“สนธิ” ฟันธง “ศิริกัญญา” ไม่เหมาะเป็น รมว.คลัง เป็นได้อย่างมากแค่ที่ปรึกษานายกฯ ชี้ยังขาดความรู้รอบด้าน คำให้สัมภาษณ์ไม่สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน เดินตามแนวทางสุดโต่งของพรรคก้าวไกล แทนที่จะกินข้าวทีละคำกลับเอาข้าวทั้งหม้อยัดใส่ปาก ซ้ำไม่รู้เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ มีอคติหาว่าเศรษฐกิจไทยโตช้าเพราะพึ่งพาจีน
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ตัวเต็งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดใหม่ ทางเว็บไซต์ลงทุนแมน (longtunman) และ BillionMoney เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในหัวข้อ “ทลายทุนผูกขาด และการเก็บภาษีความมั่งคั่ง” ซึ่งตนไม่ได้รังเกียจคนที่เป็นผู้หญิงจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอายุ 42 ปีก็ถือว่ามีวุฒิภาวะมากพอ แต่ที่เป็นห่วงก็คือจากการให้สัมภาษณ์และแนวคิดของเธอนั้น ทำให้ไม่แน่ใจว่าเธอเหมาะที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือไม่ โดยความคิดส่วนตัว เธอเหมาะที่จะเป็นประธานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีมากกว่า
นายสนธิ กล่าวว่า ก่อนการเลือกตั้งพรรคก้าวไกลก็เหมือนกับพรรคการเมืองทุกพรรค คือนำเสนอเศรษฐกิจแบบแนวประชานิยม เน้นนโยบายแก้ปากท้องประชาชน ยกตัวอย่าง ขึ้นค่าแรงทันที 450 บาท ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้าเกิน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลา แจกเงินเด็กเล็ก 1,200 บาททุกเดือน แจกเงินผู้สูงอายุ 3,000 บาททุกเดือน ให้สิทธิลาคลอดถึง 6 เดือน ลดค่าไฟทันที 70 สตางค์ต่อหน่วย รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด น้ำประปาดื่มได้
ทั้งหมดนี้คือนโยบายที่ น.ส.ศิริกัญญาอ้างว่าเป็นนโยบายสวัสดิการก้าวหน้า ตั้งแต่เกิดจนตาย คำนวณมาแล้วว่าต้องมีงบประมาณราวปีละ 650,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มีประการหนึ่ง พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ มี Think Tank ของตัวเอง เรียกว่า "ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต" ไม่ได้ทำนโยบายเหมือนพรรคการเมืองรุ่นเก่าทั่วไป น.ส.ศิริกัญญา ได้แจกแจงว่าเงิน 650,000 ล้านบาท จะเอามาจากไหนบ้าง โดยบอกว่า 50,000 ล้าน ลดขนาดกองทัพ เรียกคืนธุรกิจกองทัพ 30,000 ล้านลดงบกลาง 60,000 ล้านมาจากการเก็บภาษีความมั่งคั่งผู้ที่มีทรัพย์สินเกิน 300 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 300 ล้านบาท จะเก็บภาษี 0.5 เปอร์เซ็นต์ 150,000 ล้านมาจากการขึ้นภาษีที่ดินรายแปลงและรวมแปลง 92,000 ล้านบาท มาจากการขึ้นภาษีนิติบุคคลทุนใหญ่ 50,000 ล้านบาท จากนโยบายหวยบนดิน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเก็บภาษีที่เกี่ยวพันกับตลาดหุ้น ตลาดทุนอีกหลายประการ
ความเห็นของ น.ส.ศิริกัญญาและนโยบายของพรรคก้าวไกลนั้นทำให้ตลาดทุนซวนเซมาก ก้าวไกลชนะเลือกตั้ง แต่หุ้นร่วงระนาว และคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ศิริกัญญามีผลลบต่อตลาดทุน หลายๆ เรื่องที่เสนออกมานั้น เป็นการเปิดประตูสำหรับความคิดแบบใหม่ๆ แต่การเปิดประตูนั้น น.ส.ศิริกัญญายังขาดประสบการณ์ในการทำงาน ทำให้ไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำปรับทันทีเป็น 450 บาท ทำให้สภาอุตสาหกรรมฯ ต้องโวยวายออกมา แล้วทุกคนก็ยืนยันว่า ปรับเมื่อไรก็จะย้ายการลงทุนออกจากประเทศไทยทันที อันเป็นผลทำให้ในที่สุดแล้ว หลังจากที่เธอโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสภาอุตสาหกรรมฯ หลายๆ ฝ่าย และตลอดจนนักลงทุน ทำให้เธอต้องถอยออกมาว่าไม่ใช่ 450 บาทแล้ว
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ตกไปต่ำสุด จาก 1,500 กว่า 1,540-1,490 จุด เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว หลังจาก น.ส.ศิริกัญญาไปให้สัมภาษณ์ในหัวข้อ "ทลายทุนผูกขาด และการเก็บภาษีความมั่งคั่ง" เธอเชื่อมโยงถึงตลาดทุน ค่าแรง ตลาดแรงงาน การแก้สัญญาสัมปทาน การเก็บภาษีต่างๆ ทำให้นักธุรกิจหรือนักลงทุนรายใหญ่ รายย่อย นักเศรษฐศาสตร์ และประชาชนอีกจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ตลาดเงิน และธุรกิจทั้งหลายเริ่มเกิดความไม่เชื่อมั่นมาเป็นร้อยเท่าทวีคูณ
“หลายคนพูดชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลมีนโยบายเศรษฐกิจที่สุดโต่ง ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาของนโยบายพรรคก้าวไกลที่สุดโต่งทุกเรื่องเลย โดยไม่คำนึงถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ ว่าจะทำแบบนี้ ทำตรงนี้ก่อนได้ไหม ทานข้าวก็ควรจะทานทีละคำ
“นโยบายพรรคก้าวไกล รวมถึงนโยบายการคลังของคุณศิริกัญญา ก็คือว่า ถ้าจะทานข้าวไม่ต้องทานทีละคำ เอาทั้งหม้อข้าวยัดใส่ปากเข้าไปเลย หลายคนเปรียบเปรยว่าพรรคก้าวไกลขายความเป็นประชาธิปไตย แต่นโยบายกลับเป็นคอมมิวนิสต์”
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่า คนจำนวนมากหรืออาจจะคนส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ เลือกนโยบายพรรคก้าวไกล แต่ไม่ได้อ่านนโยบายเศรษฐกิจอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลายคนเลือกพรรคก้าวไกลเพียงเพราะคิดว่าเป็นพรรคทางเลือกในการจัดการระบอบอำนาจนิยมของทหาร พูดง่ายๆ ว่า เบื่อลุงตู่ ลุงป้อม และลุงป๊อก ปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน เศรษฐกิจ สังคม แต่คนจำนวนไม่น้อยนึกไม่ถึงว่าพรรคก้าวไกลมาได้อันดับหนึ่ง และหลายคนก็ไม่เคยคิดว่า น.ส.ศิริกัญญา จะได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หลายคนศึกษาประวัติ แนวคิด น.ส.ศิริกัญญาแล้วบอกว่าเธออาจจะเป็นได้แค่ที่ปรึกษา ขาดความเหมาะสมที่จะเป็นรัฐมนตรีฯ คลังอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เธอเน้นเหลือเกินเรื่องการเก็บภาษี เพื่อมาไฟแนนซ์นโยบายประชานิยมของพรรค แต่เธอไม่สามารถถ่ายทอดนโยบายที่สร้างความเชื่อมั่นและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนได้แต่อย่างใด
ประเทศไทยไม่ใช่ Sandbox ทดลองนโยบาย
ความผิดหวังและความไม่เชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจพรรคก้าวไกลมิได้เพียงสะท้อนผ่านความเห็นผู้ที่ชมการให้สัมภาษณ์เท่านั้น แม้กระทั่งพิธีกรชายที่สัมภาษณ์ น.ส.ศิริกัญญาในการรายการดังกล่าว คือนายเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ก็ได้ออกมาให้ความเห็นเช่นกัน โดยบอกว่า ประเทศไทยไม่ใช่ Sandbox ให้มาทดลองนโยบาย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า เศรษฐกิจไทยไม่ใช่ที่ทดลองงานของมือใหม่หัดขับทางเศรษฐกิจ
“ตอนหนึ่งของความเห็นของคุณเฉลิมพรบอกว่า การมองปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้นั้น (นี่ผมพูดเองนะครับ ... คุณศิริกัญญามองง่ายเกินไป เหมือนกับการไปซื้อขนมริมถนนแล้วก็กิน คือมันช่างง่ายเหลือเกิน) คุณศิริกัญญา "มองปัญหาความเหลื่อมบ้ำแบบง่ายเกินไป คือมองเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนายทุนกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน คนรวยกับคนจน ทั้งที่สังคมมันซับซ้อนกว่านั้นมาก ยังมีคนอีกมหาศาลที่ยืนอยู่ตรงกลาง และจะต้องโดนลูกหลงจากสงครามที่คุณศิริกัญญาต้องการจะให้เกิดขึ้น"
“คุณเฉลิมพรพูดสรุปง่ายๆ ว่า "แม้แรงงานและเกษตรกรคือรากฐานของประเทศ แต่ชนชั้นกลางคือคนขับเคลื่อนประเทศครับ คนกลุ่มนี้คือฐานรายได้ภาษีของรัฐขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับการเป็นผู้บริโภคหลังของเศรษฐกิจ ทำงานเก่ง ใช้เงินเก่ง ถ้าคนกลุ่มนี้ไม่โต ประเทศก็โตยาก แถมจะเปลี่ยนมากี่รัฐบาล คนกลุ่มนี้ก็ถูกลืมตลอด เพราะไม่รวยพอที่จะได้ประโยชน์จากรัฐ และไม่จนพอที่รัฐจะมาช่วยเหลือ ได้แต่ก้มหน้าดูแลตัวเองไปเงียบๆ"
“คุณเฉลิมพร ระบุอีกว่า จากนโยบายหลายๆ อย่างของก้าวไกล ฟังแล้วน่าจะไม่เอื้อต่อตลาดทุน ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดหุ้นไทยที่แทบไม่โตอยู่แล้ว แย่ลงไปอีก โอกาสที่ชนชั้นกลางจะสร้าง wealth ก็น้อยลงไปอีก แถมตลาดทุนคือเครื่องมือในการระดมทุนที่ดีที่สุดทางหนึ่ง ถ้าเครื่องมือนี้ง่อยเปลี้ย เศรษฐกิจย่อมมีปัญหา"
“ตอนท้าย คุณเฉลิมพร พูดว่า "ผมเห็นด้วยกับก้าวไกลว่าประเทศนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง และเข้าใจดีว่าก้าวไกลก็แบกความกดดันจากสิ่งที่ประกาศหาเสียงเอาไว้ แต่ต้อง make sure ว่าการเปลี่ยน เปลี่ยนแล้วต้องดีขึ้น เพราะประเทศไม่ใช่ sand box ให้มาทดลองนโยบาย (โดยที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงานเลยแม้แต่นิดเดียว)”
ขาใหญ่ในวงการลงทุน แนะยกเลิกทุกนโยบายว่าที่รัฐบาล
นายสนธิ กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ประชาชนที่ขาดความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลอย่างรุนแรง แม้แต่ขาใหญ่ในวงการลงทุน ผู้บริหารกองทุนขนาดใหญ่ในตลาดทุนไทย อย่างเช่น นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ทำอย่างไรหุ้นถึงจะขึ้น ยกเลิกทุกนโยบายของว่าที่รัฐบาล เขียวทั้งกระดานทันที”
“ก็คือพูดง่ายๆ ว่า คุณวรวรรณพูดไม่ผิด เนื่องจากนโยบายของว่าที่รัฐบาลนี้เป็นนโยบายที่เพ้อเจ้อ เพ้อฝัน นี่ผมพูดเองนะ คุณวรวรรณท่านไม่ได้พูด แต่หลักๆ ก็คือว่าพวกคุณน่ะเลอะเทอะ จะกินข้าวทั้งทีไม่รู้จักกินทีละคำ อยากให้กินเร็ว ก็กินทีละคำแต่ให้มันเร็วหน่อย ไม่ใช่ยัดทะนาน เอาข้าวทั้งหม้อใส่เข้าไปในปาก” นายสนธิ กล่าว
โพสต์ดังกล่าวของนางวรวรรณ ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่สำคัญ นักลงทุนเข้ามาแสดงความเห็นด้วย แต่กลับถูกพวก “คอนด้อมส้ม” จัดทัวร์ไปลงอย่างหนัก ก็เลยออกมาโพสต์อีกข้อความหนึ่ง ซึ่งเจ็บมาก บอกว่า "เลือกเขามาแล้วจนได้เสียงสูงสุดแล้วทำไมอ่อนไหวกับอะไรที่ง่ายๆ เล่า ความไม่มั่นใจของแฟนคลับที่แสดงออกในเชิงลบต่อผู้อื่นจะทำลายความน่าศรัทธาของพรรคลงไปอย่างน่าเสียดายนะ ขอบอก"
นายสนธิ กล่าวว่า การแสดงอาการเกรี้ยวกราด หยาบคาย จัดทัวร์ไปลงกับผู้ที่เห็นต่าง หรือที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลอย่างตรงไปตรงมานั้น กำลังทำให้เกิดการก่อตัวและขยายตัวขึ้นมากๆ จากประชาชน ทั้งกลุ่มที่เลือกก้าวไกล และไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่การกระทำของคนที่เคารพในกติกาประชาธิปไตยที่พรรคก้าวไกลชอบอ้างมาตลอดเวลาว่าเคารพในประชาธิปไตย แต่การกระทำคือการแสดงออกถึงความเป็นเผด็จการ ถ้าใครเห็นต่าง ไม่ได้ ต้องไล่ล่า จัดทัวร์ไปลง รุมด่าทอ ดิสเครดิตทุกวิถีทาง สุดท้ายจะนำไปสู่ความเสื่อมของพรรคก้าวไกลในที่สุด
อคติหาว่าไทยยึดติดตลาดจีนมากเกินไป
นายสนธิ กล่าวว่า อีกประเด็นซึ่งเข้าใจว่า น.ส.ศิริกัญญาพูดด้วยความที่ตัวเองนั้นเป็นนักวิชาการทางตะวันตก มองปัญหาทางเศรษฐกิจแบบตะวันตก ซึ่งก็สอดคล้องกับนิสัยใจคอและพฤติกรรม ตลอดจนจริตของผู้นำพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และหลายๆ คนที่มีอำนาจอยู่ในพรรคก้าวไกล ก็เป็นคนที่อิงฝรั่ง ฝรั่งทำอะไรก็ถูกหมดทุกอย่าง
น.ส.ศิริกัญญาได้พูดคำหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นการหลงทาง โดยบอกว่าเศรษฐกิจไทยโตช้า เพราะยึดติดกับตลาดจีนมากเกินไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมีอคติ ไม่ได้ใช้หลักการ ไม่ได้ใช้ความจริงมาวิเคราะห์ แต่อคติกับประเทศจีน
“ผมไม่อยากจะตือนหรอกว่า คุณศิริกัญญาก็ลูกเจ๊กเหมือนผม คุณคนแต้จิ๋ว ผมคนไหหลำ พ่อของคุณศิริกัญญาทำธุรกิจเรื่องรถเมล์อยู่ที่จังหวัดชลบุรี คุณศิริกัญญาเป็นลูกคนเล็ก คุณศิริกัญญายอมรับว่าเป็นคนดื้อ เอาแต่ใจตัวเอง งานนี้คุณศิริกัญญาให้สัมภาษณ์แบบเอาแต่ใจตัวเองจริงๆ โดยที่ไม่ได้ดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร”
นายสนธิ กล่าวว่า น.ส.ศิริกัญญาให้สัมภาษณ์แบบนี้ก็เลยกลายเป็นประเด็น คนก็เลยย้อนดูคำพูดบรรยายการหาเสียงของ น.ส.ศิริกัญญาในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา พบว่าเธอเพียงให้ความเห็นเรื่องเศรษฐกิจการคลัง ตลาดเงิน ตลาดทุน การค้า ภาษี แต่ 2 เดือนที่แล้วเธอยังกล่าวเป็นประเด็นนโยบายการค้า การลงทุน เอาไว้ว่า เศรษฐกิจไทยโตช้าเพราะยึดติดกับตลาดจีนมากเกินไป
เธอไปบรรยายพิเศษ เปิดวิสัยทัศน์นโยบาย SMEs พรรคก้าวไกล ในหัวข้อ "ห่วงโซ่ตลาดโลก 2023 การตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจประเทศใหม่ๆ" ซึ่งเธอบรรยาย 45 นาที เธอพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจไทยกับจีนถึงสองครั้ง ทั้งสองครั้งเธอพูดชัดเจนว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยโตช้าเพราะยึดติดกับตลาดจีนมากเกินไป
ประเด็นคือคนที่ฟัง น.ส.ศิริกัญญาพูด ก็ตั้งคำถามกับ น.ส.ศิริกัญญาเหมือนกัน ว่า เศรษฐกิจไทยที่โตช้าเพราะเราพึ่งพิง ยึดติดกับตลาดจีนมากเกินไป จริงหรือเปล่า ? แล้วถ้าไม่พึ่งพิง ยึดติดกับตลาดจีน ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก เป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดเรา ในปีนี้เศรษฐกิจจีนตั้งเป้าจะโตอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงมากในระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เราจะไปพึ่งเศรษฐกิจใคร
“คุณศิริกัญญา ถ้าคุณไม่พึ่งจีน คุณจะพึ่งอเมริกา หรือกลุ่มประเทศ G7 ใช่ไหม ? อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมนี ซึ่งกำลังจะเจ๊งกันอยู่แล้ว เดี๋ยวผมจะพูดเรื่องเยอรมนีให้คุณศิริกัญญาเข้าใจ ว่าเยอรมนีมันใกล้เจ๊งแล้ว recession มาแล้ว และมันจะกระทบกับกลุ่มประเทศอียูทุกประเทศ ทำให้ร่วงผล็อยไปเลย"
นายสนธิ กล่าวว่า กลุ่มประเทศ G7 เป็นประเทศทางตะวันตกที่เอามารวมตัวกัน แล้วกำหนดแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง ในโลกนี้ให้เดินตามเส้นทางที่วางเอาไว้
G7 เพิ่งประชุมที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย อเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งประเทศที่เอ่ยชื่อมานี้ กำลังร่วงผล็อย ขาลงทุกประเทศ สื่อมวลชนที่อวย G7บอกว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก แม้กระทั่ง VOA (Voice of America) ภาคภาษาไทย ก็ให้คำนิยามว่า เป็นกลุ่มประเทศประชาธิปไตยที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่คำพูดนี้ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงอีกต่อไป
ขนาดเศรษฐกิจของ G7 ในขณะนี้ เป็นแค่ 27 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่า GDP โลก เฉพาะในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา (2555-2565) อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของกลุ่ม G7 คิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่า GDP ของโลกเท่านั้น
ในทางกลับกัน สัดส่วนทางเศรษฐกิจของกลุ่ม BRICS (B = Brazil, R = Russia, I = India, C = China, S = South Africa)หรือระเบียบโลกใหม่ที่ออกมา เติบโตจนกระทั่งปัจจุบันกินสัดส่วน GDP ซึ่งถ้าเราคิดตามกำลังซื้อ หรือ PPP (Purchasing Power Priority) แซงกลุ่ม G7 ไปเรียบร้อยแล้ว G7 จึงเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว
ขณะที่จีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ของสินค้าและบริการของไทย การท่องเที่ยวที่ไทยตั้งเป้าว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามา 5 ล้านคน ในปี 2566 จะสร้างรายได้ 446,000 ล้านบาท ถ้าบอกว่าเราพึ่งจีนมากไป ก็ไม่ต้องเอานักท่องเที่ยวจีน ไปเอานักท่องเที่ยวเยอรมนี อียู หรือญี่ปุ่นมาแทนสิ ซึ่งก็เอามาแทนไม่ได้ เพราะว่ากลุ่มจีนเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนรายได้การท่องเที่ยวให้ประเทศไทย
“คุณศิริกัญญาถ้าคุณมีเวลา และคุณเอาตีนติดดิน คุณเป็นคนเมืองชลบุรี คุณไปถามนักธุรกิจ คนทำมาค้าขายที่พัทยาดู ว่าระหว่างจีน กับอเมริกา และจีน กับทางอียู ใครที่ใช้เงินในพัทยามากที่สุด จีนครับ คุณศิริกัญญา จีนครับ ถึงคุณอยู่เมืองชล ผมก็อดีตนักเรียนที่เมืองชล ผมเรียนที่อัสสัมชัญศรีราชา ผมยังมีพรรคพวกหลายคน ตอนนี้แก่เฒ่าไปแล้ว แต่ลูกหลานก็ทำธุรกิจในพัทยา เขาบอกชัดเจน”
นายสนธิกล่าต่อว่า ด้านการส่งออก ข่าวใน South China Morning Post บอกว่าตอนนี้ทุเรียนไทยขายดิบขายดีในจีน จนกระทั่งหลายประเทศรู้ และอยากแย่งชิงตลาดทุเรียนในจีนจากไทย ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย แม้กระทั่งในประเทศจีนเอง ก็เริ่มทดลองพันธุ์ทุเรียนของตัวเองขึ้นมา ถ้าบอกว่าเราพึ่งเศรษฐกิจจีนมากเกินไปก็ไม่ต้องส่งทุเรียนไปขาย ดีไหม ยังมีมังคุด มะม่วงอีก รายได้จากผลไม้ที่เข้าประเทศไทยมูลค่าเป็นล้านๆ บาท หรืออาจจะถึง 2 ล้านล้านบาทเสียด้วยซ้ำ
“ในมุมกลับ ผมจะเสนอว่า ถ้าคุณไม่พึ่งจีนแล้ว เศรษฐกิจไทยไปไหนไม่รอดหรอก ผมพูดอย่างนี้ ผมพูดถูก และผมเชื่อว่าคนที่ฟังผมพูดวันนี้จะเห็นด้วยกับผม และไม่เห็นด้วยกับคุณ คุณรู้หรือเปล่า คุณศิริกัญญา วันนี้การบินไทยยื่นเรื่องขอบินเข้าจีนอีก 40-50 เที่ยวบิน แต่จีนยังไม่ตอบ แล้วคุณคิดว่าพวกคุณ ก้าวไกล ซึ่งทำตัวเป็นพรมเช็ดเท้าให้กับอเมริกา อียู คุณก็คือสุนัขรับใช้ของตะวันตก คุณกร่างไปสิ แล้วถ้าวันหนึ่งจีนเขาบอกว่า ประเทศไทยไม่ควรจะมาแล้ว เหมือนที่จีนบอกคนจีนว่าอย่าไปเกาหลี ญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นยืนข้างไต้หวัน ส่วนเกาหลียืนข้างไต้หวัน และอเมริกา”
นายสนธิย้ำว่า ภูมิรัฐศาสตร์เกี่ยวข้องกับการค้าขาย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีข้อยกเว้น ถ้าเราขาดรายได้จากการท่องเที่ยว ขาดรายได้จากผลไม้ส่งออก ถ้าจีนเห็นว่าเมืองไทยซ่านัก ทำตัวเป็นพรมเช็ดเท้าให้กับอเมริกา ก็อาจจะหันไปนำเข้าทุเรียนจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย ลดโควตาจากประเทศไทยลงไป น.ส.ศิริกัญญา และพรรคพวก และพี่น้องที่เมืองชลบุรีจะรับผิดชอบกับความพินาศฉิบหายของเศรษฐกิจทางภาคตะวันออก จันทบุรี ตราด การท่องเที่ยวที่พัทยา รับผิดชอบได้ไหม
“ก็คุณพูดเองนี่ว่าเราอวยจีนมากเกินไป พึ่งจีนมากเกินไป ผมไม่เข้าใจ คุณใช้ส่วนไหนของสมองมาใช้คำพูดอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวผมจะพูดถึงเรื่องเยอรมนีให้คุณศิริกัญญาเข้าใจว่าคุณศิริกัญญาที่คิดว่าจะพึ่งอียูนั้น คุณฝันลมๆ แล้งๆ ผมไม่ต้องเรียนเศรษฐศาสตร์หรอก แต่ผมรู้ว่าคุณพลาดไปแล้ว
“ด้วยเหตุนี้ ผมยังยืนยันว่าคุณเป็นที่ปรึกษาได้ แต่คุณไม่ควรจะเป็นผู้บริหาร เพราะคนที่จะเป็นผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ไกล ต้องเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจหลักภูมิรัฐศาสตร์ วันนี้คุณศิริกัญญา คุณจะทำนโยบายทางการคลังโดยที่ไม่พิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์นั้น ไม่ได้เลยครับ”นายสนธิกล่าว
เศรษฐกิจเยอรมันเข้าสู่ภาวะถดถอย
นายสนธิ ได้กล่าวถึงประเทศเยอรมนี เสาหลักของกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป(อียู) ซึ่งก็น่าจะเป็นประเทศที่ น.ส.ศิริกัญญาและพรรคก้าวไกลมุ่งหวังว่ากลุ่มประเทศทางตะวันตกจะเป็นกลุ่มประเทศที่น่าจะใกล้ชิดกับประเทศไทยในเรื่องการค้าขายมากกว่าจีน
วันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Recession เพราะว่า GDP ของเยอรมนีในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว หดตัวไปถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ แล้วต่อมาด้วยไตรมาสที่ 1 ติดลบอีก 0.3 เปอร์เซ็นต์ ในหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว GDP ที่ติดลบติดกันสองไตรมาสนั้น ก็เท่ากับว่าเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ Recession คือถดถอยในเชิงเทคนิค
เยอรมนีมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป มีขนาด GDP ประมาณระดับสี่ของโลก มีมูลค่าประมาณ 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 150 ล้านล้านบาท รองมาจากอเมริกา จีน และญี่ปุ่น ราคาสินค้าปโภคบริโภคในเยอรมนีทุกวันนี้เพิ่มขึ้นขั้นต่ำสุด 30 เปอร์เซ็นต์ คือทุกอย่างแพงขึ้นเกือบครึ่งหนึ่ง
แม้ในไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2566) การลงทุนในเยอรมนีจะเพิ่มขึ้น การลงทุนซื้อเครื่องจักรเพิ่มขึ้น 3.2 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 3.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ส่วนการค้าระหว่างประเทศ เยอรมนีส่งออกเพิ่มขึ้น 0.4 เปอร์เซ็นต์ การนำเข้าลดลง 0.9 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยบวก แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสแรกปีนี้ รอดพ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้
ที่สำคัญที่สุด คนทั่วโลกสนใจว่า ครึ่งหลังของปีนี้ เยอรมนีจะมีการฟื้นตัวได้หรือไม่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ที่เป็นกลาง คือสถาบันการเงิน IG นักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์จำนวนมากในโลกนี้ได้ฟันธงว่า ยากที่เศรษฐกิจเยอรมนีจะฟื้นขึ้นในไตรมาสนี้ รวมถึงระยะเวลาอันใกล้ วิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอยยังมีแนวโน้มที่จะแผ่ลามไปอย่างรวดเร็วไปทางมหาอำนาจเศรษฐกิจตะวันตก อียูทั้งอียู ยุโรปทั้งยุโรป อังกฤษ และอเมริกา
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ถ้าติดตามสถานการณ์ในยูเครนแล้วจะพบว่ามีความเชื่อมโยงกับภาวะเศรษฐกิจในเยอรมนีอย่างน่าสนใจ
ข้อที่หนึ่ง สงครามยูเครนปะทุเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ภาวะเศรษฐกิจเยอรมนีช่วงไตรมาสที่ 1-3 ของปี 2565 ระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2565 แม้จะเติบโตได้ไม่ดีนัก แต่ก็อยู่ในภาวะที่ยังไม่ถดถอย จนกระทั่งถึงปลายเดือนกันยายน 2565 เกิดมีการระเบิดท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม ซึ่งการระเบิดครั้งนี้ได้มีการพิสูจน์ชัดเจนพอสมควร รวมทั้งการรายงานข่าวเชิงลึกของนายซีมัวร์ เฮิร์ช ซึ่งเป็นนักข่าวพูลิตเซอร์ไพรซ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
กุมภาพันธ์ 2566 นายซีมัวร์ เฮิร์ช ออกมาแฉว่า รัฐบาลอเมริกาต่างหาก คือผู้ที่วางแผนทำลายท่อก๊าซรัสเซียที่เชื่อมไปยังเยอรมนี โดยให้สำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA) เป็นผู้ลงมือ คนที่รู้เรื่องนี้คือ นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงสหรัฐฯ
การก่อวินาศกรรมท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม 1 และ 2 เกิดขึ้นหลังจากทำเนียบขาว กองทัพ และ CIA ประสานงานกันมาต่อเนื่องตั้งแต่ธันวาคม 2564 แล้ว ว่าจะทำอย่างไรจะไม่ให้เหลือหลักฐานโยงใยไปถึงอเมริกา ได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้นมาดูแลกิจการนี้ ซึ่งนายเจค ซัลลิแวน ที่ทำงานใกล้ชิดกับโจ ไบเดน นั้นเกี่ยวข้องด้วย และแน่นอนที่สุด นายโจ ไบเดน ก็เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
ประเด็น เมื่อท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม 1 และ 2 ถูกสหรัฐฯ ระเบิดทิ้่งไปแล้วเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2565 ชาวเยอรมนีก็ถูกตัดขาดจากก๊าซราคาถูกจากรัสเซีย ต้องไปหาแหล่งพลังงานจากแหล่งอื่นมาทดแทน เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ที่ต้องนำเข้าจากทางเรือมาทางอเมริกา ซึ่งแน่นอน ราคาแพงกว่าหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับก๊าซที่ส่งทางท่อจากรัสเซีย
จากนั้นมา ภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีก็ถดถอยอย่างต่อเนื่องสองไตรมาสติดๆ กัน นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจนของการระเบิดท่อก๊าซนอร์ดสตรีม 1 และ 2 ที่อเมริกาจัดทำด้วยความร่วมมือของยูเครน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ประชาชนชาวเยอรมนีอย่างชัดเจนที่สุด
ที่สำคัญที่สุด แม้กระทั่งสื่อทางการของเยอรมนีก็ยอมรับว่าตอนนี้เยอรมนีอยู่ในสภาวะที่ขาดนวัตกรรมขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
สื่อมวลชนที่เป็นสื่อสาธารณะของเยอรมนี ชื่อ DW TV อ้างอิงผลการศึกษาล่าสุดของมูลนิธิ Bertelsmann ซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ระบุว่า เยอรมนีในขณะนี้ไม่มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
“ท่านผู้ชมที่ติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจมาตลอด คงพอจะทราบดีถึงปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องแบงก์ในสหรัฐอเมริกาล้มมาเรื่อย จากซิลิคอนวัลเลย์แบงก์ ซิกเนเจอร์แบงก์ เฟิร์สรีพับลิค มาจนถึงเครดิตสวิส ที่รัฐบาลสวิสต้องเข้าไปอุ้ม โดมิโนทางเศรษฐกิจโลกตะวันตกกำลังล้มครับ จะลามจากอเมริกามาเยอรมนี มายุโรป หรือลามจากยุโรป ไปอเมริกา ก็ไม่รู้
“แต่เศรษฐกิจการเงินและการคลังกำลังประสบปัญหาวิกฤตอย่างรุนแรง และไม่ใช่ปัญหาระยะสั้นด้วย เป็นปัญหาระยะยาว แต่คุณไหม คุณศิริกัญญา ตันสกุล ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจากพรรคก้าวไกล กลับมาบอกว่า เศรษฐกิจไทยโตช้าเพราะยึดติดกับตลาดจีนมากเกินไป
“ผมถามคุณศิริกัญญาตรงนี้แล้วกัน ถ้าจะให้เศรษฐกิจโต แล้วไม่ไปผูกกับจีน จะให้ไปผูกกับหมาหรือแมวที่ไหนครับ เพราะถ้ากวาดตามองไปทั่วโลกแล้ว คุณจะเห็นว่านอกจากจีน ซึ่งเป็นแกนหลักของกลุ่ม BRICS แล้ว เศรษฐกิจประเทศ G7 ในโลกมันย่ำแย่หมด ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ หรือเยอรมนี
“คุณศิริกัญญาจะพูดอะไรจากนี้ไป สงวนปากสงวนคำนะครับ และอย่าเป็นอันขาด ที่จะเอาความไม่เข้าใจภูมิรัฐศาสตร์ แล้วเอามาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจไทย เพราะเศรษฐกิจทุกประเทศในโลกนี้มีการเชื่อมโยงกับภูมิรัฐศาสตร์ทั้งสิ้น
“อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า G7 นั้น GDP ทำมาสิบปี GDP แค่ 15 เปอร์เซ็นต์ วันนี้ BRICS ตั้งขึ้นมาหลัง G7 แต่เศรษฐกิจ BRICS เจริญเติบโตมากกว่าเศรษฐกิจของ G7 ไปเรียบร้อยแล้ว เข้าใจไหมครับ ? ถึงคุณจะไม่เข้าใจ ผมก็ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าคุณเอนไปทางตะวันตก 100 เปอร์เซ็นต์ และความคิดเห็นพึ่งพาตะวันตก จะทำให้ประเทศชาติฉิบหายต่อไป” นายสนธิกล่าว