คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มธ.พร้อมคืนเงินบริจาคจำนวน 3 ล้านบาทที่ได้รับจาก “ชูวิทย์” หากพบผิดกฎหมาย ยึดวัตถุประสงค์ผู้ให้ มองการให้เป็นเรื่องเจตนาดี
หลังจากที่ “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด แฉข้อมูลว่านายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มีการรับเงินจากธุรกิจผิดกฎหมาย 50 ล้านบาท โดยเป็นการรับเงินแบบ “แฉไป ไถไป”
ด้านนายชูวิทย์โต้กลับยอมรับว่ามีการรับเงินจาก “สารวัตรซัว” จริง แต่จำนวนเพียงแค่ 6 ล้านบาทเท่านั้น โดยแบ่งไปบริจาคที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ 3 ล้าน และอีก 3 ล้านบาทบริจาคที่โรงพยาบาลศิริราช
ล่าสุดวันนี้ (23 มี.ค.) รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้แจงปมเงินบริจาค 3 ล้านบาทของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ว่า ขอยึดหลักวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค แต่ยินดีที่จะทำตามกฎหมายหากต้องคืนเงินบริจาค
รศ.นพ.ดิลกกล่าวว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2566 นายชูวิทย์ได้มาบริจาคเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้แก่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงห้องปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์ และเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ ส่งเสริมการเรียน การสอน และเมื่อปีที่แล้ว วันที่ 6 ก.ย. 2565 นายชูวิทย์ก็ได้มาบริจาครถควบคุมอุณหภูมิสำหรับใช้รับร่างอาจารย์ใหญ่ ให้แก่สาขากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย
ส่วนเงินบริจาคที่ได้มาจากเว็บพนัน รศ.นพ.ดิลกระบุว่า ตามธรรมเนียมของการบริจาค คือความหวังดีของผู้บริจาค โดยทั่วไปจะมีกิจกรรมแบบนี้สม่ำเสมอ ส่วนจะเป็นเงินสงสัยจากส่วนไหน ไม่ได้เป็นประเด็นที่เราจะไปตัดสิน ขอยึดหลักของผู้บริจาคก่อน แต่ถ้าทางกฎหมายจะว่าอย่างไร ก็จะทำตามกฎหมายที่ออกมาทันที ขอให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะแนวทางการปฏิบัติของทางคณะแพทย์ฯ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ในส่วนนี้จึงยังไม่มีความรู้สึกอะไรจนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏ
รศ.นพ.ดิลกกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การรับบริจาคเงินทางโรงพยาบาลไม่ได้มีการตรวจสอบคนที่จะมาบริจาค ส่วนตัวคิดว่าเป็นทุกที่ โดยทั่วไปในสังคมไทย การบริจาคเป็นเรื่องปกติที่คนในสังคมจะช่วยกัน โดยเฉพาะในส่วนการสนับสนุนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะธรรมเนียมปฏิบัติเดิมไม่ได้มีการเข้าไปตรวจสอบ
หลังจากนี้จะมีการตั้งเกณฑ์ผู้ที่จะเข้ามาบริจาคหรือไม่ รศ.นพ.ดิลกระบุว่า เรื่องนี้อาจจะมีเรื่องของความรู้สึก เบื้องต้นคนส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ที่ดีในเรื่องของการให้ ซึ่งการตรวจสอบไม่ได้อยู่ในธรรมเนียมปฏิบัติเดิม แต่คิดว่าจากกรณีของนายชูวิทย์จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ถ้าหลักกฎหมายกำหนดอะไรมาก็ยินดีปฏิบัติตาม