ราคาทองคำดีดตัวสร้างสถิติใหม่ 2,078 ดอลลาร์ รับเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แบบส่งสัญญาณชะลอปรับขึ้นรอบต่อไป ก่อนราคาทองคำจะย่อตัวลงหลังตัวเลขจ้างานสหรัฐออกมาดีกว่าคาด ขณะที่วิกฤตแบงก์ล้มยังไม่มีท่าทียุติ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอย และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ตรึงเครียดยังพร้อมปะทุ ล้วนผลักดันราคาทองคำทะยานขึ้นต่อ จนมีโอกาสลุ้นถึง 2,100 ดอลลาร์ ส่วนในประเทศ 33,000 บาทนั้นไม่ไกล
เป็นไปตามคาดเมื่อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยรอบที่สิบอีก 0.25% เมื่อคืนวันพุธ (3 พ.ค.) แต่แย้มว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายในวงจรปัจจุบัน ถ้าหากเศรษฐกิจลดความร้อนแรงลงอย่างเพียงพอ โดยที่ประธานเฟดแถลงยืนยันด้วยว่าอเมริกา มีแนวโน้มสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย มากกว่าต้องเผชิญกับมัน อีกทั้งแสดงความคิดเห็นแง่บวกเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคการธนาคาร สวนทางกับ นักลงทุนที่เชื่อว่า วิกฤตยังไม่จบและอาจมีธนาคารอีกหลายแห่งกำลังจะเกิดปัญหา จนส่งผลให้ ราคาหุ้นแบงก์ระดับภูมิภาคบางแห่งยังคง ร่วงหนักในขณะนี้
ที่ผ่านมา เฟดเริ่มนโยบายขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกในวงจรนี้ มาตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ทว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 2% กว่าสองเท่าตัว ขณะเดียวกันการขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 5.0-5.25% ถือว่าสูงสุดในรอบ 16 ปี
เฟดกล่าวว่า เงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นสำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจมีแนวโน้มกดดันเศรษฐกิจในระดับที่ "ยังคงไม่แน่นอน"การตัดสินใจล่าสุดของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) คราวนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์พยายามตีความคำแถลงอธิบายที่ออกมา เพื่อวิเคราะห์ทิศทางแนวโน้มการตัดสินใจของเฟดในอนาคต หลังจากคำแถลงครั้งนี้ ระบุว่า จะพิจารณาว่า นโยบายการคุมเข้มทางการเงินจะส่งผลสะสมต่อเศรษฐกิจอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีกหรือไม่ ถือว่าต่างไปจากคำแถลงรอบก่อนๆ ที่พูดตรงๆ ว่า เฟดคาดว่า ยังอาจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ด้าน “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ออกมาแถลงข่าวหลังมีการประกาศมติเรื่องดอกเบี้ยของ FOMC ว่า ภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นหลักที่เฟดกังวล ดังนั้น จึงยังเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่า วงจรการขึ้นดอกเบี้ยสิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนั้นเขายังสำทับว่า FOMC ไม่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในปีนี้ตามที่ตลาดคาดการณ์ พร้อมเชื่อมั่นว่า อเมริกามีโอกาสหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยมากกว่า ที่จะต้องเผชิญภาวะถดถอย เนื่องจาก ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
ราคาทองคำพุ่งสร้างสถิติ
สำหรับราคาทองคำหลังจากที่เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ โดยมีซื้อขายระมัดระวัง เนื่องจากต่างเฝ้าติดตามผลการประชุมเฟด ซึ่งก่อนหน้าผลการประชุมราคาทองคำยังยืนเหนือระดับ 2,020 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นแตะ 2,024.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะเชื่อว่าทองคำมีฐานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตในภาคธนาคารสหรัฐ
แต่หลังจากเฟด ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณหยุดขึ้นชั่วคราว ได้กดดันให้ค่าดอลลาร์อ่อนค่า และบอนด์ยีลด์ลดลง หนุนให้ราคาทองคำดีดขึ้น ทำ All Time High (ATH) ในตอนเช้าที่ 2,078.46 ดอลลาร์ แต่ไม่นานก็โดนแรงขายในทางเทคนิค อีกทั้ง "พาวเวลล์" ออกมาแสดงความกังวลว่าเงินเฟ้อยังสูงเกินไป
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นหนุนให้ราคาทองคำในประเทศ ปรับขึ้นแรงต่อเนื่องตามทองคำตลาดโลกอีก 200 บาท (4พ.ค.) โดยราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 33,150 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 32,650 บาท ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 33.79 บาทต่อดอลลาร์
“จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี” นายกสมาคมค้าทองคำ แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า ราคาทองดีดตัวขึ้นต่อเนื่องรับข่าวเฟดขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.25% ตามคาดและยังส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว สะท้อนตลาดยังมีความกังวลวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐ และความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยยังคงอยู่ แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น และดอลลาร์อ่อนค่าก็ตาม
ทำให้ส่วนตัวเชื่อว่า แนวโน้มราคาทองในประเทศในระยะสั้น มีโอกาสทะลุไฮเดิมที่ 32,800 บาท ได้ หากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐ ยังไม่คลี่คลาย หากมีข่าวร้ายอีกรอบ น่าจะผลักดันให้ราคทองคำมีโอกาสทะลุไฮเดิม โดยมองแนวต้านระยะสั้นรอบนี้ ที่ 33,000 บาท
ขณะที่วันที่ 5 พ.ค. 66 มีรายงานว่า ราคาทองโลก (Gold Spot) พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ที่บริเวณ 2,078 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทะลุจุดสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ 2,048 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และจุดสูงสุดเดิมในอดีตที่ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้เป็นที่เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐในเดือนเม.ย.ทำให้เกิดความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ซึ่งจะลดความน่าสนใจในการลงทุนทองคำ
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 30.90 ดอลลาร์ หรือ 1.50% ปิดที่ 2,024.80 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ปิดบวก 1.3% ในรอบสัปดาห์นี้ โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 253,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. มากกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าอาจเพิ่มขึ้นเพียง 180,000 ตำแหน่ง แม้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงและเกิดวิกฤติภาคธนาคาร ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.4% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจอยู่ที่ 3.6% และทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2512 ขณะเดียวกันตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญตัวหนึ่งนั้น เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ทั้งรายเดือนและรายปี
ทำให้ภาพรวม ตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัวทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่า เฟดจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ อีกทั้งมีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิ.ย. ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะลดความน่าดึงดูดของทองคำ เป็นผลให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ๆ
นั่นทำให้ราคาทองคำในประเทศ (6 พ.ค.) สมาคมค้าทองคำรายงานว่า ราคาทองคำไทย ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.27 น. ราคาปรับลด 250 บาท ส่งผลให้ "ทองคำแท่ง" รับซื้อบาทละ 32,250 บาท ขายออกบาทละ 32,350 บาท ส่วน "ทองรูปพรรณ" รับซื้อบาทละ 31,669.24 บาท ขายออกบาทละ 32,850 บาท
ความต้องการทองคำทั่วโลกลดลง
ไม่เพียงเท่านี้ สภาทองคำโลก (WGC) ออกมารายงานว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกลดลงในช่วงสามเดือนแรกของปี 2566 เนื่องจากการซื้อจำนวนมากโดยธนาคารกลางและผู้บริโภคชาวจีนถูกบดบังด้วยการซื้อของนักลงทุนที่ลดลง โดยความต้องการทองคำรวมทั่วโลกอยู่ที่ 1,081 ตัน ลดลง 13% จากไตรมาสแรกของปี 2565
นอกจากนี้ความต้องการทองคำประมาณครึ่งหนึ่งมาจากผู้ค้าอัญมณี โดยนักลงทุนและรัฐเป็นผู้ซื้อส่วนที่เหลือ เนื่องจากทองคำแท่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและนักลงทุนมักจะซื้อเพิ่มในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพ
ที่ผ่านมาความต้องการทองคำพุ่งสูงสุดในรอบ 11 ปีในปี 2565 เนื่องจากการซื้อของธนาคารกลางที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ราคาทองคำอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์สูงกว่า 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ท่ามกลางจุดที่สดใสในช่วงไตรมาสแรก ธนาคารกลางได้ซื้อทองคำจำนวน 228 ตัน มากกว่าข้อมูลในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมย้อนหลังไปถึงปี 2543 ขณะที่ความต้องการเครื่องประดับของจีนอยู่ที่ 198 ตัน ซึ่งสูงที่สุดในไตรมาสใดๆ นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2558 เนื่องจากการสิ้นสุดของCovid-19 ทำให้การควบคุมการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
แต่ผู้ซื้อในสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับการธนาคารและความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็ซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำจำนวน 32 ตัน ซึ่งสูงที่สุดในไตรมาสใดๆ นับตั้งแต่ปี 2010 ขณะเดียวกัน การซื้อทองคำแท่งและเหรียญลดลงในยุโรป อีกทั้งความต้องการเครื่องประดับของอินเดียลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
“ความต้องการลงทุนทองคำเพิ่มขึ้นแล้วในเดือนมีนาคม เนื่องจากความล้มเหลวของธนาคารได้แพร่กระจายความกลัวไปทั่วตลาด และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตามความต้องการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีนี้ และการซื้อของธนาคารกลางจะยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าจะต่ำกว่าระดับสูงสุดของปีที่แล้วก็ตาม”
นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่า การกักตุนของนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจทำให้อุปสงค์ในประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดียลดลง เนื่องจากผู้บริโภคมักจะรู้สึกผิดหวังกับราคาที่สูงเกินไป
หลายแบงก์ใน US ส่อล่ม
นอกจากนี้มีรายงานว่า เกือบครึ่งหนึ่งของธนาคาร 4,800 ธนาคารในสหรัฐฯ ใกล้ล้มละลาย เนื่องจากได้ใช้เงินกองทุนส่วนเพิ่มเพื่อสํารองไว้ยามฉุกเฉิน (Capital buffer) เกือบหมดสิ้นแล้ว ตามรายงานของเทเลกราฟเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงความเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคาร
ขณะที่ ศาสตราจารย์อามิต เซรู ผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคารแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ระบุว่าสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ราวครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้น้ำ "อย่าอ้างว่านี่เป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับซิลลิคอน วัลเลย์ แบงก์ และเฟิร์สต์ รีพับลิก ตอนนี้มีอีกมากมายในระบบธนาคารของสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้ว่าจะล้มละลาย"
เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เฟิร์สต์ รีพับลิก ถูกคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบด้านการเงินของสหรัฐฯ เข้ายึดและขายกิจการให้แก่เจพี มอร์แกน ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ หลังจากก่อนหน้านี้ เฟิร์สต์ รีพับลิก ได้รับสายเลี้ยงชีพ 30,000 ล้านดอลลาร์ จากกลุ่มสถาบันการเงินในวอลล์สตรีท ที่ให้ความช่วยเหลือผ่านรูปแบบของเงินฝาก แต่ก็ไปต่อไม่ไหว
การขายกิจการของเฟิร์สต์ รีพับลิก มีขึ้นตามหลังการแห่ถอนเงินในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้ธนาคารระดับภูมิภาค 2 แห่ง ซิลลิคอน วัลเลย์ แบงก์ และซิกเนเจอร์ แบงก์ ต้องล้มครืนภายในเวลาไม่กี่วัน
ต่อมา (4 พ.ค.) ต้องมีการระงับซื้อขายหุ้นของธนาคารแพ็คเวสต์ ซึ่งมีสำนักงานในลอสแองเจลิส และธนาคารเวสเทิร์น อัลลิอันซ์ ที่มีสำนักงานในแอริโซนา หลังราคาดิ่งลงอย่างน่าตกตะลึง ขณะที่ก่อนหน้านั้นในช่วงต้นเดือน หุ้นของสถาบันการเงินระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ หลายแห่งร่วงลงอย่างน้อย 15% โหมกระพือความกังวลในหมู่นักลงทุน เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของบรรดาธนาคารขนาดกลางอื่นๆ
ปัจจุบันธนาคารราว 2,315 ธนาคารทั่วสหรัฐฯ มีมูลค่าสินทรัพย์น้อยกว่าหนี้สินของพวกเขา โดยมีรายงานว่ามูลค่าตลาดของสินเชื่อทั้งหมดที่สถาบันการเงินทั้งหลายเหล่านี้ปล่อยเงินทุนไป (loan portfolios) มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
นั่นทำให้ ศาสตราจารย์เซรู ตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ที่คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบทางการเงินของสหรัฐฯ นำมาใช้จัดการกับปัญหาต่างๆ ที่บรรดาธนาคารขนาดกลางต้องเผชิญ ว่าคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบสามารถควบคุมวิกฤตสภาพคล่องได้ทันทีด้วยการคุ้มครองเงินฝากทั้งหมดชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มันจะไม่สามารถจัดการกับวิกฤตล้มละลายที่ใหญ่โตกว่านี้
หลายปัจจัยสนับสนุนทองทำนิวไฮใหม่
มีการประเมินว่า ราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังเป็นภาพของการไซด์เวย์อัพ และมีโอกาสในการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ที่น่าจะใกล้ถึงจุดสิ้นสุด หลังส่งสัญญาณที่อาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย จนทำให้ราคาทองคำขยับขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดที่ 2,078 ดอลลาร์
นอกจากนี้ สถานการณ์ธนาคารขนาดใหญ่ของโลกหลายแห่งมีการปิดตัวลง ยังมีออกมาต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีและอาจจะสะท้อนว่าอาจจะเกิดวิกฤตการเงินรอบใหม่ ที่มีโอกาสที่จะรุนแรงกว่าปี 2008 ทำให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมีราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวด้านการเงินรายหนึ่งแสดงความเห็นว่า อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ระดับเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐที่ค่อนข้างสูง ซึ่งในปีที่ผ่านมาสหรัฐเก็บภาษีได้เพียง 35% ถือว่าน้อยมาก จึงมีการคาดการณ์ว่ารอบนี้หากสหรัฐยังเก็บภาษีได้แค่ 35-45% อาจจะมีโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้
ไม่เพียงเท่านี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่พร้อมเข้ามาสนับสนุนให้ราคาทองคำขยับตัว อาทิ สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐและจีน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่พร้อมเร่งให้ราคาทองคำขยับตัวเพิ่มขึ้น จนมีโอกาสสร้างสถิติใหม่ขึ้นอีกภายในปีนี้ในระดับ 2,100 ดอลลาร์