การหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้ เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาหลายแห่งในหลายประเทศ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย มันไม่ใช่เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ไม่ครบถ้วน แต่ว่ามันเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดให้มีความรู้สึกเป็นอคติต่อบรรพบุรุษของประเทศชาติ
หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ “คุณปลื้ม” พิธีกร และผู้ดำเนินรายการข่าว เผยแพร่บทความเรื่อง “สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง อาจนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน เรื่องนี้ แค่ตั้งคำถามก็ผิดแล้ว” มีรายละเอียดดังนี้
สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง ฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่สวยหรู แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าจะอธิบายความให้เป็นภาษาที่เข้าใจตรงกันอย่างเหมาะสมมากกว่าคือสิทธิในการกำหนดตามใจตนเอง ในภาษาอังกฤษ สิ่งนี้เรียกว่า Self Determination มันเป็นหนึ่งในเหตุผลและเป็นหนึ่งในขั้นตอนซึ่งนำมาสู่การกล่าวอ้างว่าการที่พลเมืองกลุ่มหนึ่งอยู่ในประเทศหนึ่งแล้วไม่มีความสุขและไม่ได้สิ่งที่ต้องการ พลเมืองกลุ่มนั้นย่อมมีสิทธิในการประกาศเจตนารมณ์ในการปกครองตนเอง ด้วยการเสนอคำถามต่อพลเมืองกลุ่มนั้นว่ามีความต้องการที่จะปกครองตนเองหรือไม่
เอาจริงๆ แล้วเรื่อง Self Determination ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การกำหนดสิทธิตามใจตนเองนั้น เมื่อนำมาใช้ในทางปฏิบัติสร้างปัญหาทางด้านความมั่นคงให้กับหลายประเทศมากมาย เหตุก็เพราะว่าในที่สุดแล้วในทุกๆ ประเทศทั่วโลกนั้นล้วนแล้วแต่มีปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาทางสังคม รวมไปถึงปัญหาทางการเมือง ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตในประเทศนั้นๆ ย่อมมีปัญหา ย่อมมีประเด็นที่ทำให้พลเมืองนั้นไม่มีความสุขและมีความไม่พอใจต่อผู้ซึ่งมีอำนาจทางการปกครอง เพราะฉะนั้น การที่จะเปิดโอกาสให้มีการตั้งคำถามต่อประชาชนว่าต้องการสิทธิในการปกครองตนเองหรือไม่ มันเป็นคำถามซึ่งแท้จริงแล้ว ถ้าคุณไปถามคนทั่วไปในมลรัฐใดมลรัฐหนึ่ง หรือในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งของประเทศซึ่งมีบูรณาภาพทางด้านดินแดนอยู่ มันย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วที่พลเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอาจจะต้องการแสดงเจตนารมณ์ในการปกครองตนเอง
นั่นคือเหตุผลที่ว่าแนวคิดเรื่อง Self Determination นั้นมีความจำเป็นที่จะถูกจำกัดไว้สำหรับเป็นกรณีซึ่งเอาไว้ใช้ในการเรียนการสอนเท่านั้น การนำแนวคิดเรื่อง Self Determination หรือการกำหนดชะตากรรมในการปกครองตามแนวทางที่พลเมืองนั้นเลือกเอง โดยที่มีสิทธิในการที่จะเลือกสถาปนาอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่อาณาเขตทางการปกครอง ปูทางไปสู่การสร้างอำนาจในกลุ่มพวกพ้องของตนเองนั้น มันนำไปสู่ความแตกแยกของแผ่นดิน
ถึงแม้ว่า ณ เวลานี้อาจจะไม่ได้มีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่สนับสนุนแนวคิดในการทำประชามติถามสิทธิในการปกครองตนเองอย่างตรงไปตรงมา อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่าหลายพรรคการเมืองนั้นเลือกที่จะตีจากและเว้นระยะห่างจากผู้ที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้อยู่ ไม่ได้แปลความว่ามันไม่ได้มีภัยอันตรายต่อบูรณาภาพแห่งดินแดน แปลความอีกทางหนึ่งก็คือว่าสิ่งที่อันตรายที่สุด อาจจะไม่ใช่เป็นการเคลื่อนไหวโดยตรงของผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองใดๆ แต่กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือความพยายามในการหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดของนักศึกษาบางกลุ่มและนักวิชาการบางค่ายที่ได้รับการอบรมมาให้มีความ Nostalgia อย่างผิดๆ และเข้าใจประวัติศาสตร์อันไม่ถ่องแท้ เกี่ยวกับอดีตของผืนแผ่นดินซึ่งในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย
การหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้ เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาหลายแห่งในหลายประเทศ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย มันไม่ใช่เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ไม่ครบถ้วน แต่ว่ามันเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดให้มีความรู้สึกเป็นอคติต่อบรรพบุรุษของประเทศชาติ การหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้ เกิดขึ้นด้วยการบ่มเพาะจากสถาบันทางวิชาการ แต่ว่ามีผล Trickle Down มาสู่นักศึกษาที่มีความต้องการในการเคลื่อนไหว ส่วนตัวนักศึกษาที่มีความต้องการในการเคลื่อนไหวก็จับประเด็นนี้ชูขึ้นมา เป็นสิ่งที่ตนเองรู้สึกว่าต้องการสร้างบ้านเมืองซึ่งปราศจากการกดขี่และมีความใฝ่ฝันผิดๆ ว่า ถ้าเกิดมีประเทศใหม่ของตนเองนั้นจะเป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความผาสุกอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความเพ้อฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และไม่ควรเป็น
ราชอาณาจักรไทยนั้นคือประเทศซึ่งให้ทั้งสิทธิและเสรีภาพและความเสมอภาคต่อกลุ่มคนทุกๆ กลุ่ม โดยที่ไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ซึ่งนับถือศาสนาใดๆ เลยทั้งสิ้น เรามีความเป็นพหุนิยมทางด้านวัฒนธรรม เรามีความเป็นพหุนิยมทางด้านศาสนา และราชอาณาจักรไทยนั้นให้เสรีภาพมากไม่น้อยกว่าประเทศไหนในโลกเลยด้วยซ้ำไป ในกรณีของสิทธิผู้ซึ่งมีความเชื่อในมิติทางด้านศาสนา ซึ่งแตกต่าง
ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างตรงไปตรงมาอย่างชัดแจ้งของพรรคการเมืองหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใดก็ตาม ความพร้อมของการหว่านเมล็ดพันธุ์นั้น ในที่สุดแล้ว พี่น้องประชาชนในภาคใต้ของเราจะถูกชักนำให้เชื่อในความเป็นไปได้ ในการปกครองตนเองในรูปแบบที่เป็นกึ่งสหพันธรัฐ หรือในรูปแบบที่เป็นการสร้างบูรณภาพทางดินแดนอย่างเป็นทางการที่แยกออกไปจากราชอาณาจักรไทย ความพร้อมในการหว่านเมล็ดพันธุ์ในลักษณะนี้ย่อมได้เกิดขึ้นแล้วและมีขึ้นในสถาบันการศึกษา
สิ่งที่ฝังอยู่ในจิตใจของนักศึกษาซึ่งเคลื่อนไหวเรื่องนี้คือความพร้อมในการสนับสนุนให้มีการปลดแอก ด้วยการอ้างว่าสิทธิที่จะทำตามใจตนเองนั้น เป็นสิ่งที่พึงมีถ้าเกิดว่าเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยจริง แท้ที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ภายใต้โลกที่เป็นระบอบ Nation-State (ระบอบรัฐ-ชาติ) สิทธิในการกำหนดตามใจตนเองว่าจะมีเขตปกครองตนเองได้นั้น มันไม่ได้เป็นสิทธิที่มีอยู่เลยในรัฐธรรมนูญ และเมื่อเป็นเช่นนั้น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รวมไปถึงกองทัพภาคที่ 4 ต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการดำเนินคดีและรวมไปถึงความพร้อมเพรียงในการปรับทัศนคติ ผู้ซึ่งได้ทำการหว่านเมล็ดพันธุ์ทางวิชาการให้พลเมืองมีความฝักใฝ่ที่จะต้องการแยกดินแดน
สิ่งที่ร้ายกาจ ไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเปิดเผยหรอก เพราะสิ่งนั้นย่อมไม่มี แต่สิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย คือการหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้ว่าสามารถมีความสุขได้มากกว่า หากเป็นพลเมืองของแผ่นดินใหม่ซึ่งแยกออกมาจากแผ่นดินไทย ทัศนคตินั้นจะมีการปล่อยให้มีการหว่านเมล็ดพันธุ์กันอยู่มิได้โดยเด็ดขาด
ผู้ซึ่งพยายามที่จะกล่าวอ้างว่าการตั้งคำถามเฉยๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย ผู้นั้นไม่เข้าใจเลยว่าการตั้งคำถามในช่วงสถานการณ์ที่พลเมืองอาจจะมีมุมมองที่ไม่ไว้วางใจผู้ซึ่งมีอำนาจอยู่ในการบริหาร หรือเพียงไม่พอใจกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมเฉยๆ อาจจะนำไปสู่คำตอบซึ่งมีความผูกมัดและดันไปเปิดให้มีความชอบธรรมทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้นเรื่องการกำหนดตามใจตนเอง สิทธิในการปกครอง เป็นสิ่งที่แม้แต่ตั้งคำถามก็ผิดแล้ว และการตั้งคำถามนั้นจะนำไปสู่การทำโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คำตอบในที่สุดเกินกว่าร้อยละ 50 ออกมาเป็นคำตอบที่ตอบรับ Yes และเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าฝ่ายความมั่นคงไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ในที่สุดแล้ว ความพยายามในการทำโฆษณาชวนเชื่อ รวมถึงการฝังในจิตใจ โอกาสในการที่จะมีวันที่จะแยกดินแดนนั้นจะนำไปสู่ความสำเร็จของฝ่าย Separatist Movement ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เป็นเพียง Mini-Separatist Movement
ตัวอย่างในโลกซึ่งการทำประชามตินำไปสู่การแบ่งแยกจริงๆ นั้นมีเยอะแยะมากมาย เท่าที่เราทุกคนสามารถจำได้ แน่นอน รวมไปถึงการทำประชามติในปี ค.ศ. 1999 ที่ติมอร์ตะวันออกสามารถแยกตัวออกมาและในปัจจุบันกลายเป็นประเทศติมอร์-เลสเต นอกเหนือไปจากนั้นการทำประชามติ ถึงแม้ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในการแยกดินแดน สร้างความร้าวฉานอย่างมากและสร้างความแตกแยกภายในประเทศอย่างสูง ในกรณีของประเทศสเปน เมื่อแคว้นกาตาลันมีการทำประชามติ และประชาชนกลับโหวตรับข้อเสนอในประชามติ เมื่อโหวต Yes นำมาสู่ความชอบธรรมในการแยกดินแดนและเมื่อหน่วยงานรัฐกลางไม่ยอมให้มีการแยกดินแดนจริง ปัญหาตามมาเยอะแยะมากมายซึ่งนำมาสู่ความร้าวฉานในประเทศชาติ เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งคำถามก็เป็นปัญหาสร้างความแตกแยกในประเทศชาติอย่างสูง
การปล่อยให้มีการตั้งคำถามในเรื่องนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่สามารถทำได้ ตราบใดที่ยังมีเจตนารมณ์ที่จะต้องการรักษาไว้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของราชอาณาจักรไทย ความเป็นซ้ายสุดโต่งในยุคปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่เอาจริงๆ แล้ว แม้กระทั่งนักวิชาการและนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยหลายคนยังไม่ทัน เพราะว่าแนวคิดล้วนแล้วแต่มาในคราบการอ้างเสรีภาพ
ในยุคคอมมิวนิสต์ แนวคิดแต่ละเรื่องจะมาในคราบของการอ้างการสร้างความเสมอภาค แต่ในยุคปัจจบุัน แนวคิดมาในคราบของการอ้างเสรีภาพ ความเป็นซ้ายสุดโต่งนี้ เปิดโอกาสให้มีการอ้างเสรีภาพ แม้กระทั่งในเรื่องซึ่งบางทีเราอาจคิดไม่ถึง แต่ว่าเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ และนั่นก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะสามารถประกาศหย่าร้างบิดามารดาของตนเองได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในระบบกฎหมายในหลายประเทศของโลกตะวันตก ภัยคุกคามในยุคปัจจุบันซึ่งมาในรูปแบบของการอ้างสิทธิ เสรีภาพ เพื่อทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ถ้าเราคล้อยตามสิ่งที่มาในคราบของเสรีภาพ แต่แท้ที่จริงแล้วสร้างความแตกแยกในแผ่นดิน ประเทศไทยในรูปแบบที่เรามีอยู่ในยุคปัจจุบันจะไม่ใช่สิ่งที่เหลืออยู่ในเวลาที่รุ่นลูกรุ่นหลานเราเติบโตขึ้น