฝาผิดตัว รอ Visa on Arrival ที่ ตม.นาน 4-5 ชั่วโมง ที่สำคัญนักการเมืองนำเรื่องจีนเทาไปบิดเบือนหาแสง มีนโยบายเข้าข้างตะวันตก จนประเทศจีนไม่ได้มองไทยเป็นมิตรที่แนบแน่นเหมือนเดิม



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย หลังจากการยกเลิกมาตรการการควบคุมโควิด-19 และเปิดประเทศเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งในปี 2566 รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะมีเข้ามา 25-30 ล้านคน นำเงินเข้าประเทศประมาณ 1 - 1.55 ล้านล้านบาท ในจำนวนนักท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าเอาไว้ จะเป็นนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 7 ล้านคน แต่ต่อมาได้ปรับลงเหลือ 5.3 ล้านคน


อย่างไรก็ตาม จากสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน 2566 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยแค่ 1.5 ล้านคน แนวโน้มทั้งปี 2566 น่าจะพลาดเป้า ถึงแม้ว่าได้ปรับลดเป้าหมายลงมาจาก  ทืก็ตาม

ถ้าเราขาดนักท่องเที่ยวไป เป้าหมายใหญ่ของปี 2566 ซึ่งคาดหวังให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทย 30 ล้านคน ก็ยากจะถึงเป้าหมายเช่นกัน

ดูจากสถิติแล้วพบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยขณะนี้ลดน้อยลงเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยในปี 2562 ช่วงก่อนโควิด-19 ตอนนั้นมาถึง 10-11 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่มาเยือนเมืองไทย


สถานการณ์ที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาน้อยกว่าเป้าหมายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น หลายประเทศอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ยังไม่มีประเทศไหนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวใน 5 เดือนแรก ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ของระดับก่อนปี 2562 แต่ว่าประเทศไทยค่อนข้างได้รับผลกระทบมาก เพราะว่าเราพึ่งพาเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวสูงมาก

พอวิเคราะห์เหตุผลทั้งหมดแล้ว เหตุที่คนจีนลังเลที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า เศรษฐกิจจีนมีความไม่แน่นอน หลังจากที่ประเทศจีนยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ เมื่อต้นปี 2566 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกต่างประเทศน้อยลง ประเทศต่างๆ ก็ต้องช่วงชิงกันเพื่อให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมายังประเทศตน ประเทศไทยเดิมเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวจีน แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากกลับไม่เลือกที่จะมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว


ข้อมูลจากเว็บไซต์ Trip.com แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ ระบุว่า ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปีนี้ ประเทศไทยกลายเป็นเป้าหมายอันดับ 4 ของนักท่องเที่ยวจีน รองจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วว่าเที่ยวญี่ปุ่นค่าใช้จ่ายสูงกว่า ส่วนสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ก็มีความหลากหลายทางการท่องเที่ยวน้อยกว่าประเทศไทยมาก แต่ทำไมประเทศเหล่านี้ถึงเป็นเป้าหมายอันดับแรกๆ ของนักท่องเที่ยวจีนที่เลือกจะไปเที่ยว

การที่นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวประเทศไทยต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้หน่วยงานต่างๆ ปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทย โดยนักเศรษฐศาสตร์ โนมูระ โฮลดิ้งส์ บริษัทหลักทรัพย์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 2566 ลงเหลือแค่ 3.4 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมตั้งเป้าไว้ว่า 4 เปอร์เซ็นต์

ทำไมนักท่องเที่ยวจีนจึงมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลง ?

ทีมงานได้ตรวจสอบ ปรากฏว่าข้อมูลในอินเทอร์เน็ตพบว่าสื่อสังคมออนไลน์ของจีนมีแฮชแท็กที่เขียนว่า "ทำไมทุกคนไม่อยากไปเที่ยวเมืองไทยกันแล้ว" ซึ่งมีคำตอบประมาณ 4 ข้อ
1.กังวลเรื่องความปลอดภัย
2.ขอวีซ่ายุ่งยากมากกว่าเดิม
3.ประเทศอื่นมีที่ที่น่าไปเที่ยวมากกว่า และ
4.ค่าใช้จ่ายเริ่มแพงขึ้นมากแล้ว


เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ชาวจีนกังวลมากที่สุด ประเทศไทยทำไมถึงกลายเป็นดินแดนอันตรายในสายตาคนจีนไปแล้ว สาเหตุเพราะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับคนจีนในประเทศไทยจำนวนมาก มีทั้งการหลอกลวง การเรียกค่าไถ่ จนกระทั่งถึงการฆาตกรรม คดีที่เกิดขึ้นกับคนจีนส่วนใหญ่เป็นคนจีนฆ่าคนจีน คนจีนจับตัวคนจีนเรียกค่าไถ่ แต่คดีพวกนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย เลยทำให้ประเทศไทยมีภาพลบออกมามาก

คดีที่สะเทือนขวัญที่สุดคือกรณีจับนักศึกษาชาวจีน วัย 22 ปีไปเรียกค่าไถ่ และฆ่าทิ้ง เอาศพไปที่จังหวัดนนทบุรี คดีนี้ถูกรายงานโดยสื่อมวลชนของจีนอย่างครึกโครม ฆาตกรที่เป็นคนจีน หลบหนีจากเมืองไทยกลับประเทศจีน แต่ก็ถูกตำรวจจีนจับได้ในเวลาต่อมา แต่เรื่องราวแบบนี้ได้รับการรายงานโดยสื่อมวลชนของจีน และเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้คนจีนกังวลเกี่ยวกับการมาเที่ยวเมืองไทย

หวั่นทุนจีนสีเทาก่อกระแสต่อต้านจีน

นอกจากคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคนจีน ยังถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการปราบปรามกลุ่มจีนสีเทาด้วย ซึ่งชาวจีนบางส่วนกังวลว่าจะลุกลามเป็นการต่อต้านชาวจีน


นายหาน จื้อ เฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องระมัดระกวังกลุ่มที่มีเจตนาซ่อนเร้น ใช้เรื่องทุนจีนสีเทามาทำลายความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับประเทศจีน


“ผมพูดไปแล้ว อธิบายให้ฟังไปแล้วว่า คนไทยที่ชอบอ้างว่า เมืองไทยนั้นทุนที่มาคือทุนจีนสีเทา ไม่ว่าจะเป็นคนที่พยายามที่จะทำตัวหิวแสง ไม่ว่าจะเป็นคุณวิโรจน์ หรือคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตอนนี้ผลมันสะท้อนกลับมาแล้ว ถามว่าคนที่โจมตีเรื่องทุนจีนสีเทาโดยไม่ดูหน้าดูหลัง ไม่แยกแยะให้ถูก เพราะว่าทุนจีนสีเทานั้น คนที่ผิดจริงๆ ก็คือข้าราชการไทย คือข้าราชการตำรวจนั่นเอง ที่สนับสนุนให้ทุนจีนสีเทาเกิด แต่กลับไม่โจมตีเขา” นายสนธิกล่าว

ข้อมูลสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ระบุว่า มีชาวจีนเผชิญกับความไม่ปลอดภัย ทั้งอาชญากรรม อุบัติเหตุ รวมถึงยาเสพติด สถานทูตจีนออกมาเตือนแถลงการณ์ ล่าสุด เว็บไซต์สถานทูตจีนประจำประเทศไทย ยังโพสต์ข้อมูลป้องกันการหลอกลวงเพื่อให้คนจีนระมัดระวังตัว แสดงว่าการหลอกลวงและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นประเด็นที่ใหญ่มาก


เฟกนิวส์เกลื่อน

นอกจากคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นต่อคนจีนที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ยังมีข่าวปลอม เฟกนิวส์ เรื่องความปลอดภัยในประเทศไทยแพร่หลายอย่างมากในโลกออนไลน์ของจีน เช่น นักท่องเที่ยวจีนถูกขโมยไตไปขาย นักท่องเที่ยวถูกลักพาตัวไปโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น

ข่าวเท็จเหล่านี้มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างมาก ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องสั่งให้โฆษกประจำสำนักนายกฯ ออกแถลงแก้ข่าว สถานทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ก็แถลงการณ์ว่า ไทยให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน


แต่ว่าท่าทีการตั้งรับของรัฐบาลไทย ไม่สามารถทำให้ชาวจีนมั่นใจในความปลอดภัยได้ ขณะซึ่งกระทรวงดีอีเอสของภาครัฐ ก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรที่จะสกัดกั้นข่าวปลอมที่ทำลายชื่อเสียงของประเทศโดยเฉพาะ ยิ่งในช่วงที่การเมืองยังไม่นิ่ง ยิ่งทำให้มาตรการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ชัดเจน

วีซ่าเข้าไทยยุ่งยาก-รอนาน

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่อยากมาไทยคือการคุมเข้มวีซ่า วัตถุประสงค์ของการคุมเข้มวีซ่าก็คือป้องกันจีนเทา กระทรวงการต่างประเทศไทยได้ตั้งเงื่อนไขการอนุมัติวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันกลุ่มจีนเทา เช่น นักท่องเที่ยวจีนขอวีซ่าเข้าไทยต้องมีหลักฐานแสดงเงินในบัญชีธนาคาร มีจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 หยวน หรือประมาณ 250,000 บาท ถือว่าเป็นการสร้างเงื่อนไขที่ยากยิ่งกว่าการเดินทางไปเที่ยวยุโรป หรือสหรัฐฯ อีก

นอกจากนั้นแล้ว กระทรวงการต่างประเทศยังได้ขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฝั่งจีน ให้ตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง ก่อนอนุมัติให้ชาวจีนออกนอกประเทศมาเที่ยวไทย


“ความคิดของกระทรวงการต่างประเทศไทยนั้นล้าหลัง จะตั้งเงื่อนไขอย่างไรก็ตาม ถ้าจีนสีเทาจะมาทำมาหากินในเมืองไทย เงิน 50,000 หยวน เขามีให้ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย แต่เมื่อเราไปตีขลุมเหมาว่าการที่เราเข้มงวดเรื่องวีซ่าเพราะว่าเราต้องการจะป้องกันจีนเทา ซึ่งผิดฝาผิดเหล่ามากเลย เพราะจีนเทาถ้ามันจะเข้าเมืองไทย เงินขอวีซ่า 50,000 หยวน ไม่มีความหมายหรอก แต่มันไปกระทบภาพรวมของคนจีนที่ต้องการมาเที่ยวประเทศไทย แต่พอเริ่มปั๊บ ก็ติดปัญหานี้ทันที”

นอกจากนี้ การขอ Visa on Arrival ก็ช้า บางทีต้องใช้เวลาตั้ง 3-4 ชั่วโมง ถึงจะได้ ตอ้งเข้าแถวยาวเหยียด เรากำลังสร้างนโยบาย และกระทรวงการต่างประเทศรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาจีนสีเทาเป็นตัวตั้ง แล้วสร้างมาตรการมาล้อมนักท่องเที่ยวจีนทั้งหมด เลยไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่เป็นมิตรในสายตาของคนจีนในปัจจุบัน


“Visa on Arrival ที่ผมพูดว่าใช้เวลาทำถึง 2-3 ชั่วโมง นี่ยังถือว่าเกรงใจนะ จริงๆ แล้ว หลักๆ แล้ว ลึกๆ แล้วประมาณ 4-5 ชั่วโมง ทรมานมาก เจอแบบนี้แล้วพวกเขาก็เลยส่งข้อความไปเลย เฮ้ย มาขอ Visa on Arrival ประเทศไทยนี่ต้องรออยู่ที่ ตม. ประมาณ 4-5 ชั่วโมง น่าสงสารเหมือนกันนักท่องเที่ยว ผมเห็นใจเขา ที่เข้ามาแล้วต้องเจอแบบนี้” นายสนธิกล่าว

ประเทศจีนระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่นักท่องเที่ยวมือใหม่ชาวจีนจะเดินทางออกนอกประเทศ คือคนจีนที่ยังไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศก็มีจำนวนมาก แล้วเขามองว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกเลยที่จะเดินทางมาเที่ยว แต่พวกนี้มักจะมากับกลุ่มทัวร์ การตั้งเงื่อนไขที่ยุ่งยากในการขอวีซ่าก็เลยเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง


“ผมไม่รู้ว่ากระทรวงการต่างประเทศคิดหรือเปล่า เงินที่รัฐบาลต้องหายไป จากที่เราตั้งเป้าไว้ว่าต้องเข้ามาเท่านี้ ตอนนี้ยังได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ที่ตั้งเป้าเอาไว้ เงินที่หายไป มันหายไปเพราะความงี่เง่าหรือความไม่เข้าใจเรื่องราวของกระทรวงการต่างประเทศ ในทำนองว่า ขี่ช้างจับตั๊กแตน ในทำนองนั้นจริงๆ”


นักท่องเที่ยวจีนก็ยังบอกว่า ได้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไทยเจตนากักตัวนักท่องเที่ยวจีน ทำให้เกิดความล่าช้า เพื่อหวังจะเรียกค่าทางด่วนจากนักท่องเที่ยวจีน


“อันนี้ผมตอบให้ไม่ได้ ท่านผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองท่านจะต้องเป็นคนให้คำตอบเอง Visa on Arrival ที่ต้องรอถึง 4-5 ชั่วโมง ท่านผู้บัญชาการครับ มันมากเกินไป ถ้าท่านไม่แก้ไขเรื่องนี้ ท่านก็มีส่วนช่วยในการทำให้ประเทศไทยขาดรายได้ไป

“การที่ประเทศไทยขาดรายได้ไปนั้น ต้องเฉลี่ยความรับผิดชอบไป กระทรวงการต่างประเทศเอย ท่านผู้บัญชาการ สตม.เอย คุณชูวิทย์เอย คุณวิโรจน์เอย เกี่ยวข้องกันหมด”
นายสนธิกล่าว

ทรัพยากรท่องเที่ยวเสื่อมโทรม-ค่าใช้จ่ายสูง

ประเด็นต่อมาที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลังเลที่จะมาประเทศไทย คือ ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวของเราถูกใช้งานจนเสื่อมโทรมไปมาก นักท่องเที่ยวจีนบอกว่า จังหวัดอย่างเช่นภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ มีนักท่องเที่ยวล้นจนเกินไป ผู้คนแออัด ไม่น่าเที่ยว สิ่งแวดล้อมได้รับความเสียหาย โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจนำเที่ยวต่างๆ ยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่


นอกจากนั้นแล้ว นักท่องเที่ยวจีนยังรู้สึกว่ามาเที่ยวไทยแล้วยังมีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นอย่างมาก ทั้งจากค่าครองชีพของไทยที่ข้าวของแพงขึ้นจริงๆ รวมทั้งธุรกิจหลายอย่าง หลายประเภท ที่ฉวยโอกาสเอาเปรียบนักท่องเที่ยว


“เราต้องไม่ลืม ว่านักท่องเที่ยวจีนตอนนี้เขาใช้สื่อออนไลน์ ใช้แพลตฟอร์มเยอะ มีนักท่องเที่ยวจีนออกมาปั๊บ เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเขาไม่ชอบนโยบายอะไรของเรา เขาก็จะลงไปในเว่ยปั๋ว (Weibo) ของเขา ใน WeChat ที่เขาเรียกว่าเว่ยปั๋วนั่นล่ะ คนเขาอ่านกันเยอะแยะไปหมด เมื่อเขาใช้สังคมสื่อออนไลน์แล้วเขาพบเจอการหลอกลวง หรือประสบการณ์ที่ไม่ดี เขาจะไปเล่าเรื่องในสื่อออนไลน์ เรื่องราวในแง่ลบก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง

“นักท่องเที่ยวจีนหลายคนบอกเล่าเรื่องราวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่าการหลอกลวงนักท่องเที่ยวในเมืองไทย ทำกันเป็นขบวนการ ตั้งแต่ไกด์เถื่อน รถตุ๊กตุ๊ก เรือท่องเที่ยว ไปจนถึงร้านขายของที่ระลึกต่างๆ แม้แต่วัดบางแห่งยังเข้าร่วมขบวนการการหลอกลวง ขายวัตถุมงคล หรือหลอกนักท่องเที่ยวให้ทำบุญสะเดาะเคราะห์ต่างๆ”


นอกจากนี้แล้ว เขาบอกว่าเที่ยวเมืองไทยยังแพงกว่าเที่ยวเมืองจีน หรือแพงกว่าประเทศอื่นๆ ความรู้สึกแพงอาจจะเกิดจาก 2 ปัจจัย 1.แพงเพราะมีการโก่งราคาเอาเปรียบนักท่องเที่ยว 2.แพงเพราะคุณภาพสินค้าและบริการไม่ได้ตามที่นักท่องเที่ยวคาดหวัง และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมีความรู้สึกว่าไปเที่ยวที่อื่นดีกว่ามาเมืองไทย


ปัญหาหมักหมม "ทัวร์ศูนย์เหรียญ"

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวไทยขณะนี้สั่งสมมาจาก "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ซึ่งฝังรากมาเป็นสิบๆ ปี นักท่องเที่ยวจีนฝังใจว่ามาเที่ยวเมืองไทยราคาถูก แต่แท้ที่จริงแล้วแฝงไว้ด้วยการหลอกลวง มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมคือราคาเท่าไรกันแน่

จาก "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ก็ขยายตัวมาเป็น "ทุนจีนสีเทา" อย่างแก๊งตู้ห่าว ที่มีตำรวจและนักการเมืองหนุนหลัง จนมีเรื่อง "ทัวร์อั้งยี่" ซึ่งเป็นการนำทัวร์เที่ยวโดยกลุ่มจีนสีเทา กินรวบเบ็ดเสร็จตั้งแต่ที่พัก ร้านอาหาร รถบัสนำเที่ยว ไกด์นำเที่ยว ร้านขายของฝาก


เมื่อมีการปราบปราม กลายเป็นไฟลามทุ่ง กลายเป็นว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาทำไมจึงมีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นกับคนจีนอย่างมากมายเหลือเกิน มิหนำซ้ำ ก่อนเลือกตั้งยังมีพรรคการเมืองที่มาปั่นกระแส คือพรรคก้าวไกล เรื่องทุนจีนสีเทา เพื่อแสง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนชาวจีนเขาเลยคิดว่าเมืองไทยมีนโยบายต่อต้านคนจีน


“คุณวิโรจน์ และคุณชูวิทย์ ฟังให้ดีๆ นะครับ ผมไม่ได้มโน ความจริงนี้คือหนึ่งเดียว สิ่งที่คุณทำตอนนี้เริ่มมีผลกลับมาแล้ว และจะมีผลต่อเนื่องไป เพราะมันต้องใช้เวลาในการแก้ การทำให้ความรู้สึก ทัศนคติของเขาที่มีแง่ลบกับเราให้กลับเป็นแง่บวกนั้นต้องใช้เวลา ถึงวันนั้นแล้วประเทศไทยจะต้องสูญเสียรายได้ไปอีกเท่าไร พวกคุณที่ผมเอ่ยชื่อไปนั้น จะรับผิดชอบได้ไหม ผมเตือนไปแล้วนะ”


ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เชิญอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนมาช่วยโปรโมตการท่องเที่ยว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ขบวนการหลอกลวงยังเจอได้ทุกหัวถนน ขยายไปสู่โลกออนไลน์ด้วย คดีอาชญากรรมต่างๆ ยังเกิดขึ้นทุกวัน

เมื่อโลกแห่งความเป็นจริง กับการสร้างภาพของการท่องเที่ยวไทย มันไม่เหมือนกัน ข้อเท็จจริงกับการสร้างภาพไม่เหมือนกันเลย ต่อให้ใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่โด่งดังแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเท่านั้นที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวได้

นี่คือความจริงที่เจ็บปวดของการท่องเที่ยวไทย กับลูกค้านักท่องเที่ยวจีน ที่หลายคนสงสัยว่าทำไมเขาหายไปไหน ไม่มามากเหมือนแต่ก่อน ตัวเลขล่าสุดพิสูจน์ชัดเจนว่าปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวไทยวันนี้ลดเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ของช่วงก่อนโควิด-19


ถ้าเราไม่แก้ไขประเด็นหลายๆ อย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ที่สำคัญที่สุดคือ ทิศทางของข้าราชการและการเมืองที่ชัดเจนว่าต้องไม่เลือกฝ่ายตะวันตก และตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลจีน ครึ่งหลังของปี 2566 นักท่องเที่ยวจีนก็คงจะไม่กระเตื้องขึ้น

และในระยะยาวประเทศไทยคงจะไม่มีทางกลับมาเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวจีนเหมือนอย่างเก่าอีก ในอนาคตอาจจะลามไปถึงเรื่องผลไม้ของไทยด้วย


“ตอนนี้ประเทศจีนเริ่มใช้นโยบายบีบเราทางเศรษฐกิจทางอ้อม เนื่องจากว่าเรากำลังจะมีรัฐบาล หรือพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่รังเกียจประเทศจีน เขามีทางเลือกครับ เขาเลือกไปเที่ยวมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มไปเที่ยวมากขึ้นที่ตะวันออกกลาง และไปรัสเซียมากขึ้น ละทิ้งเมืองไทยไปแล้ว


“อย่าไปหลงลืมตัวว่าของเราดีที่สุด เราไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว แล้วพวกคุณที่ปากเสีย ปากหมาทั้งหลาย เที่ยวด่าเรื่องทุนจีนสีเทาตลอดเวลา โดยไม่แยกแยะให้ถูกว่านักท่องเที่ยวจีน กับทุนจีนสีเทา มันคนละพวกกัน นักท่องเที่ยวจีน ผมบอกมานานแล้ว ที่มาเจอทุนจีนสีเทา แล้วทุนจีนสีเทาทำไมถึงอยู่ได้ ? อยู่ได้ก็เพราะเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ เป็นคนให้การสนับสนุน


“ตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คุณทำงานประสาอะไรผมไม่รู้ แต่การที่ Visa on Arrival รอถึง 4-5 ชั่วโมง มันเกินไป คุณจะมีกระบวนการตบทรัพย์เขาอย่างไร ให้เลิกคิดได้แล้ว เอาประเทศชาติเป็นตัวตั้ง” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น