1."ทักษิณ" เปิดใจสื่อนอก พร้อมกลับมารับโทษจำคุกหลังเลือกตั้ง อยากใช้ชีวิตที่เหลือกับครอบครัว ทนทุกข์มามากแล้ว!
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ด้วยนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ พ.ศ.2562 และบัดนี้ได้ปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีที่สี่ อันเป็นปีสุดท้ายของอายุสภาผู้แทนราษฎรแล้ว สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนโดยเร็ว เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 103 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566
ด้าน กกต. ได้มีมติให้วันที่ 14 พ.ค. เป็นวันเลือกตั้ง วันที่ 3-7 เม.ย. เป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.สแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งประกาศกำหนด วันที่ 4-7 เม.ย. เป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและพรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ห้องบางกอก อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค. สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคดีทุจริตไปอยู่ต่างประเทศประกาศว่า เขาพร้อมที่จะรับโทษจำคุกในไทย แลกกับการที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในไทยที่กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะออกมาจะอย่างไรก็ตาม
นายทักษิณ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกรุงโตเกียวกล่าวว่า เขากำลังพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งอาจจะเป็นภายในปีนี้หลังการเลือกตั้ง และพร้อมที่จะรับโทษจำคุก โดยเขาหวังว่าจะยื่นอุทธรณ์ในบางคดี
“ตอนนี้ผมติดคุกมา 16 ปีแล้ว เป็นคุกใหญ่ มันกีดกั้นผมไม่ให้อยู่กับครอบครัว ผมทรมานมามากพอแล้ว ถ้าผมต้องไปทนทุกข์ในคุกเล็กอีกก็ไม่เป็นไร แม้มันไม่ใช่ราคาที่ผมจำเป็นจะต้องจ่าย แต่ผมยอมจ่าย เพราะผมอยากอยู่กับหลานๆ ผมควรใช้เวลาที่เหลือในชีวิตกับลูกๆ หลานๆ”
นายทักษิณกล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยของเขาก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณา เพราะเขาเผชิญกับความพยายามในการลอบสังหารมาแล้วถึง 4 ครั้งเมื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยืนยันว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ใช่ทางเลือกเพื่อพาเขากลับบ้าน
“ผมบอกกับลูกสาวว่า อย่ายอมให้พรรคเพื่อไทยผลักดันให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผม เพราะมันไม่จำเป็น คนที่ต่อต้านผมจะไม่พอใจ และกฎหมายต้องมีไว้สำหรับคนทุกคน ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาเพื่อให้ทหารสามารถครองอำนาจอยู่ต่อไป”
นายทักษิณยืนยันว่า การกลับมารับโทษจำคุก ไม่ถือเป็นการทรยศต่อผู้สนับสนุนที่ต่อสู้เพื่อเขาทั้งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา และในการชุมนุมที่เกิดขึ้นมากมาย เพราะเขาไม่ได้ยอมรับว่าตนเองทำผิด แต่เป็นเพราะอคติของระบบในอดีตที่รังแกเขา แต่ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือกับลูกๆ “ผมอยากกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว พวกเขาและผมต่างทนทุกข์กันมามากแล้ว”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ระหว่างร่วมกิจกรรมเปิดตัวผู้สมัครของพรรคเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ถึงกรณีนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นว่า จะขอกลับมารับโทษจำคุกที่ประเทศไทย แต่ น.ส.แพทองธาร ปฏิเสธที่จะตอบคำถามหรือแสดงความเห็นกรณีดังกล่าว เพียงแต่หันหน้ามามองคนถาม ก่อนจะเดินทักทายแฟนคลับ และขึ้นรถเดินทางกลับ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้เชียร์พรรคเพื่อไทย”
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ยืนยันว่า ยังไม่ได้อ่านข่าวนี้ จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่า กลับมาแล้วจะทำให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้น หรือเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ ส่วนการที่ยอมรับโทษ นายณัฐวุฒิ เข้าใจว่า นายทักษิณคงมีรายละเอียดตามมา รอฟังจากนายทักษิณดีกว่า
2."ชูวิทย์" ยอมรับ รับเงิน "สารวัตรซัว" หลังถูก "ทนายษิทรา" แฉ แต่อ้างบริจาคให้ รพ.แล้ว ยัน 6 ล้าน ไม่ใช่ 50 ล้าน ด้าน ตร.เตรียมสอบฟอกเงินหรือไม่!
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. เฟซบุ๊ก "ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ" ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ภาพเงินสดจำนวนมากบรรจุอยู่ในถุงกระดาษใบใหญ่ 2 ถุง พร้อมระบุว่า "แฉไป ไถไป" ตามมาด้วยคอมเมนต์ระบุว่า "คนที่คุณเห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด หมดศรัทธา"
"ไถสีเทามา 50 ล้าน บริจาคเอาหน้าที่ละ 3 ล้าน สร้างภาพกลับตัวกลับใจ ผมไม่อยากสวนกระแสนะครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชมมาตลอด แต่พอรู้ความจริงแล้ว มันหมดรักเลยจริงๆ ผมไม่อยากให้มีอาชีพแบบนี้ สร้างประเด็นข่าว ตีๆ แล้วไถ ใครยอมจ่ายก็ไม่พูดถึง เราจะยกย่องคนแบบนี้เป็นฮีโร่จริงหรือครับ"
"คนที่บอกว่ารวยแล้วไม่เอาเงินแค่นี้ คิดใหม่นะครับ ยิ่งรวยยิ่งโลภ ถ้าวันนี้ผมมีเงินพันล้าน คุณเอามาให้ผมฟรีๆ ย้ำว่าฟรีๆ สัก 10 ล้าน จะไม่เอาหรือครับ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องทำไร คนรวยไม่ใช่พระนะครับ จะได้ไม่ต้องใช้เงิน"
เมื่อลูกเพจถามว่า "คู่กรณีตลอดกาลหรือเปล่าครับท่านทนาย...ชอบหนีบซองไง?" ทนายตั้มตอบว่า "ขานั้นแสนหนึ่งก็ดีใจแล้วครับ แต่ขานี้ 10 20 50 เท่านั้น" ลูกเพจอีกรายถามว่า "แล้วจ่ายทำไม" ทนายตั้มตอบว่า "จ่ายให้หุบปากไงครับ จะงงทำไม"
หลังทนายษิทราโพสต์ภาพเงินในถุงกระดาษจำนวนมากพร้อมข้อความ "แฉไป ไถไป" ปรากฏว่า วันต่อมา (23 มี.ค.) เฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ได้โพสต์ข้อความหัวข้อ "แฉไป ไถไป?" โดยระบุว่า "เงิน 2 ถุง ถุงละ 3 ล้าน ที่ทนายตั้มพูดถึง เห็นแล้วจำได้ชัดเจน เป็นเงินที่นายตำรวจผู้ใหญ่นอกราชการนายหนึ่งที่ผมรู้จักมานาน นำมาให้ที่โรงแรมของผม โดยบอกว่าเป็นเงินของ “ซัว” ให้ผมช่วยหยุดโจมตี ผมบอกไปว่า “ไม่รับเคลียร์” มันไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมยังต้องแฉต่อ"
"แต่นายตำรวจท่านดังกล่าว ยืนยันยัดเยียดให้ผมรับไว้ และสิ่งที่ง่ายที่สุด คือ ผมเก็บเงินไปใช้ส่วนตัว เพราะไม่มีใครทราบ แต่ผมเลือกที่จะนำเงินในถุงแรกจำนวน 3 ล้าน ไปบริจาคให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วาเลนไทน์เดือนที่แล้ว และอีกถุงจำนวน 3 ล้านเท่ากัน ไปบริจาคให้โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งสองครั้งมีสื่อมวลชนไปทำข่าวเป็นสักขีพยาน และผมก็ยังแฉเรื่อง “ซัว” อย่างต่อเนื่อง"
“หลักการของผมชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ปฏิเสธ แต่เงินที่ยัดมาไม่เคยคิดจะใช้ส่วนตัวแม้แต่สักบาทเดียว หากผมจะเก็บไปใช้เอาไว้แจกอีหนูก็ได้ แต่เงินแค่นี้ไม่มีความหมาย หากมี 50 ล้านมาให้อย่างที่ทนายตั้มว่าจริง ผมก็นำไปบริจาคอีก จะเรียกผมว่าอะไรก็ได้ นักบุญคนบาป โรบินฮูด นักแฉใจบุญ หรือใครจะเอาอย่างผมก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มันรับแล้วเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งนั้น ลองถามทนายตั้มดูสิครับ อย่าเรียกผมว่าคนดี หรือมาศรัทธาอะไรผมเลยครับ ผมก็ไม่ใช่ “ฮีโร่” อยู่แล้ว ส่วนใครจะตราหน้าผม ก็ขอรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ผมนั้นเป็นโจร เพียงแต่เป็น ”โจรที่เอาเงินบาปไปทำบุญ”
ขณะที่เฟซบุ๊ก "ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ" ได้เข้ามาคอมเมนต์ว่า "แหม่ พี่ชูวิทย์ ใจบุญจริงๆ นี่ถ้าผมไม่โพสต์ จะมีคนรู้ไหมว่ารับเงินพวกนี้มา แต่ผมว่ามันคนละยอดกันเลยนะ" พร้อมคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า “หลังจากเห็นโพสต์นี้ ตอนนี้พี่ชูวิทย์ก็รับแล้วนะครับว่า รับเงินสารวัตรซัว ที่แกรับเพราะแกพอจะเดาได้ว่าผมมีอะไรมากกว่านี้...”
เป็นที่น่าสังเกตว่า มีผู้แสดงความเห็นต่อข่าวที่นายชูวิทย์ยอมรับว่า รับเงินจากสารวัตรซัว โดยระบุว่า "แค่ไม่รับ มันยากเหรอ? รับมายังต้องถือตั้ง 6 กิโลกรัม ไม่รับก็ไม่ต้องถืออะไรนี่ ทีนี้ สองโรงพยาบาลก็คืนเงินแน่ ...อย่าเอาเงินบาปไปทำบุญเอาหน้า เพราะคุณต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่สร้างหลักฐานแบบนี้ มันเดือดร้อนคนอื่นเขา ถ้าเขาเอาเงินส่วนนั้นไปใช้แล้ว เขาจะเอาที่ไหนมาคืน เงินบาป คนบาป ทำบาปต่อเนื่อง คนบาปอย่าทำบุญเอาหน้า อย่าลำเลิกบุญคุณเงินบาป"
ทั้งนี้ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำของนายชูวิทย์ที่เลือกรับเงินที่ได้มาโดยไม่สุจริต แล้วนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลนั้น อาจเข้าข่ายการฟอกเงิน เพราะมาตรา 5 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ระบุว่า ผู้ใด (1) โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ในความผิดมูลฐาน หรือ (2) กระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (3) ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
ทั้งนี้ หลังนายชูวิทย์ออกมายอมรับว่า รับเงินจากสารวัตรซัว (พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล ผู้ต้องหาขบวนการพนันออนไลน์) และนำมาบริจาคให้ รพ.ศิริราช และ รพ.ธรรมศาสตร์ ซึ่งมีการมองว่า นายชูวิทย์อาจเข้าข่ายฟอกเงินด้วยนั้น ปรากฏว่า ทั้ง 2 รพ.ได้ติดต่อเพื่อขอคืนเงินบริจาคให้นายชูวิทย์แล้ว
โดยเมื่อวันที่ 24 มี.ค. นายชูวิทย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "ศิริราช กับ ธรรมศาสตร์ ประสานมาแล้วนะครับ จะคืนเงินบริจาค ผมก็จะเอาเงินไปให้ตำรวจ รู้สึกสบายใจขึ้นมั้ยครับ"
ด้าน นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงชี้แจงการรับเงินบริจาคจากนายชูวิทย์ว่า นายชูวิทย์ได้บริจาคเงินด้วยแคชเชียร์เช็คให้กับภาควิชากายวิภาคศาสตร์ รพ.ศิริราช จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ทาง รพ.ศิริราช จึงออกใบเสร็จรับเงินให้กับนายชูวิทย์ หากบริจาคเข้ามูลนิธิศิริราชพยาบาล ใบเสร็จสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
นพ.อภิชาติ กล่าวด้วยว่า วันที่รับการบริจาคไม่ได้มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวกับนายชูวิทย์ โดยต่อมามีการนำเสนอข่าวว่า เงินดังกล่าวอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งทางภาควิชาไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีการติดต่อเพื่อขอคืนเงินให้กับนายชูวิทย์ในช่องทางที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด "แม้ว่าจะเป็นการบริจาคเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ถ้ามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฏหมาย ก็ควรให้เป็นทางกระบวนการยุติธรรมจะดีที่สุด"
ด้าน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บช.ก. กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ ยอมรับว่า รับเงินจากสารวัตรซัว เพื่อให้เลิกหยุดแฉนั้น ทางกองบัญชาการสอบสวนกลางจะต้องพิจารณาก่อนว่าทางพนักงานสอบสวนมีอำนาจให้การตรวจสอบหรือไม่ และเงินที่นายชูวิทย์ ได้มาเป็นเงินจากอะไร หากเป็นเงินจากการกระทำความผิด จะต้องถูกดำเนินคดีในฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน
3. เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 8 คดี "ธาริต" แจ้งข้อหา "มาร์ค-สุเทพ" มิชอบ หลังเจ้าตัวกลับคำให้การ เป็นรับสารภาพ!
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 8 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมือง ปี 2553 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4
ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการ โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 วรรคสอง กรณีดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ฐานสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมา โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลย ซึ่งศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษากลับให้จำคุกคนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ด้านจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นฎีกา
เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีนี้ ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้ว 7 ครั้ง แต่นายธาริตก็ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาสักครั้ง โดยอ้างเหตุย้ายภูมิลำเนาบ้าง ป่วยบ้าง จึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษามาแล้วถึง 7 ครั้ง รวมระยะเวลานานที่เลื่อนนานกว่า 1 ปี
โดยครั้งแรกศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2564 เมื่อถึงกำหนด นายประกันของนายธาริต อ้างว่า ไม่สามารถนำตัวนายธาริตมาส่งศาลเพื่อฟังคำพิพากษาได้ เพราะนายธาริตย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ศาลจึงนัดอ่านครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ก.พ.2565
แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตได้ขอเลื่อนอีก โดยอ้างว่า ป่วย เกิดอาการชักเกร็ง แขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง รักษาตัวที่ รพ.พญาไท 2 ศาลจึงนัดครั้งที่ 3 ในวันที่ 21 เม.ย.2565 แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ให้ทนายขอศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก โดยอ้างว่า ป่วยโควิด ขอพักรักษาตัว 3 เดือน ศาลจึงนัดอ่านครั้งที่ 4 ในวันที่ 22 มิ.ย.2565 เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ไม่เดินทางมาศาล โดยศาลได้รับแจ้งว่า ไม่สามารถส่งหมายแจ้งวันนัดให้นายธาริตได้ เนื่องจากมีการย้าย ไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ศาลจึงนัดอ่านครั้งที่ 5 ในวันที่ 7 ก.ย. 2565 แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ไม่เดินทางมาศาลอีก โดยอ้างว่า ป่วยโควิด-19 รอบใหม่ และรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ศาลจึงนัดอ่านครั้งที่ 6 ในวันที่ 9 ธ.ค. 2565
แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ไม่เดินทางมาศาลเหมือนเดิม อ้างเหตุว่าป่วยเป็นโรคนิ่วในไต ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ด้วยการผ่าตัด ศาลจึงนัดอ่านครั้งที่ 7 ในวันที่ 2 ก.พ. 2566 แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ยังคงไม่เดินทางมาศาล อ้างเหตุป่วยโรคนิ่วในไต รักษาที่โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แพทย์ไม่ได้ลงความเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยถึงขนาดที่ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ประกอบกับจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุเจ็บป่วยมาแล้วหลายครั้งเป็นเวลากว่า 1 ปี น่าเชื่อว่า การที่จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล เป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ตามพฤติการณ์จึงมีเหตุให้เชื่อว่า จำเลยที่ 1 หลบหนี จึงให้ออกหมายจับ พร้อมนัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่ 8 ในวันที่ 24 มี.ค. 2566
เมื่อถึงกำหนด ทนายของนายธาริต จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ส่งสำนวนคืนศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปรับปรามการทุจริต มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดี ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคแรก มาตรา 26, 27, 29 วรรคแรก ส่งผลให้กฎหมายดังกล่าว เป็นอันใช้บังคับกับคดีไม่ได้ ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 23 มี.ค. 2566
พร้อมกันนี้ จําเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การฉบับเดิม และขอให้การใหม่ เป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาของโจทก์ทั้งสอง เพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกา ในการลงโทษจําเลยที่ 1 สถานเบาหรือรอการลงโทษจำเลยที่ 1
ด้านทนายโจทก์ที่ 1-2 แถลงคัดค้านร่วมกันว่า คดีนี้มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกามาแล้วหลายครั้ง เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จำเลยที่ 1 เป็นนักกฎหมายประกอบวิชาชีพกฎหมายโดยใช้วิชากฎหมายมาโดยตลอด ย่อมต้องทราบดีว่า เมื่อมีการนัดฟังคำพิพากษาแล้ว ไม่มีเหตุที่ต้องขอส่งสำนวนกลับคืนศาลฎีกา โดยอ้างเหตุที่ไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดี การที่จำเลยที่ 1 ขอให้ส่งสำนวนคืนศาลฎีกา จึงเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า
ประกอบกับจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีผลใช้บังคับ แต่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 ดังนั้น มาตรา 157 จึงไม่ใช่กฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดี อันจะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212
อีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาของโจทก์ทั้งสอง เป็นการถอนคำให้การและให้การใหม่ หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จึงล่วงเลยระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรค 2 แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นการให้การไปโดยจำนนต่อหลักฐานและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จึงไม่ควรมีเหตุที่จะบรรเทาโทษให้จำเลยที่ 1
เพื่อไม่ให้การดำเนินกระบวนพิจารณาล่าช้า และป้องกันการประวิงคดีโดยการยื่นคำร้องต่าง ๆ ที่ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาสั่ง เข้ามาก่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา ทนายโจทก์ที่ 1-2 จึงขอให้ศาลฎีกาเป็นผู้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้เอง
โดยทนายโจทก์ที่ 2 แถลงเพิ่มเติมว่า เคยรับหน้าที่เป็นทนายความให้กับคู่ความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 1166/2558 ของศาลนี้ ซึ่งในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาของศาลสูงหลายครั้ง ในลักษณะทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้ ศาลฎีกาจึงได้มีคำสั่งเรียกคืนสำนวนและคำพิพากษาทั้งหมดจากศาลชั้นต้นและดำเนินการอ่านคำพิพากษาเองที่ศาลฎีกา เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน จึงขอให้ศาลฎีกาเป็นผู้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ เช่นเดียวกับในคดีดังกล่าวด้วย
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า หลักเกณฑ์การส่งคำโต้แย้งของคู่ความต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้น ศาลที่มีอำนาจส่งคำโต้แย้งของคู่ความดังกล่าว ต้องเป็นศาลที่จะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งคู่ความโต้แย้งบังคับแก่คดี เมื่อปรากฏว่า คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องดังกล่าว
ประกอบกับจำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาของโจทก์ทั้งสอง เพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณาคำรับสารภาพประกอบการใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาคดีในการลงโทษ จำเลยที่ 1 กรณีไม่อาจอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาในวันดังกล่าวได้ จึงให้ส่งสำนวน พร้อมคำร้อง คำให้การของจำเลยที่ 1 และคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกา ไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาโดยเร็ว ให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาวันที่ 16 มิ.ย.2566 เวลา 09.00 น.
4. ตำรวจ ปคบ. รวบ "นารา เครปกะเทย" หลอกขายกล่องสุ่ม มีผู้เสียหายจำนวนมาก เจ้าตัวคอตกนอนคุกระหว่างฝากขัง ศาลไม่ให้ประกัน!
เมื่อวันที่ 21 มี.ค. พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ รอง ผบก.ปคบ. นำกำลังเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ปคบ.กระจายกำลังลงพื้นที่ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.ลพบุรี เพื่อจับกุมนายอนิวัต ประทุมถิ่น หรือนารา เครปกะเทย อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาโฆษณาหรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดกฎหมาย, ฉ้อโกงประชาชน, ทุจริตหรือหลอกลวงโดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
โดยเป้าหมายสำคัญที่เข้าตรวจค้นอยู่ที่บ้านเลขที่ 15 ม.11 ต.บ้านกรด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านพักแฟนหนุ่มของนายอนิวัต และเชื่อว่าน่าจะเป็นสถานที่กบดานซ่อนตัวของนายอนิวัต เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบตัวนายอนิวัตอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว จึงแสดงตัวเข้าจับกุม พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง ไอแพด 1 เครื่อง และสมุดบัญชีธนาคาร 6 เล่ม
จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ เลขที่ 77/3 ต.บ้านกรด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา หลังทราบว่าถูกใช้เป็นสถานที่เก็บสินค้า และสถานที่ไลฟ์สดขายกล่องสุ่ม ซึ่งสามารถตรวจยึดกล่องสินค้าได้จำนวนมาก
สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าร้องเรียนกับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคบ. ว่า นายอนิวัตมีพฤติการณ์ไลฟ์สดหลอกขายกล่องสุ่มอ้างว่า หากซื้อกล่องสุ่มในราคา 10,000 บาทจะได้รับทองคำ 2 สลึง รวมถึงเงิน 6,000 บาท แต่ถ้าซื้อกล่องสุ่มในราคา 50,000 บาท จะได้รับทองคำ 3 บาท เงินสด 2 หมื่น ถ้าลงทุน 100,000 บาท จะได้รับทองคำ 5 บาท เงินสด 50,000 บาท แต่เมื่อผู้เสียหายโอนเงินซื้อกล่องสุ่มไปให้ นายอนิวัตกลับไม่มีการจัดส่งกล่องสุ่มให้ตามที่ตกลงกันไว้ เข้าข่ายหลอกลวงเอาเงิน จึงจัดกำลังพื้นที่สืบหาเบาะแส พร้อมรวบรวมพยานหลักฐาน จนนำไปสู่การออกหมายจับ และนำมาสู่การจับกุมตัวได้ดังกล่าว
ด้านนางอารี อ่อนละวัน อายุ 47 ปี แม่ของนายอนิวัต หลังทราบข่าวว่าลูกถูกจับกุม ได้เดินทางมาเฝ้าติดตามคดี ก่อนให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า อยากขอเวลาและโอกาสให้กับบุตรชายของตน และว่า ที่ผ่านมาหลังเกิดเรื่อง นายอนิวัตเองก็ไม่เคยหนีไปไหน ตั้งหน้าตั้งตาทำงานขายของเพื่อหาเงินมาใช้คืนผู้เสียหาย ทรัพย์สินมีค่าทุกอย่างที่มีก็ขายไปจนหมดแล้ว ถ้าเกิดต้องติดคุกไป ก็คงไม่มีโอกาสได้หาเงินมาใช้คืน ซึ่งตนเชื่อว่า หากให้โอกาส บุตรชายของตนสามารถหาเงินมาใช้คืนได้ พร้อมทั้งเชื่อว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น นายอนิวัตไม่มีเจตนาฉ้อโกงอย่างแน่นอน
ด้าน พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า คดีนี้มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งเอาผิดแล้วส่วนหนึ่ง แต่เชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้แจ้งเอาผิด เหตุเพราะยังมีความหวังและเชื่อว่าจะได้เงินกลับคืน ตอนนี้มูลค่าความเสียหายเฉพาะกลุ่มที่เข้าแจ้งความเบื้องต้นประมาณล้านกว่าบาท ส่วนความเสียหายภาพรวมทั้งหมดยังประเมินไม่ได้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวต่อว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้น นายอนิวัตยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่เจ้าตัวสามารถทำได้ หรือจะให้การอย่างไรก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน อย่างไรก็ตามหลังเสร็จสิ้นการสอบปากคำ ทางพนักงานสอบสวนจะส่งตัวฝากขัง พร้อมยื่นคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวนและชั้นศาล เนื่องจากคดีดังกล่าวมีผู้เสียหายจำนวนมาก เกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ส่วนกรณีดังกล่าวจะมีบุคคลอื่นหรือบุคคลใกล้ชิด โดยเฉพาะแฟนหนุ่มของนายอนิวัตเกี่ยวข้องหรือร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่นั้น พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ อยู่ระหว่างตรวจสอบ
ทั้งนี้ หลังพนักงานสอบสวนนำตัวนายอนิวัติขอศาลฝากขังพร้อมคัดค้านการประกันตัว ทนายความของนายอนิวัติได้ยื่นขอประกันตัวเมื่อวันที่ 24 มี.ค. โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท พร้อมเสนอขอติดกำไล EM ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก ผู้เสียหายหลายคน มีการกระทำเป็นขั้นตอน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว หากปล่อยตัวชั่วคราวเชื่อว่า ผู้ต้องหาอาจหลบหนี จึงไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของนายอนุวัต เบื้องต้นพบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารเฉพาะเพียงแค่ 3 บัญชี มากถึงกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะเร่งตรวจสอบให้แน่ชัดว่า เงินเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีการผ่องถ่ายไปที่ใดบ้าง โดยเฉพาะเงินที่ได้มาจากการหลอกขายกล่องสุ่ม เพื่อติดตามยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดเหล่านี้กลับคืนมา
นอกจากนี้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน โดยเฉพาะการผ่องถ่ายทรัพย์สินที่ได้จากการทำผิดไปให้บุคคลใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ก็อาจมีการพิจารณาดำเนินคดีเพิ่มเติมในความผิดฐานฟอกเงินอีกด้วย
รายงานแจ้งด้วยว่า สำหรับนายอนิวัต หรือนารา เครปกะเทย นั้น ก่อนหน้านี้ เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. จับในความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จากกรณีร่วมกันผลิตและเผยแพร่สื่อโฆษณาที่มีลักษณะเข้าข่ายเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อเดือน มิ.ย. 2565 และในเดือน ก.ย. ปีเดียวกัน ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ. และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จับกุมอีกครั้งในคดีจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ก่อนจะมาถูกจับอีกครั้งในคดีหลอกขายกล่องสุ่มดังกล่าว
5. หนุ่มคลั่งกราดยิงดับ 3 ศพ เจ็บหลายราย กลางเมืองเพชร ตำรวจตัดสินใจวิสามัญหลังสถานการณ์ยืดเยื้อ ควบคุมไม่ได้!
เมื่อวันที่ 22 มี.ค.เวลา 14.00 น. ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายเป็นชาย ทราบชื่อคือ นายอนุวัช แหวนทอง อายุ 30 ปี ก่อเหตุใช้อาวุธปืนกราดยิงคนภายในหมู่บ้านกรุงเพชรวิลล่า ซอย 4 หมู่ 3 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี จึงรุดไปตรวจสอบ
พบคนร้ายหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน และยิงปืนออกมาเป็นระยะ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงตัวผู้ก่อเหตุได้ จากการตรวจสอบ พบผู้บาดเจ็บถูกยิงนอนร้องครวญครางอยู่ถนนหน้าบ้านที่เกิดเหตุ 1 ราย ต่อมา ร.ต.ต.กนกศักดิ์ มุทธากาญจน์ นายก อบต.ต้นมะม่วง ได้รับแจ้งเหตุจากปลัด อบต.ต้นมะม่วง จึงขับรถมายังที่เกิดเหตุ ปรากฏว่า ถูกนายอนุวัชที่อยู่บนบ้านกระหน่ำยิงมาที่รถของนายก อบต. ส่งผลนายก อบต.ได้รับบาดเจ็บ กระสุนเจาะกรามด้านล่างติ่งหู ก่อนถูกนำตัวส่ง รพ.
และเนื่องจากบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ มีศูนย์เด็กเล็ก เจ้าหน้าที่จึงอพยพเด็กเล็กประมาณ 40 คน ออกจากพื้นที่ไปยังที่ปลอดภัย
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 60 นาย ได้ปิดล้อมที่เกิดเหตุ ขณะที่คนร้ายยังยิงปืนออกมาเป็นระยะ เจ้าหน้าที่พยายามนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังพบผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 ราย หน้าบ้านที่เกิดเหตุ โดยรายหนึ่งเป็นไรเดอร์ส่งของ ส่วนที่เหลือเป็นชาวบ้านละแวกใกล้เคียง ตำรวจยังไม่สามารถนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุได้ แม้ตำรวจจะนำมารดาของผู้ก่อเหตุมาเกลี้ยกล่อมให้มอบตัว ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
รายงานแจ้งว่า นายอนุวัช ผู้ก่อเหตุ เคยผ่านการฝึกทหารพราน ก่อนหน้านี้ถูกจับกุมคดีข่มขู่ทำร้ายร่างกาย คดีอาวุธปืน โดยช่วงเช้าวันเกิดเหตุ นายอนุวัชมีนัดไปขึ้นศาลในคดีทำร้ายร่างกาย คาดว่า เกิดอาการเครียด แล้วใช้อาวุธปืนยิงกราดใส่คนทั่วไป
เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงช่วงเย็น เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถนำผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บออกจากจุดเกิดเหตุได้ ขณะเดียวกันมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 2 นัด มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเป็นนักศึกษาที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามที่เกิดเหตุ 1 คน รวมมีผู้เสียชีวิตบนถนน 3 คน และบาดเจ็บ 3 คน
มีรายงานว่า นายอนุวัช ผู้ก่อเหตุเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายนายพสิษฐ์ หนึ่งในผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี ซึ่งอยู่หอพักฝั่งตรงข้าม วันเกิดเหตุ ทั้งคู่จะต้องไปขึ้นศาลในคดีทำร้ายร่างกาย แต่ก่อนไปขึ้นศาล ยังมีเรื่องท้าทายกัน กระทั่งวันเกิดเหตุ นายอนุวัชเกิดคลุ้มคลั่ง คาดว่ามีอาการเมาด้วย ก่อนใช้ปืนยิงคู่กรณีเสียชีวิต และยิงผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายดังกล่าว
หลังสถานการณ์ดูท่าว่าจะยืดเยื้อยาวนาน ไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ในที่สุด เจ้าหน้าตำรวจตัดสินใจบุกเข้าบ้านที่เกิดเหตุและวิสามัญผู้ก่อเหตุในช่วงเช้ามืดวันต่อมา โดย พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เผยว่า เจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมนายอนุวัชเมื่อเวลา 04.00 น.โดยปฏิบัติตามขั้นตอน ใช้ยุทธวิธีจากเบาไปหาหนัก ส่วนที่เหตุการณ์ยืดเยื้อ เนื่องจากผู้ก่อเหตุยิงตอบโต้ตำรวจ จึงต้องนำชาวบ้านออกจากพื้นที่ให้หมดก่อนถึงจะเข้าควบคุมพื้นที่ได้
“ตำรวจพยายามเจรจาแล้วแต่ไม่เป็นผล ผู้ก่อเหตุยิงตอบโต้จากชั้น 2 ของบ้าน ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ คนก่อเหตุก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง จึงตัดสินใจวิสามัญ จากการตรวจภายในบ้านที่กิดเหตุ พบผู้ก่อเหตุนอนเสียชีวิตอยู่ชั้น 2 พบปืน 9 มม.1 กระบอก”