อาจารย์เจษฎาให้ความรู้หลังมีการแห่แชร์ข้อมูลแมวตกจากที่สูงไม่เป็นอะไร จากกรณีแมวชิฟูตกจากตึก 6 ชั้นแต่บาดเจ็บเล็กน้อย ชี้โชคดีที่ชิฟูไม่ตาย เพราะแมวส่วนใหญ่หากตกจากตึกชั้น 7 ลงมาจะมีโอกาสทั้งตายหรือบาดเจ็บได้
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพกระจกหลังรถแตกเป็นรูและเจ้าแมวตัวอ้วนอีก 1 ตัว โดยระบุว่าแมวตกจากชั้น 6 คอนโดมิเนียมใส่รถ และทางนิติ โทร.แจ้ง ยังคิดว่าแค่แมวตกใส่ไม่น่ามีปัญหา แต่เห็นรถสุดช็อตฟีล แมวหนักถึง 8.5 กิโลฯ ตกใส่รถทำกระจกรถแตกยับตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (31 พ.ค.) เพจ “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” หรือ ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ให้ความรู้ระบุว่า "แมวนั้นไม่ได้ปลอดภัยจากการตกจากที่สูง ตามที่หลายคนเข้าใจ เคสนี้ถือเป็นความโชคดีมากที่ตกลงมาแล้วไม่ตาย เพราะส่วนใหญ่หากแมวตกจากตึกชั้น 7 ลงมา จะมีโอกาสทั้งตายหรือบาดเจ็บ
โดยอาการบาดเจ็บที่มักพบจากการที่แมวตกจากที่สูงนี้ ได้แก่ กระดูกหัก ส่วนใหญ่มักเป็นกระดูกขากรรไกร เพราะคางแมวกระแทกกับพื้นตอนที่ตกลงมา (โดยกรณีที่พบบ่อยที่สุดคือ กระดูกขากรรไกรหักและฟันร้าว) และอาการบาดเจ็บที่ขา ภาวะบาดเจ็บที่ข้อต่อ เส้นเอ็นฉีกขาด หรือขาหัก อาการบาดเจ็บภายใน โดยเฉพาะที่ปอด ซึ่งทำให้บรรดาเจ้าของแมวเริ่มตระหนักกับปัญหานี้เพิ่มขึ้น และต้องปรับปรุงห้องพักที่อยู่ตามตึกสูง ให้มีความปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง จนกลายเป็นธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟูอย่างมากในสิงคโปร์
อย่างไรก็ตาม เคยมีการวิจัยจากนายสัตวแพทย์ Jared Diamond ที่ทำงานในโรงพยาบาลสัตว์ที่ New York ได้ศึกษาค้นคว้าและเก็บข้อมูลเชิงสถิติจากการตกตึกของแมว โดยได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาไว้ในวารสาร Nature เอาไว้อย่างน่าสนใจ ว่า
- จากการศึกษาแมวกว่า 115 ตัว จากการตกตึกจากชั้นที่ 2 ถึง ชั้นที่ 32
- มีแมวจำนวน 11 ตัว ตายจากอาการบาดเจ็บช่วงอกหรือช็อกตาย และแมวที่รอดชีวิต มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงบาดเจ็บสาหัส
- โดยแมวที่ตกจากชั้นที่ 7 ถึงชั้นที่ 32 ส่วนใหญ่กลับรอดชีวิตทั้งหมด !?
- ผลสรุปการวิจัยพบว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีทักษะการเอาตัวรอดแต่กำเนิด ซึ่งมีชื่อว่า “การกลับตัวกลางอากาศ”
- แมวสามารถจัดระเบียบร่างกายของตัวเองระหว่างที่อยู่กลางอากาศได้ โดยแมวจะชะลอความเร็วระหว่างตกได้ด้วยการกางแขนขาที่มีขนนุ่มฟูเพื่อต้านแรง ไม่ว่าแมวจะตกจากชั้นไหนก็ตาม ความเร็วปลายจะอยู่ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งไม่มากพอที่จะทำให้น้องแมวเสียชีวิตได้
- แต่แมวที่ตกจากตึกชั้นที่ต่ำกว่า 7 ชั้นลงมา จะมีโอกาสตายมากกว่า (แมวที่ตกจากตึกที่สูงกว่า 7 ชั้น) เนื่องจากแมวไม่มีเวลามากพอที่จะจัดระเบียบร่างกายตัวเองให้ทัน!!
(อธิบายเพิ่ม) การที่แมวตกจากตึกสูงไม่เกิน 7 ชั้นมีโอกาสบาดเจ็บขาหัก หรือบาดเจ็บมากกว่าตกจากที่สูงกว่านั้น เพราะเวลาที่สิ่งต่างๆ ตกจากตึก มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า ความเร็วปลาย (terminal velocity) ซึ่งก็คือความเร็วที่สุดที่เกิดขึ้นได้เพราะมีแรงต้านอากาศ ทำให้สิ่งที่ตกลงมา ไม่ตกเร็วไปกว่านี้ (100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และที่ความเร็วปลายนี้ แมวจะรู้สึกเหมือนตัวมันไร้น้ำหนักและผ่อนคลาย (คล้ายกรณีของนักกระโดดร่ม เมื่อตกลงมาถึงที่ความเร็วปลาย) ทำให้สัญชาตญาณของแมวบอกให้มันกางขาทั้งสี่ขาออก (เหมือนนักกระโดดร่มที่กางแขนขา) ส่งผลให้เพิ่มแรงต้านอากาศ ความเร็วขณะที่แมวร่วงจะช้าลง ขณะที่มันก็จะเตรียมตัวลงสู่พื้นแบบกระจายแรงกระแทกไปให้ทั่วร่างกายอันยืดหยุ่นของมัน และเนื่องจากมันมีน้ำหนักตัวค่อนข้างน้อย จึงไม่ทำให้แมวตาย
แต่ถ้าแมวตกจากตึกเตี้ยๆ ด้วยระยะทางที่สั้นเกินไป มันกลับไม่สามารถเปลี่ยนท่ากลางอากาศได้ทัน ร่างกายจึงกระแทกกับพื้นได้ (ทั้งหมดนี้ เป็นสมมติฐานที่นักวิจัยคาดเอาจากสถิติการบาดเจ็บของแมวตกตึก ไม่ได้มีการทดลองเอาแมวจริงๆ โยนจากตึก)
ดังนั้น การที่แมวตกตึก จึงไม่ใช่แค่เรื่องขำๆ เล่นๆ ที่คิดว่ามันจะรอดชีวิตได้ง่ายๆ เพียงเพราะคิด ตึกที่อยู่นั้นไม่ได้สูงอะไรมากมาย (เพราะมันพลิกกลับตัวไม่ทัน เลยกระแทกพื้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้) และอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน แมวหลุดออกไปนอกระเบียง อย่างกับข่าวนี้ก็เป็นได้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้อีก การเลี้ยงแมวบนตึกสูงจึงต้องทำการปิดประตูหรือกระจกที่เชื่อมไปบริเวณระเบียง ถ้าไม่มีใครอยู่ห้อง ควรจะจับแมวไว้ในกรง และถ้าพบว่าแมวตกตึก ตกจากที่สูง ให้รีบนำไปพบสัตว์แพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อให้ตรวจวินิจฉัยร่างกายโดยละเอียด”