12 สมาชิก BNK48 และ CGM48 โชว์จัดเต็ม คอนเสิร์ต “Open Camp Concert” ด้าน "ปีโป้ จิรัฐิกาล" โผล่ขึ้นเวทีครั้งแรกหลังออกจากวงไปกว่าหนึ่งปี
หลังจากที่สร้างความประทับใจให้แก่แฟนคลับของ 5 สมาชิกในโปรเจกต์ Indy Camp จากคอนเสิร์ต 2 ครั้งที่ผ่านมา ในที่สุดค่ายอินดิเพนเด้นท์ เร็คคอร์ด ในเครือไอแอม ก็ได้สานต่อโปรเจกต์อย่างต่อเนื่องกับ Open Camp Concert ที่รวม 11 สมาชิกของ 2 วงไอดอล อย่างบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต และซีจีเอ็มโฟร์ตีเอต กับ 1 อดีตสมาชิกวงหลัง มาแสดงโชว์ในรูปแบบคอนเสิร์ตแสดงสด จากสมาชิกทั้ง 2 รุ่น ณ โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ ศูนย์การค้าสยามแสควร์ วัน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา
สำหรับคอนเสิร์ตในครั้งนี้แบ่งเป็น 2 รอบ 2 ธีม คือ รอบ White Day กับ รอบ Grey Night โดยทั้ง 2 รอบนั้น เริ่มต้นด้วยซิงเกิลใหม่ของโปรเจกต์ จากทั้ง 12 สมาชิก ที่มีชื่อว่า ‘บันได’ เรียกอุ่นเครื่องให้ในแต่ละรอบก่อน จากนั้นจึงแยกกันไปโชว์ในแต่ละรอบ โดยรอบแรกนั้นทำการแสดงด้วยเพลงดังนี้ ‘ลาลารัก’ โดย นีนี่-พิชญาภา สุปัญญา, ‘อาการชัด’ โดย มิลค์-ชยานันท์ เจ็ดพี่น้องร่วมใจ 2 สมาชิกจากซีจีเอ็มโฟร์ตีเอต ก่อนที่ 3 สมาชิกจากบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต อย่าง ข้าวฟ่าง-ญาณิศา เมืองคำ, นาย-ภัทรนรินทร์ เหมือนฤทธิ์ และ สตางค์-ตริษา ปรีชาตั้งกิจ จะมาในเพลง ’It’s me’, ‘ไม่คิดไม่ไหว’ และ ‘สถานะห่วง’ ตามลำดับ ก่อนที่ มามิ้งค์-มาณิฌา เอี่ยมดิลกวงศ์ จะมาส่งท้ายการโชว์โซโลเดี่ยวของรอบ กับเพลง ‘พร่ำเพ้อ’ จากนั้นก็เป็นการแสดงเป็นยูนิตประจำรอบ ได้แก่ “ดีอะ” จาก สตางค์, นาย และ มิลค์ กับ ‘It’s life’ โดย มามิ้งค์, นีนี่ และ ข้าวฟ่าง
ส่วนรอบหลังก็เริ่มโชว์โซโลของแต่ละคนด้วยสามสมาชิกบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ซัทจัง-สวิชญา ขจรรุ่งศิลป์ กับ “Let u go”, มายยู-กวิสรา สิงห์ปลอด กับ ‘Believer’ และ แพนด้า-จิดาภา แช่มช้อย กับ “บีดีบั๊บ” ก่อนที่ ฟอร์จูน-ปัณฑิตา คูณทวี สมาชิกวงซีจีเอ็มโฟร์ตีเอต จะมาด้วยเพลง “คงทำได้แค่รอ” จากนั้นก็เป็นการขึ้นเวทีในโปรเจกต์นี้ครั้งแรกนับตั้งแต่จบการศึกษา หรือ ลาออกจากวงซีจีเอ็มฯ ของ ปีโป้- จิรัฐิกาล ทะสี กับ “Heard” ก่อนที่ปิดท้ายรอบโซโลด้วย “อยากขอดาว” โดย วี-วรยา จาง สมาชิกบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต จากนั้นก็เป็นการแสดงแบบยูนิตประจำรอบ ได้แก่ มปร. จาก วี, แพนด้า และ ซัทจัง และ ‘bye bye’ โดย ฟอร์จูน, มายยู และ ปีโป้
หลังจากเสร็จสิ้นการแสดงโชว์ในแต่ละรอบ ก็มีโชว์ 3 เพลงคัฟเวอร์พิเศษจากทั้ง 12 สมาชิก ได้แก่ “ข้างกาย” ของวง Safe Planet โดย ฟอร์จูน, มามิ้งค์, นีนี่, มิลค์ และ ปีโป้, “กลิ่นดอกไม้” ของ Newery โดย มายยู, นาย, ข้าวฟ่าง และ ซัทจัง และ “แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร” ของ เขียนไขและวานิช โดย แพนด้า, วี และ สตางค์ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเพลง ‘บันได’ จาก 12 สมาชิกของโปรเจกต์ดังกล่าวอีกครั้ง และสร้างความประทับใจให้แก่ทั้งแฟนคลับของแต่ละคนและผู้ชมเป็นการส่งท้าย
ภายหลังจากการแสดงคอนเสิร์ตทั้ง 2 รอบสิ้นสุดลง สมาชิกได้กล่าวถึงความรู้สึกถึงสิ่งที่อยากจะทำต่อที่เกี่ยวกับโปรเจกต์นี้ โดยเริ่มจาก นีนี่-พิชญาภา บอกว่า “จะไปเรียนการเล่นคีย์บอร์ดกับเปียโนเพิ่มเติมค่ะ เพราะว่าเริ่มมีความสนใจในดนตรีแนวแจ๊ซ เลยรู้สึกว่าอยากที่จะไปลองเรียนเพิ่มเพื่อนำมาแต่งเพลงของตัวเอง” ส่วน วี-วีรยา ก็บอกว่า “ส่วนหนูก็ว่าจะไปเรียนกีตาร์เพิ่มเติม เพราะชอบเวลาตอนที่ได้ฟังการโซโลกีตาร์ ก็เลยอยากเรียนเพื่อให้ได้รู้พื้นฐาน เพื่อที่จะช่วยในเรื่องการแต่งเพลงเช่นเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้ใช้กีตาร์ในการแต่งเพลง คือเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต ว่าในตอนนั้นเราชอบแนวไหนก็จะนำมาเสนอเข้าไป ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เล่นเองฝึกเอง แต่โดยส่วนตัวก็คือยังไม่พออยู่ดี เลยคิดว่าจะไปเรียนเพิ่มค่ะ”
เมื่อถูกถามถึงการทำเพลงของแต่ละคนว่ามันแตกต่างจากตอนอยู่วงปกติอย่างไร แพนด้า-จิดาภา ก็กล่าวว่า “ก็มีความแตกต่างอยู่นะคะ เพราะถ้าในฐานะเป็นสมาชิกวง อาจจะเรียกว่าเป็นโลกคู่ขนานกัน แต่ว่าโลกคู่ขนานนี้มันก็มีความเชื่อมโยงต่อกันก็คือ เราทำในสิ่งที่รักและก็อยากที่จะเป็นศิลปิน แต่ว่าอาจจะเรียกไม่เหมือนกัน ไอดอลเราอาจจะเป็นทุกอย่าง แต่เราก็ยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง แต่การเป็นศิลปินเราจะต้องยืนอยู่ข้างหน้า และต้องทำด้วยตัวเอง และก็ทำในสิ่งที่เรารักด้วยเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่เป็นโลกคู่ขนานที่เราคิดว่าเราทุกคนตรงนี้มี 2 คน และก็ผ่านการออดิชันเข้ามา และตั้งใจทำออกมาเต็มที่เพื่อให้ไปด้วยกัน”
มาถึงเรื่องประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น ฟอร์จูน-ปัณฑิตา ก็ได้กล่าวว่า “ถ้าในส่วนของ cgm48 ก็จะเป็นน้องนีนี่ และ น้องมิลค์ ซึ่งก็มีการช่วยเหลือกันเท่าที่พอจะทำได้แบบพอถูไถกันไป ซึ่งโดยส่วนตัวเราก็รู้สึกดีใจที่เป็นรุ่นพี่ในโปรเจกต์ แล้วมีประสบการณ์มาแชร์ให้กับน้องๆ ซึ่งตอนที่เราได้รับโอกาสตรงนี้ในตอนแรกนั้นก็ถือว่าได้ประสบการณ์ที่เยอะมาก แล้วในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่โควิดระบาดหนักมากด้วย อาจจะมีความยากลำบากนิดหนึ่งเลยต้องฝึกทุกอย่างผ่านทางโปรแกรมสนทนาออนไลน์ ก็เลยมีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะสามารถทำเพลงได้ แล้วยิ่งอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นด้วย เลยมีความรู้สึกว่าได้ประสบการณ์จากตรงนั้นค่อนข้างเยอะ”
เมื่อถูกถามการก้าวข้ามในการแสดงคอนเสิร์ตที่ผ่านมา ซัทจัง-สวิชญา กล่าวว่า “อย่างกำแพงหลักๆ ของหนูเลยก็คือการร้องเพลงคนเดียว แล้วก็เลือกการที่ทุกคนจะฟังเสียงเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่กลัวมากๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่ แต่คิดว่าการแสดงในวันนี้ ถามว่าทำได้ดีไหม โดยส่วนตัวเราก็ยังถือว่าไม่พอใจมาก แต่ก็ทำให้ทุกคน Enjoy ไปกับการแสดงของเราได้ หนูก็มีความสุขมากๆ ค่ะ” ขณะที่ ปีโป้-จิรัฐิกาล กล่าวว่า “สำหรับหนูคือเป็นสมาชิกอินดี้แคมรุ่นแรกแต่ว่ายังไม่เคยขึ้นเวทีโชว์เดี่ยวมาก่อน วันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เป็นการโชว์เพลงของตัวเอง ถ้ากำแพงที่ว่าก็คงจะเป็นการแสดงโชว์ครั้งแรก แต่พอขึ้นไปแล้วก็คิดแค่ว่าเป็นตัวของตัวเองที่สุด และสนุกไปกับมัน แล้วมันก็จะออกมาดีเอง ซึ่งการแสดงของเราในวันนี้ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ”
ด้าน สตางค์-ตริษา ก็กล่าวว่า “สำหรับหนูน่าจะเป็นเรื่องด้วยที่เราเคยมีโชว์มาก่อน ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเน้นแค่เลือกร้องอย่างเดียว แต่ครั้งนี้ก็ต้องคิดในเรื่องการหาอุปกรณ์เสริม ซึ่งก่อนหน้านี้กีตาร์ก็อาจจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรา แต่ว่าครั้งนี้เราต้องนำกีตาร์มาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราให้ได้ หนูว่าเป็นกำแพงที่ใหญ่ เพราะต้องฝึกฝนเพื่อที่จะทำตรงนี้ได้ เหมือนกับเครื่องดนตรีที่เรานำมาแสดงด้วยก็ต้องเชื่อมโยงกับร่างกายเราให้ได้อย่างที่บอก” ขณะที่ นาย-ภัทรนรินทร์ กล่าวว่า “ส่วนตัวเราก็รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่มีคอนเสิร์ตร่วมกับเพื่อนๆ สมาชิก รวมถึงมีโซโลเดี่ยวในโชว์ด้วย บอกตรงๆว่าเป็นอะไรที่ท้าทายเพราะว่าตั้งแต่ได้รับโอกาสในการมาอยู่ใน Project นี้ แล้วก็มีคอนเสิร์ตเลย ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ท้าทายมากๆ อย่างที่บอก อีกทั้งสมาชิกปีที่ 1 ก็มีประสบการณ์มาก่อนหน้าอีก เขาก็มาถามเราบ่อยว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วก็ให้คำแนะนำที่ดีมาก ซึ่งคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็ต้องบอกว่ามันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ มันเป็นบันไดที่เราก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แล้วก็หลังจากวันนี้ไปเราก็จะก้าวไปสู่การเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว ในขั้นบันไดต่อ แล้วมีความรู้สึกอบอุ่นมากๆ ที่เพื่อนๆพี่ๆ น้องๆ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือกับเราตลอด เลยมีความรู้สึกแฮปปี้ค่ะ” ก่อนที่ ข้าวฟ่าง-ญาณิศา ปิดท้ายว่า “อย่างที่พี่นายบอกไปค่ะว่า การที่เรายืนคนเดียวแบบจริงจังแล้วก็ครั้งนี้มันก็เป็นสเกลที่ใหญ่มากๆ ด้วย ก็รู้สึกกดดันมากๆ แต่ว่าสุดท้ายก็ก้าวข้ามผ่านมันมาได้เพราะว่าทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ ที่คอยช่วยเหลือ คณะคุณครูที่คอยให้กำลังใจ รวมถึงทุกคนด้วยที่ส่งกำลังใจให้พวกเรา ก็รู้สึกว่า คือมันอาจจะยังไม่ได้ดีมาก ในการแสดงลักษณะนี้ครั้งแรก แต่ว่าเราก็จะเก็บทุกๆ อย่างในครั้งนี้มาเป็นประสบการณ์ ก็จะทำครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้”
เมื่อถูกถามในเรื่องจากไอดอลมาสู่สถานะศิลปิน คิดว่าจะรับมือกับสถานะนี้อย่างไรต่อไปหลังจากนี้ สตางค์-ตริษา กล่าวว่า “ตอบได้เลยว่ากดดันมากๆ ค่ะ แล้วบางคนก็ถึงขั้นร้องไห้เลยก็มี แต่ถ้าเชื่อว่ามีเป้าหมายที่ค่อนข้างชัดเจน ทุกคนน่าจะไปให้ถึงจุดนั้นได้ค่ะ” ด้าน นาย-ภัทรนรินทร์ กล่าวว่า “สิ่งที่ประสบความสำเร็จจากการโชว์ในครั้งนี้หนูคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของผลตอบรับจากแฟนคลับของทุกคน ก็คือเขาลืมภาพลักษณ์จากการที่เราเป็นไอดอลไป คือไม่ได้บอกว่าเราไม่ได้เป็นไอดอลนะคะแต่ว่าการที่ได้ก้าวข้ามมาเป็นสถานะศิลปิน แล้วเขามองพวกเราในฐานะศิลปินเราก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่เขาได้มองภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไป ได้เห็นในตัวตนที่เราอยากจะนำเสนอความสามารถออกไป”