“ทนง ขันทอง” ฟันธงเลือกตั้ง 14 พ.ค.ไม่ใช่ทางออกประเทศ ทุกพรรคยังเสนอนโยบายประชานิยมเพิ่มหนี้สาธารณะจนฐานะการคลังประเทศเสี่ยงล้มละลายในอนาคต ชี้ทางออก พรรคการเมืองไทย นักการเมืองไทย ผู้บริหารประเทศ ต้องเปลี่ยนแนวความคิด สลัดทิ้ง “เสรีนิยมทุนนิยม” นำเอา จุดแข็งของระบบสังคมนิยมและทุนนิยมมาผสมผสานกัน ผ่านการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศจากส่วนกลาง และ นำเอาเศรษฐกิจการตลาดเข้ามารวมกัน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมีสำนึกในชาตินิยม มีคุณธรรม และมีความตั้งใจที่จะยกระดับสวัสดิการสังคมเพื่อให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้นำข้อเขียนเรื่องปัญหาและความท้าทายที่ประเทศไทยเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ปัจจุบัน และอนาคตที่นายทนง ขันทองผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ และแนวคิดชญาการปกครอง ซึ่งเขียนไว้ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Thanong Fanclub ก่อนการเลือกตั้ง มาเผยแพร่ต่อ หลังจากได้อ่านและวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่า สุดท้ายแล้วการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยังไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย หรือคำตอบในการเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และการดำรงชีวิตอย่างอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนไทยแต่อย่างใด ซึ่งข้อเขียนชิ้นนี้ตนเห็นด้วยทุกประการ จึงนำมาแบ่งปัน มีใจความสำคัญโดยสรุปดังนี้
“การเลือกต้ังในวันที่ 14 พฤษภาคม คงไม่นำไปสู่ทางออกของประเทศไทย แม้ว่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่โดยภาพรวมแล้ว คนไทยส่วนใหญ่จะยังคงไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรืออาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่กำลังตามมา ที่สำคัญไปกว่านั้น เสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศต่อไปจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“มองดูนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคการเมืองแล้วจะเห็นได้ว่ายังคงยึดติดในประชานิยมของการใช้จ่ายอย่างเหนียวแน่นเพื่อหวังชนะเลือกต้ังแล้วมีโอกาสเข้ามาร่วมฟอร์มรัฐบาล
“แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดนำเสนออุดมการณ์ทางการเมือง หรือแนวทางการบริหารประเทศผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การเงิน การเมืองและสังคมเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมที่ยั่งยืนที่แท้จริง
- พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายแจกเงินดิจิตัล 10,000 บาทต่อหัว
- พรรคก้าวไกล เน้นการแก้กฎหมาย ม.112
- พรรคพลังประชารัฐ สัญญาที่จะเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
- พรรคภูมิใจไทย เน้นการพักหนี้
- พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอแนวนโยบายต้ังกองทุนฉุกเฉินวงเงิน 30,000 ล้านบาท
- พรรคประชาธิปัตย์ หาเสียงต้ังกองทุน 300,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประการธุรกิจขนาดเล็ก-ขนาดกลาง
- พรรคชาติพัฒนากล้า เน้นการแก้ปัญหาการหนี้สินด้วยการยกเลิกแบล็คลิสต์ของบริษัทเครดิตบูโ
- พรรคชาติไทยพัฒนา หาเสียงแบบขอไปที เสนอแผนสร้างงาน สร้างรายได้แก่ผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกต้ังก็ตาม นโยบายของรัฐบาลใหม่จะยังคงอยู่ยึดติดในประชานิยมรูปแบบเดิมๆ คือเน้นการใช้จ่าย หรือการสร้างหนี้เพื่อการบริโภค แต่ว่าไม่มีแผนว่าจะหารายได้จากไหนมาใช้จ่าย
แทบจะทุกพรรคการเมืองคิดว่า เมื่อชนะการเลือกตั้ง และได้อำนาจในการบริหารประเทศแล้ว จะเดินหน้าก่อหนี้ในงบประมาณแผ่นดินต่อไปเพื่อการใช้จ่าย จะได้แสวงหาผลประโยชน์จากการคอรัปชั่นเพื่อตนเองและพวกพ้อง ทำให้มีความเสี่ยงว่าหนี้สาธารณะของประเทศไทยที่ขยับไปเกิน 60% ต่อจีดีพีแล้ว จะพุ่งไปเรื่อยๆ จนทำให้ฐานะการคลังของประเทศมีความเสี่ยงต้องล้มละลายในอนาคต เหมือนประเทศส่วนมากในโลกที่เดินตามอุดมการณ์ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมทุนนิยม
รัฐบาลใดที่ไม่มีรายได้ที่สมดุล หรือเกินดุล แต่มีแต่รายจ่ายที่เกินตัว ในท้ายที่สุดจะนำพาประเทศชาติสู่หายนะ
เหมือนสหรัฐฯ หรือประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังเผชิญอยู่จากการเดินแนวทางระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุน แต่รัฐบาลกลับมัดมือมัดเท้าตัวเอง ทำให้ไม่สามารถดูแลสวัสดิการของประชาชนได้
วิธีเดียวที่รัฐบาลจะมีรายได้พอกับรายจ่ายคือรัฐบาลต้องกลับมาเป็นผู้นำในการบริหารเศรษฐกิจ เป็นเจ้าของกิจการเอง (Ownership) หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ของความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็น การเงิน & การธนาคาร น้ำมัน พลังงาน โทรคมนาคม อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญ เป็นต้น
พูดง่าย ๆ ประเทศชาติจะเจริญและมั่นคงได้ รัฐบาลต้องรวย ต้องเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทหรือธนาคาร ซึ่งจะทำให้มีรายได้จากการลงทุนเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ ไม่ใช่คอยแต่เก็บภาษีขาเดียว และต้องมีแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนแน่นอน
ในทางตรงข้าม ถ้าหากรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ มีฐานะยากจน หรือมีหนี้สินมากมาย ปล่อยให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ผูกขาดธุรกิจ มีอำนาจเหนือตลาด หรือมีอำนาจเหนือระบบการเมืองจากการใช้เงินปรนเปรอนักการเมืองและข้าราชการ จะทำให้โครงสร้างการเมืองและเศรษฐกิจถูกบิดเบือน ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กและประชาชนคนเดินดินธรรมดา จะถูกเอาเปรียบ การพัฒนาประเทศจะไม่มีเป้าหมายหรือทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากเอกชนจะไม่ลงทุนในกิจการที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีระดับสูง
ในที่สุด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะด้อยลงไปเรื่อย ๆ และรัฐบาลจะไม่สามารถแบกภารกิจอันใหญ่หลวงในการดูแลการกินดีอยู่ดีของประชาชนไทยทั้ง 70 ล้านคนตามที่คนไทยทุกคนคาดหวังได้
ประเทศไทยมีจำนวนพ่อค้า นักธุรกิจมีเงินหลายหมื่นล้านหลายแสนล้านบาทเพิ่มขึ้น มีความมั่งคั่งติดอันดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสาร Forbes ในขณะที่รัฐบาลไทยกลับมีหนี้ และมีภาระในการใช้จ่ายเพิ่ม ส่วนคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องพูดถึง ต้องปากกัดตีนถีบ ค่าครองชีพสูงขึ้น หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยมีสัดส่วนเกือบ 90% ต่อจีดีพี ซึ่งสูงติดอันดับแนวหน้าของโลก
เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับว่ารัฐบาลไทย ทรัพยากรประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมของประเทศไทย และคนไทยทั้งประเทศอุดหนุน (Subsidized) ความมั่งคั่งให้พ่อค้านักธุรกิจ รวมท้ังนักลงทุนต่างชาติ ให้นับวันมีแต่จะรวยยิ่งขึ้นจากการผูกขาด หรือจากการมีอำนาจเงิน หรืออำนาจทางการตลาดที่เหนือกว่าคู่แข่ง ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต จนมีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติสังคม เพราะว่านับวันคนจนยิ่งจะจนลง
เมื่อประชาชนส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้
นโยบายของการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา ชนช้ันระดับผู้นำและปัญญาชนไทยได้รับอิทธิพลจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่แนะนำประเทศต่างๆ ให้เลือกเดินในแนวทางเสรีนิยมและทุนนิยม ให้เปิดเสรีท้ังระบบเศรษฐกิจและการเงิน โดยให้เอกชนเป็นผู้นำ และให้รัฐบาลเป็นผู้ตาม เพราะเชื่อว่าเอกชนมีความสามารถในการบริหารดีกว่า และมีความคล่องตัวกว่าในการปรับตัวกับกลไกตลาดและการเปลี่ยนแปลงของโลก ในขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่คอยกำกับดูแลข้างหลัง
สิ่งที่ตามมาคือ มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือปล่อยให้เอกชนธุรกิจเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในกิจการที่อยู่ในการดูแลของรัฐบาล ซึ่งเคยถือว่าเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การธนาคาร พลังงาน น้ำ ไฟฟ้า โทรคมนาคม มิหนำซ้ำมีการออกนโยบายเอื้อธุรกิจขนาดใหญ่ และต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาจากการเปิดเสรีระบบเศรษฐกิจ โดยไม่ปกป้องธุรกิจขนาดเล็ก และภาคการเกษตร
การให้สัมปทาน การขายกิจการ หรือขายหุ้นของรัฐบาลออกไปที่ดูเหมือนว่าจะดีเมื่อแรกเริ่ม แต่เวลาผ่านไปจะเห็นว่าสิ่งที่ได้ไม่คุ้มกับสิ่งที่เสีย เพราะเกิดสภาพที่เรียกว่ารวยกระจุกจนกระจาย คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม
นโยบายเสรีนิยมทุนนิยม ที่ชื่อของมันก็บอกในตัวอยู่แล้วว่า ให้สิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่กับนายทุนกับนักลงทุนที่มือยาวสามารถกอบโกยเท่าไหร่ก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงส่วนรวม ทำให้เกิดความโลภ ความเห็นแก่ตัว เมื่อประสบความสำเร็จ หรือรวยขึ้นก็จะพยายามเอาเปรียบสังคม และคู่แข่งมากยิ่งขึ้นผ่านการผูกขาด และการมีอำนาจเหนือตลาด ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่มีความเดือดร้อน
ระบบเสรีนิยมทุนนิยม ได้พิสูจน์ให้เห็นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้วว่า ล้มเหลวในการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม และสร้างความเหลื่อมล้ำ จนมีความเสี่ยงจะก่อให้เกิดวิกฤติสังคมหรือการปฏิวัติที่รุนแรง
แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาลที่ควรต้องกลับมาเพิ่มบทบาทในระบบเศรษฐกิจ รวมท้ังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการที่เป็นยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ คนส่วนมากจะส่ายหัว เพราะถูกล้างสมองให้คิดถึงระบบสังคมนิยมอันล้าหลังที่รัฐบาลควบคุมปัจจัยการผลิต แต่ไม่มีสิทธิเสรีภาพในการบริหารจัดการ เห็นได้จากความล้มเหลวในกิจการของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาที่เต็มไปด้วยปัญหาคอรัปชั่น และความด้อยประสิทธิภาพ ท้ังๆ ที่กิจการของรัฐอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะว่ามีการผูกขาด (Monopoly)
เรื่องนี้ก็มีส่วนจริง แต่มันเกิดจากระบบการเมืองที่อ่อนแอ ผู้นำไม่เข้มแข็ง ไม่มีความเด็ดขาด ไม่ได้การรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ได้เอาคนเก่งมีความสามารถมาบริหารจัดการ มักจะมองผลประโยชน์ของตัวเอง และพวกพ้องในระยะสั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีการโกงกินทุกระดับ
ไทยตกหลุมพรางของแนวความคิดเสรีนิยมทุนนิยมซึ่งต่อต้านบทบาทของรัฐบาลในเศรษฐกิจแนวสังคมนิยมที่ถูกมองว่าโบราณเต่าล้านปี โดยอ้างความล้มเหลวของสหภาพโซเวียต และยุโรปตะวันออก ที่เดินในแนวทางสังคมนิยมในยุคสงครามเย็น ทำให้รัฐบาลไทยทุกสมัยที่มาจากการเลือกต้ังหรือยึดอำนาจ ต่างก็เอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน ทำให้แทนที่รัฐบาลจะรวยเอง กลับให้นายทุนรวยแทน
- อะไรคือโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นทางออก?
ในขณะที่ระบบเสรีนิยมทุนนิยมที่นอกจากจะสร้างความเหลื่อมล้ำแล้ว ยังสร้างวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินทุก ๆ 7 หรือ 10 ปีเข้าสู่ยุคเสื่อม โมเดลของเศรษฐกิจใหม่ที่มีการผสมผสานระหว่างอุดมการณ์สังคมนิยมและระบบการตลาด ที่ทั้งจีนและอินเดียได้นำมาปรับใช้กำลังเข้ามาแทนที่ เพราะว่าเป็นระบบที่ให้คำตอบที่แท้จริงสำหรับการพัฒนาประเทศและดูแลผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม
นายเซอร์เก้ กลาซเยฟ (Sergei Glazyev)นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซีย และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างพิมพ์เขียวสำหรับเงินสกุลร่วมของกลุ่ม BRICS ได้อธิบายว่า
โมเดลของจีนรวมท้ังอินเดียที่มีการเอาจุดแข็งของการวางยุทธศาสตร์จากส่วนกลาง (centralized strategic planning) และเศรษฐกิจแบบตลาด (Market Economy) เข้ามารวมกัน โดยรัฐบาลจะควบคุมธุรกิจด้านการการเงิน และโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งสร้างผู้ประกอบการธุรกิจ กำลังก้าวขึ้นมากำลังจะกลายเป็นระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่แทนระบบเสรีนิยมทุนนิยมที่มีการบริหารเชิงแนวดิ่ง สั่งการลงมาจากข้างบน และไม่มีส่วนรวมของพนักงานหรือแรงงาน ซึ่งจะล้าหลังและไม่มีความสามารถในการแข่งขันต่อไป
ในระบบเศรษฐกิจใหม่นี้ มีอุดมการณ์สังคมนิยมและชาตินิยมเป็นพื้นฐาน และมีการใช้ระบบการบริหารที่มีความคล่องตัวสูง มีองค์กรเครือข่ายการผลิต โดยที่รัฐบาลทำหน้าที่เป็นตัวประสานในการดึงเอาพลังต่างจากสังคมทุกภาคส่วนเพื่อเป้าหมายเดียว คือการฟื้นฟูสวัสดิการทางสังคม ต่างจากระบบเสรีนิยมทุนนิยมที่ดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นอย่างเดียว และไม่ให้ความสนใจกับการอยู่รอดของส่วนรวม
เงินไม่ใช่เป็นตัวชี้วัดในระบบเศรษฐกิจใหม่ แต่เป็นเพียงเครื่องมือในการนำไปสู่การฟื้นฟูสวัสดิการสังคม รัฐบาลจะทำหน้าที่หลักในการจัดสรรเงินเครดิตในระบบเพื่อให้ธุรกิจเอกชนสามารถเข้าถึงเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่ำโดยไม่จำกัดวงเงินถ้าหากเป็นโครงการที่จะทำให้สวัสดิการสังคมโดยรวมดีขึ้น โดยธุรกิจที่ดีอยู่แล้วจะนำพาสังคมไปข้างหน้า ทั้งในเรื่องการจ่ายภาษี การจ้างงาน และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
ด้วยเหตุนี้
ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของจีนได้เติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่า 3 เท่า นอกจากนี้ จีนยังแซงหน้าสหรัฐฯ ในด้านประสิทธิภาพการผลิต การส่งออกสินค้าไฮเทค และอัตราการเจริญเติบโต ทำให้อีกประมาณ 5 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
จีนฉลาดสามารถเรียนรู้เทคโนโลยีได้เร็ว เพราะว่าให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนด้วยเงื่อนไขที่รัฐบาลขอมีหุ้นส่วนด้วย และต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้คนจีนสามารถพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีได้ จนทุกวันนี้จีนมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองที่นำหน้าตะวันตกและไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซมิคอนดั๊กเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ ควันตัมคอมพิวเตอร์
การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจได้ เพราะว่าจีนมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ การบริหารประเทศจึงทำได้อย่างต่อเนื่อง มีการเดินตามวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว การตัดสินใจต่างๆเป็นไปตามฉันทามติภายในพรรค สามารถปราบคอรัปชั่นได้ ต่างจากระบบประชาธิปไตยที่มาควบคู่กับเสรีนิยมทุนนิยมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การแก่งแย่งผลประโยชน์และอำนาจ รัฐบาลอยู่ในอำนาจได้ไม่นาน ไม่มีการบริหารแผนพัฒนาประเทศในระยะยาว การคอรัปชั่นระบาดหนัก
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเป็นเจ้าของระบบแบงค์ และรัฐวิสาหกิจ รวมท้ังถือหุ้นในทุกบริษัทที่เป็นยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการบิน น้ำมัน พลังงาน ประกันภัย ไอที ไฮเทค การก่อสร้าง โทรคมนาคม ค้าปลีก สื่อดั้งเดิม โซเซี่ยลมีเดีย เรียกได้ว่าไม่มีธุรกิจอะไรที่รัฐบาลไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง
เมื่อสร้างธุรกิจให้เจริญแล้ว จึงค่อยๆ ปล่อยให้เอกชนจีนเข้ามารับช่วงต่อ แม้แต่การส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน รัฐบาลจีนก็ให้เงินอุดหนุนเพื่อให้ขายของในราคาถูก หรือบางคร้ังต่ำกว่าทุนเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด
การบริหารธุรกิจของจีนเป็นไปแบบแนวนอน (horizontal) ที่เปิดโอกาสให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมสูง ทั้งในการบริหาร หรือแสดงแนวทางความเห็น ต่างจากแนวดิ่ง (vertical) ของเสรีนิยมทุนนิยม ที่พนักงานเป็นเพียงลูกจ้างที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้บริหารอย่างเคร่งครัด ทำให้พนักงานขาดความรู้สึกผูกพันกับองค์กรตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 เป็นต้นมา โลกเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในวงจรรอบใหม่ โดยเงินทุนจำนวนมากมายมหาศาลถูกระดมเข้าสู่การพัฒนานวัตกรรม หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะปฏิวัติโลกเข้าสู่สังคมดิจิตัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาโนไบโอเอนจิเนียริ่ง และไอทีการสื่อสาร
ประเทศที่จะมีความสามารถในการแข่งขันต่อไป ต้องมีรัฐบาลที่สามารถไฟแนนซ์ธุรกิจด้วยเครดิตระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำเพื่อพัฒนาหรือรับเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่
จีนอยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนี้ได้ เพราะว่ารัฐบาลกับเอกชนร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเป้าหมายในการยกระดับสวัสดิการสังคม และเอาชนะตะวันตก จะได้ไม่ถูกรังแก หรือถูกล่าอาณานิคมอีกต่อไป
ส่วนสหรัฐฯ และยุโรปนั้น เม็ดเงินส่วนมากจะไหลไปไฟแนนซ์การใช้จ่ายที่เกินตัวของรัฐบาลผ่านงบประมาณขาดดุล และจะเข้าไปเก็งกำไรในตลาดการเงิน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจถูกแปรไปเป็นระบบการเงิน (Financialization) ไปเกือบหมด โดยการผลิตในเศรษฐกิจที่แท้จริงถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ
เนื่องจากจีนมีการบริหารเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพสูง เงินหยวนที่ถูกปล่อยเข้าไปในระบบสร้างมูลค่าเกินให้กับเศรษฐกิจที่แท้จริง เพราะว่าเงินหยวนถูกนำเอาไปลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (productivity)
เมื่อเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพสูง เงินเฟ้อจะต่ำ ต่างจากระบบของสหรัฐฯ ที่เงินเฟ้อสูง เนื่องจากดอลลาร์ที่ไหลเข้าไปในระบบมุ่งไปสู่การบริโภคและการเก็งกำไรในตลาดการเงิน ทำให้สหรัฐฯ จะยิ่งถูกจีนทิ้งห่างในการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะเวลาข้างหน้า
รัสเซีย อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย หรือแม้แต่สิงคโปร์ ต่างก็มีรัฐบาลที่ค่อนข้างเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียที่แม้ว่าจะถูกตะวันตกแซงก์ชั่น แต่สามารถยืนหยัดได้ ไม่ได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากรัฐบาลเป็นเจ้าของธุรกิจพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ และใช้เป็นเครื่องมือในสงครามเศรษฐกิจเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ และอียูได้
ถ้าหากเศรษฐกิจรัสเซียอยู่ในมือเอกชนเป็นส่วนใหญ่เหมือนประเทศไทย ป่านนี้รัสเซียคงต้องล้มละลายไปแล้ว เพราะว่ารัฐบาลไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อรอง
นายทนง ทิ้งท้ายบทสรุป เอาไว้ว่าพรรคการเมืองไทย นักการเมืองไทย ผู้บริหารประเทศ ต้องเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลใหม่ และอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจที่ต้องสลัดทิ้ง“เสรีนิยมทุนนิยม” ให้ได้
ระบบการเมืองไทยต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง มีคุณธรรม เลือกคนเก่งที่เสียสละมาทำงาน ยกเลิกการผูกขาดในภาคธุรกิจ และการฮั้วกันในระบบการเงิน ปราบคอรัปชั่นให้ได้ทุกระดับด้วยมาตรการที่รุนแรง เด็ดขาด
รัฐบาลต้องมีการนำเอาจุดแข็งของระบบสังคมนิยมและทุนนิยมมาผสมผสานกัน ผ่านการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศจากส่วนกลาง (centralized strategic planning)และนำเอาเศรษฐกิจการตลาดเข้ามารวมกัน โดยรัฐบาลจะควบคุมธุรกิจด้านการการเงิน และอุตสาหกรรมพื้นฐานท้ังหมดผ่านการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมท้ังช่วยสร้างผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่หรือหน้าเก่าที่มีศักยภาพ ผ่านการให้เงินเครดิตดอกเบี้ยต่ำแก่ธุรกิจที่มุ่งเน้นในการสร้างนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ก้าวทันโลก
ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมีสำนึกในชาตินิยม มีคุณธรรม และมีความตั้งใจที่จะยกระดับสวัสดิการสังคมเพื่อให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี
ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ใช้อำนาจเงินหรืออำนาจที่เหนือตลาดมาเอาเปรียบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก แรงงานไทยที่มีรายได้ต่ำ และเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติต้องไม่ถูกกลไกของทุนนิยม ระบบนายหน้าเอาเปรียบอีกต่อไป
การที่รัฐบาลจะดูแลภาคสังคมที่อ่อนแอได้ รัฐบาลต้องรวย มีฐานะการคลังที่มั่นคง หรือมีทรัพยากรเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมในการบริหารเศรษฐกิจผ่านการคิดใหม่ทำใหม่ เพราะว่าการเก็บภาษีคนรวยเพื่อมาดูแลคนจนจะไม่มีวันเวิร์ค
การที่จะทำเช่นนี้ได้ ต้องมีฉันทามติในประเทศที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศอย่างแท้จริง แทนที่จะอยู่ไปวันๆ เหมือนในช่วงที่ผ่านมา เพื่อว่าประเทศไทยจะได้เกิดใหม่
มิเช่นนั้นประเทศไทยจะตกเป็นสมบัติของนายทุนไม่กี่คน รวมทั้งขนายทุนต่างชาติที่มุ่งหวังยึดครองประเทศไทยผ่านการผูกขาด ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นจนคนไทยโดยรวมอยู่ไม่ได้
การปฏิรูปจะครอบคลุมถึงการปฏิรูปที่ดินเพื่อความเป็นธรรมหรือดูแลภาคประชาชน การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม และการเงิน การปฏิรูปโครงสร้างภาษี และการปฏิรูปธุรกิจ ธนาคาร และเครดิต โดยที่รัฐบาลจะกลับมาเป็นผู้นำในภาคเศรษฐกิจอีกคร้ังในรูปแบบไฮบริดระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยมที่มีความคล่องตัว คำนึงถึงสวัสดิการและความเจริญก้าวหน้าของของคนไทยทุกคน
อนึ่ง เรากำลังอยู่ในห้วงของประวัติศาสตร์ที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โดยที่จีนและรัสเซียกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกแทนมหาอำนาจขั้วเก่าของสหรัฐฯ และอังกฤษ ผ่านการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ทำให้จะมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าและทิ้งห่างคู่แข่งตะวันตกข้างหลัง
ศูนย์กลางการเจริญเติบโตของโลกจะอยู่ที่จีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ไทยจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากโอกาสและสถานที่ รอเพียงเงื่อนไขของเวลาที่จะมาถึง
แต่ก่อนอื่น ไทยต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อน ผ่านการยกระดับสถานภาพของประเทศผ่านการปฏิรูปโครงสร้างในรูปแบบไฮบริดที่นำเอาสังคมนิยมและทุนนิยมเข้ามาผสมผสานกัน
“ทั้งหมดนี้ล่ะครับ ความคิดเชิงยุทธศาสตร์ระยะสั้น กลาง และระยะยาว ที่ผมเห็นด้วยเกี่ยวกับประเทศไทย พวกผมมีการปรึกษาหารือพูดคุยกัน ถกเถียงกันอย่างเข้มข้นทุกวัน
“ผมทิ้งท้ายรายการเอาไว้วันศุกร์ที่แล้ว ศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 ว่า ข้อสรุปสุดท้ายที่พวกผมได้ คือพวกเราอาจจะเปรียบได้ว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า คือกลุ่มคนที่ยังเห็นคุณค่าและเชื่อมั่นรากฐานทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมอยู่ แต่พวกเรายอมรับพลวัตรการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เข้ามา ยอมรับการพลิกขั้วของโลกในทุกมิติ เพื่อผลักดันให้ประเทศอยู่กับร่องกับรอย สามารถทำให้ประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ทำให้ประชาชนชาวไทยใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข สามารถปกป้องประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงของโลกนี้ได้
“ใครก็ตามจะเป็นนายกรัฐมนตรี จะชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือไม่ พรรคไหนจะฟอร์มรัฐบาลกับพรรคไหน ส.ว. 250 คน จะโหวตหรือไม่โหวตให้ใคร ก็ช่างเขา ถ้าเห็นด้วยกับผมว่าประชาธิปไตย 4 วินาที คือการเลือกตั้งผู้แทน 4 ปี/ครั้ง เข้าไปในสภาฯ เพื่อปู้ยี่ปู้ยำประเทศ ไม่ใช่ทางออก ไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งพรรคก้าว่ไกลด้วย เพราะเราต้องผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงจากสายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้าให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ความกตัญญูรู้คุณคน การมีสัมมาคารวะ การดูแลและปกป้องสถาบันกษัตริย์
“มีการโหนเจ้าในอดีตมากเหลือเกิน เพราะว่าคนที่โหนเจ้าในอดีตนั้นมองสถาบันกษัตริย์ในมิติเดียว คือความมั่นคง แต่มันไม่ใช่ มิติของการที่จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ได้ดีที่สุดก็คือมิติของทำให้ประชาชนในประเทศไทยกินดีอยู่ดี พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมน้ำใจของเรา สถาบันกษัตริย์ให้กำลังใจประชาชนทุกคน แล้วเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อชุมชน ในขณะซึ่งรัฐบาลไม่มีปัญญาหรือไม่มีเวลาที่จะไปดูแล
“ถ้าประชาชนกินดีอยู่ดีแล้ว สถาบันกษัตริย์จะมีความมั่นคง ไม่ใช่ว่าการเป็นพลเอกเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือคนที่แวดล้อม พวกอนุรักษ์ตกขอบ มองทุกอย่างในมิติเดียวก็คือว่าจะรักษาสถาบันกษัตริย์ได้นั้น ต้องเน้นที่ความมั่นคงอย่างเดียว” นายสนธิกล่าว