"รสนา" ชี้ชัยชนะของพรรคก้าวไกลเป็นการส่งสัญญาณชัด ประชาชนต้องการการเมืองใหม่ ไม่ต้องการการเมืองแบบครอบครัว หรือการเมืองที่อาศัยทุนจากกลุ่มทุนต่างๆ มาหาเสียง หว่านประชานิยมให้คำสัญญาแบบลมๆ แนะ 3 แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยแสดงสปิริต ถอนตัวออกจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมดักคอพรรคเพื่อไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ควรอาศัยเล่ห์กลมาจัดตั้งรัฐบาลแข่งอีกต่อไป
วันที่ 17 พ.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาระบุว่า ขอให้การเลือกตั้งครั้งนี้นำประเทศไปสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติโดยเจตจำนงของประชาชนเสียงข้างมาก
ชัยชนะของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเป็นเจตจำนงของประชาชนเสียงข้างมากอย่างชัดเจนที่ต้องการให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจับมือกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก
ปรากฏการณ์ก้าวไกลที่ “กระแสชนะกระสุน” และสามารถเอาชนะ "บ้านใหญ่" ทั้งระดับประเทศ และระดับจังหวัดใหญ่ๆ หลายจังหวัดเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าประชาชนต้องการการเมืองอย่างใหม่ ไม่ต้องการเลือกพรรคการเมืองแบบเดิมๆ ที่เป็นการเมืองของครอบครัว หรือเป็นธุรกิจการเมืองที่อาศัยทุนจากกลุ่มทุนต่างๆ มาหาเสียง หว่านโปรยประชานิยม ทั้งลด ทั้งแจก ทั้งให้คำสัญญาแบบลมๆ
การเมืองแบบล้าหลังเดิมๆ ที่พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยอาศัยกระสุนจากกลุ่มทุน ก็จะต้องมีตัวแทนกลุ่มทุนต่างมานั่งเป็นเจ้ากระทรวงคุมนโยบายถอนทุนให้ธุรกิจของกลุ่มทุนเหล่านั้น เช่น กลุ่มทุนพลังงาน กลุ่มทุนก่อสร้าง และกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มทุนน้ำเมา หรือกลุ่มทุนสื่อสาร ฯลฯ
ดิฉันอยากเห็นการแสดงสปิริตของแคนดิเดต 3 คนของพรรคเพื่อไทยถอนตัวออกจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเหมือนคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถอนตัวออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพราะได้คะแนนเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเป้า แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยควรถอนตัวจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเช่นกัน เพราะไม่สามารถชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์หรือได้คะแนนสูงสุดตามที่ตั้งเป้าไว้
การที่ประชาชนไม่เลือกเพื่อไทยเป็นอันดับสูงสุด น่าจะแสดงให้เห็นว่ายุคสมัยการเมืองแบบครอบครัวหรือบ้านใหญ่ กำลังจะล่มสลาย ประชาชนจำนวนมากขึ้นไม่ต้องการเลือกพรรคการเมืองที่ถูกครอบงำด้วยครอบครัว หลายคนน่าจะรู้สึกที่เห็นว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ทำงานอย่างหนักให้พรรค แต่กลับไม่ได้อยู่ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ แม้แต่ลำดับเดียว กลับกลายเป็นมีหน้าที่แค่ระดับเสมียนพรรค !?
แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย เป็นแค่สมาชิกพรรคและเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่ต่างจาก พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยไม่อยู่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นแค่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้งสองพรรคต่างขั้วอุดมการณ์แต่เดินแนวทางการเมืองน้ำเน่าแบบเดียวกัน ทั้งสองพรรคไม่ควรอาศัยเล่ห์กลมาจัดตั้งรัฐบาลแข่งอีกต่อไป พรรคใดที่ฝืนเจตจำนงของประชาชน
พรรคนั้นก็อาจสูญพันธุ์ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ทันทีที่จบการเลือกตั้งก็มีข่าวลือสะพัดว่า จะผลักให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน หรือยุบพรรคก้าวไกลเพื่อให้มีพรรคอื่นเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลโดยใช้กลไกต่างๆ ทางกฎหมาย เช่น ให้ ส.ว.งดออกเสียงเพื่อไม่ให้การโหวตนายกรัฐมนตรีที่ต้องมีเสียงทั้ง 2 สภาเกินกึ่งหนึ่ง คือ 376 เสียงตามรัฐธรรมนูญเพื่อสกัดไม่ให้พรรคก้าวไกลเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ หรือหาทางตัดสิทธิหัวหน้าพรรคก้าวไกลจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อเอาแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอื่นมาจับขั้วตั้งรัฐบาลให้จงได้ ถึงขนาดมีการคาดการณ์ว่าอาจมีการยุบพรรคก้าวไกล หรือให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะกันเลยทีเดียว
ดิฉันเห็นว่าการยอมรับหลักการประชาธิปไตยการเลือกตั้งจะเป็นการนำประเทศเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ ไม่ควรหักหาญเสียงของประชาชนที่ผ่านการลงคะแนนเลือกตั้ง เราคงไม่ต้องการเห็นการลุกฮือขึ้นเพื่อก่อความวุ่นวาย หากผู้มีอำนาจเดิมล้มกระดานไม่ยอมรับกติกาเสียเอง
ความสงบไม่สามารถจบด้วยการรัฐประหาร แต่ความสงบต้องจบที่การเคารพประชามติจากการเลือกตั้ง และนำปัญหาความขัดแย้งทั้งปวงเข้าไปถกเถียง
แก้ไขกันภายในรัฐสภาที่ตัดสินกันด้วยเสียงข้างมากและเคารพเสียงข้างน้อยอันเป็นกติกาสากลประชาธิปไตยของอารยประเทศ แม้มิใช่วิถีการเมืองที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นวิถีการเมืองที่ลดความขัดแย้งของคนในชาติได้ดีกว่าการรัฐประหารหรือตุลาการภิวัฒน์ ใช่หรือไม่ ??!!