หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าโพสต์ชี้แจงประเด็นภาพถ่ายคู่รถหรูทะเบียน 151 โดนชาวเน็ตวิจารณ์ต้องการสื่ออะไรถึง "พิธา" หรือไม่ เจ้าตัวยันไม่มีเจตนา แค่เรื่องบังเอิญ ส่วนตัวไม่ชอบการแซะอะไรไร้สาระแบบนี้
จากกรณี กกต.มีมติเอกฉันท์ไม่รับสอบปมคุณสมบัติ “พิธา” กรณีถือหุ้น ITV เหตุเลยเวลายื่นคำร้อง แต่มีข้อมูลพอสืบสวนได้ว่ามีลักษณะต้องห้าม จึงรับไว้เป็นกรณี “ความปรากฏ” รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิแต่ยังสมัคร ส.ส. เตรียมตั้งคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนเอาผิดตาม ม.151 ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. พบว่ามีการแชร์ภาพของ นายกรณ์ จาติกวณิช ถ่ายรูปซึ่งมีพื้นหลังเป็นรถยนต์ยี่ห้อหรูแต่ชาวเน็ตกลับไปโฟกัสที่เลขทะเบียน 151 จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าต้องการนำมาล้อเลียน "นายพิธา" หรือไม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงในประเด็นภาพดังกล่าว โดยเจ้าตัวได้เปิดเผยว่า
"เห็นมีคนเอาภาพนี้ไปดรามากัน ขอชี้แจงสั้นๆ ตรงนี้ครับ
ภาพนี้ผู้ช่วยผมถ่ายตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว เป็นวันสบายๆ รับประทานอาหารเช้ากัน เขาเห็นผมถือตะกร้าให้ภรรยา และบอกว่ามันเข้ากับสีเสื้อที่ใส่ก็เลยถ่ายไว้ แล้วเอาไปโพสต์ส่วนตัวของเขา รถคันนี้จอดอยู่ลานจอดรถ หน้าร้านคาเฟ่ จอดอยู่หลายคัน รถใครก็ไม่ทราบ (ต้องขออภัยต่อเจ้าของรถด้วยนะครับที่กลายเป็นดรามา) วันที่โพสต์ยังไม่มีข่าวเรื่องมาตรา 151 หรืออะไรเลย ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่เป็นเรื่องอย่างสิ้นเชิง ขอบอกว่าผู้ช่วยผมไม่ได้มีเจตนาอันใด และเดิมทีผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีการโพสต์รูปนี้
ส่วนตัวนั้นผมไม่ชอบการแซะอะไรไร้สาระแบบนี้
ส่วนในกรณีปัญหาทางกฎหมายของคุณพิธานั้น ผมรู้สึกเสียดายที่มีอุปสรรคมากมาย กีดกันความต้องการของประชาชนจำนวนหนึ่งที่จะได้นายกฯ ที่เขาเลือกมา ผมเองแสดงความเห็นไว้ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งว่าผมอยากให้การรวมตัวตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่ 1 กับพรรคที่ 2 ประสบความสำเร็จ และความเห็นผมที่อยากให้ระบอบประชาธิปไตยของเราเดินหน้าไปอย่างราบรื่นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้หลังจากที่แฟนคลับพรรคส้มได้กดดันให้คุณพิธากลับคำในการเชิญพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับด่าทอ กล่าวหาผมต่างๆ นานา ซึ่งผมก็ไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลหรือคุณพิธาแม้แต่ครั้งเดียว
ในทางตรงกันข้าม ช่วงที่ผ่านมามีคนที่ผมรู้จักมากมายที่เลือกพรรคก้าวไกล และมาบ่นกับผมว่าผิดหวังในหลายๆ การแสดงออกของคนของพรรค ไปจนถึงเรื่องนโยบายที่หาเสียงไว้และส่งสัญญาณว่ายังอาจจะทำไม่ได้ ผมก็บอกให้ทุกคนใจเย็น ให้โอกาสเขาก่อน ดังนั้นผมอยากเห็นทุกท่านตั้งสติกันหน่อยครับ โอกาสมันมากับความรับผิดชอบ และเป็นดาบสองคมเสมอ
ส่วนประเด็นเรื่องกฎหมายก็เป็นเรื่องที่นักการเมืองทุกคนต้องตระหนักและให้ความสำคัญ
ผมเองก็เคยโดนพรรคอนาคตใหม่ยื่นร้องเรียนเพื่อถอดถอนผมจากการเป็น ส.ส. ด้วยกฎหมายเดียวกัน คือได้กล่าวหาว่าผมถือหุ้นสื่อ ทั้งๆ ที่หุ้นที่ผมถือนั้นคือบริษัท ‘เกษตรเข้มแข็ง’ ที่ผมและทีมตั้งขึ้นมานำร่องทำนโยบายเกษตรพรีเมียมช่วยชาวนาไทย
ประเด็นถือหุ้นสื่อ ผม (และเพื่อนส.ส.อีกหลายสิบคนที่ถูกกล่าวหาโดยอนาคตใหม่) ก็ต่อสู้ทางกฎหมายและชี้แจงตามข้อเท็จจริงไป ซึ่งส่วนตัวนั้นผมมองว่ากฎหมายนี้หยุมหยิมเกินไป และส่วนตัวไม่เคยยื่นฟ้องร้องใครด้วยกฎหมายนี้ แต่ก็เคารพสิทธิของอนาคตใหม่ในวันนั้นที่จะใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
พูดไปคนเชื่อก็คงเชื่อ คนที่มีอคติก็คงเลือกที่จะไม่เชื่อ แต่ผมขอพูดแค่ว่า คนที่รู้จักผมดีจะรู้ว่า ถ้าผมจะว่าอะไรใคร ผมไม่มาแอบแซะโง่ๆ แบบนี้ครับ ผมซัดตรงๆ แน่นอน"