xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 ก.พ.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.สูญเสีย ตร.น้ำดี! "ส.ต.อ.เศรษฐการ" ขี่ จยย.ไล่ตามเก๋งซิ่งหนีตรวจค้น ก่อนถูกอีกฝ่ายปาดหน้าพุ่งชนดับ ผู้ก่อเหตุโดน 4 ข้อหา เจตนาฆ่า!

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. เวลา 16.30 น. พ.ต.ท.ธนภณ เอี่ยมสะอาด สารวัตรสอบสวน ส.ทล.2 กก.8 บก.ทล. ได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุ รถเก๋งชนกับรถจักรยานยนต์เจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย เหตุเกิดบริเวณสะพานข้ามแยกลำลูกกา บนถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันออก (บางปะอิน-บางพลี) ทางหลวงหมายเลข 9 หลัก กม.30.4 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จึงรีบรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ในที่เกิดเหตุ พบศพ ส.ต.อ.เศรษฐการ ลอยขามป้อม ผบ.หมู่ ส.ทล.2 กก.8 บก.ทล. สวมเครื่องแบบตำรวจ ศีรษะมีบาดแผลฉีกขาด ห่างไปประมาณ 100 เมตร พบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นเทรเซอร์ 900 สีขาว หมายเลขทะเบียน 4 ขข- 16 กรุงเทพมหานคร ล้มคว่ำอยู่กลางถนน สภาพด้านหน้าพังยับเยิน ห่างไปประมาณ 80 เมตร พบรถยนต์โตโยต้า วีออส สีดำ หมายเลขทะเบียน 8กฒ- 9648 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าซ้ายพังยับเยิน ด้านข้างมีรอยครูดเป็นทางยาว ล้อด้านหน้าและหลังฝั่งซ้ายแตก จากการตรวจสอบภายในรถ พบขวดเบียร์ยังไม่หมดขวด วางอยู่ ส่วนผู้ขับขี่รถ มีพยานเห็นว่าวิ่งหลบหนีลงไปด้านล่าง เป็นชายสวมเสื้อสีดำ

จากการสอบถามพนักงานของกรมทางหลวง กล่าวว่า ตนเองพร้อมพวก กำลังทำงานอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนที่จะได้ยินเสียงคล้ายรถชน เมื่อหันมามอง ก็พบว่ามีฝุ่นฟุ้งตลบ แล้วเห็นรถเก๋งสีดำจอดอยู่ พวกตนจึงได้ขับรถวนมาตรวจสอบ ก็พบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอนเสียชีวิตอยู่ จึงได้รีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ

จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า รถตำรวจได้ขับไล่กวดรถเก๋งคันสีดำมาได้ระยะหนึ่ง โดยกล้องหน้าหมวกของผู้ตาย (ตำรวจ) จับภาพเอาไว้ได้ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ รถเก๋งได้ขับกระแทกรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจจนล้มกลิ้ง ก่อนที่รถเก๋งจะเสียหลักชนเข้ากับข้างทาง แล้วไปหยุดแน่นิ่งอยู่ช่วงทางลงสะพานข้ามแยกลำลูกกา ก่อนที่คนขับเป็นชายใส่เสื้อสีดำจะเดินลงจากรถ แล้ววิ่งหนีลงไปที่ถนนลำลูกกา แต่ไม่ทราบเส้นทางหลบหนี

ทั้งนี้ ช่วงค่ำวันเดียวกัน (23 ก.พ.) นายกิตติรัช ราญประเสริฐ หรือเก๋ ผู้ก่อเหตุ ได้ข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.วันชนะ ทิพย์อาสน์ ผู้กำกับการทางหลวง 8 ที่สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 (รามอินทรา) กองบังคับการตำรวจทางหลวง หลังเข้ามอบตัว พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง โดยนายกิตติรัช มีสีหน้าเคร่งเครียด ซึ่งตำรวจได้ตรวจแอลกอฮอล์ และตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดด้วย

จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ก่อเหตุให้การว่า ตัวเองได้จอดรถริมถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อตกปลาริมถนน ซึ่งมีหนองน้ำอยู่บริเวณนั้น ระหว่างนั้นมีตำรวจทางหลวงมาไล่ เพราะเป็นจุดที่ไม่ให้จอด แต่เมื่อตำรวจพยายามขอตรวจค้น จึงพยายามขับรถหนี เพราะในรถมีขวดเบียร์ และบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในรถ จึงกลัวว่าจะถูกจับดำเนินคดี ส่วนสาเหตุหักรถชนรถตำรวจนั้น ผู้ก่อเหตุอ้างว่า ตกใจและพยายามขับรถหนี ซึ่งตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพราะอาจจะเข้าข่ายเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ตาม ม.289 ส่วนผลการตรวจแอลกอฮอล์ และสารเสพติด เบื้องต้น ยังไม่พบ โดยจะนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ลำลูกกา ดำเนินคดีต่อไป

ต่อมา เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบรถยนต์ และรถจักรยานยนต์คันที่เกิดเหตุ เบื้องต้นพบว่า ในรถมีนามบัตรของผู้ก่อเหตุ มีอาชีพเป็นครูสอนขับรถ ส่วนขวดเบียร์และบุหรี่ไฟฟ้า พนักงานสอบสวนได้เก็บหลักฐานไปก่อนหน้านี้แล้ว

วันต่อมา (24 ก.พ.) พ.ต.อ.ขวัญชัย บุญเพ็ชร ผกก.สภ.ลำลูกกา เผยว่า ทางพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ต้องหาและรวบรวมพยานหลักฐานแล้วบางส่วน แจ้งข้อกล่าวหากับผู้กระทำความผิดได้ 1.เจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฎิบัติหน้าที่ 2.ทำให้เสียทรัพย์ 3.ขับรถประมาทหวาดเสียว 4.จอดรถในที่ห้ามจอด ขณะนี้ได้นำตัวส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดธัญบุรีไปแล้ว และคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายกิตติรัชเคยถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในพื้นที่ สน.บางชัน เมื่อเดือนเมษายน 2560 ล่าสุดมีรายงานว่า ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายกิตติรัช

สำหรับ ส.ต.อ.เศรษฐการ ลอยขามป้อม ผบ.หมู่ ส.ทล.2 กก.8 บก.ทล. ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 แล้ว ยังปฏิบัติหน้าที่ขับรถนำขบวนให้กับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อีกด้วย และเป็นตำรวจน้ำดีที่เคยได้รับการชื่นชมในการขับรถนำรถพยาบาลตามท้องถนน เคยช่วยประชาชนที่ขับรถหลงทาง และกลัวจะไปขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่ทัน ด้วยการพาขึ้นรถตรวจการณ์ และไปส่งจนขึ้นเครื่องได้ทัน แม้บุคคลนั้นจะซาบซึ้งและจะมอบเงินให้เป็นการตอบแทน แต่ ส.ต.อ.เศรษฐการ ก็ไม่ขอรับ พร้อมบอกว่า "ขอบคุณมาก เราช่วยด้วยใจ รถยนต์หลวง น้ำมันหลวง ประชาชนเดือดร้อน ไม่ขอรับเงินที่ให้" และไม่ใช่แค่ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน แต่ยังเคยช่วยเหลือสุนัขเดินหลงอยู่บนมอเตอร์เวย์ และกรณีอื่นๆ การสูญเสีย ส.ต.อ.เศรษฐการ จึงถือเป็นการสูญเสียบุคลากรที่ดีมากคนหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง ส.ต.อ.เศรษฐการ กำลังจะแต่งงานในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ต้องมาเสียชีวิตลงเสียก่อน

ด้านแฟนสาวของ ส.ต.อ.เศรษฐการ ลอยขามป้อม ตำรวจทางหลวง ผบ.หมู่ ส.ทล.2 กก.8 บก.ทล. ที่เสียชีวิต ได้โพสต์ภาพและข้อความถึงแฟนหนุ่มผู้จากไปว่า “ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่เราถ่ายด้วยกัน และเป็นการเจอหน้ากันครั้งสุดท้าย เอฟยังจำได้ภาพนี้พี่บอกพี่อ้วน พี่ไม่หล่อ เอฟสวยอยู่คนเดียว… .. (แต่ยังไงพี่ก็หล่อสำหรับเอฟเสมอนะ) เอฟเลยตอบพี่ว่าก็พี่อ้วนเองอะ แล้วเราก็หัวเราะกัน"

"ต่อไปนี้เอฟขอให้พี่ไปเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์นะ ไปสู่ภูมิภพที่ดี พี่ไม่ต้องเหนื่อยแล้วนะ มันคงถึงเวลาพักของพี่แล้ว พี่ไม่ต้องเป็นห่วงเอฟ เอฟจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด พ่อ แม่ น้อง พี่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เอฟจะดูแลให้ เพราะเราเหมือนครอบครัวเดียวกัน เอฟจะเข้มแข็งอยู่ให้ได้ เอฟอยากให้พี่รับรู้นะว่าทุกคนรักพี่มาก พี่เป็นคนดีจริงๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่เคยให้ร้ายใคร แต่ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ มันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่เลยจริงๆ ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆ กันเสมอมาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ขอบคุณที่คอยตามใจทุกอย่าง ขอบคุณที่ให้เกียรติกันเสมอมา รักและคิดถึงพี่เสมอนะ"

2.รุกป่าเขาใหญ่พ่นพิษ! ศาลฎีกาตัดสิทธิ “กนกวรรณ” อดีต รมช.ศธ.ห้ามลงเลือกตั้ง-ห้ามดำรงตำแหน่งการเมืองตลอดชีวิต!


เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องขอให้ตัดสิทธิทางการเมืองนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้คัดค้าน เนื่องจากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีรุกป่าเขาใหญ่

คดีนี้ ป.ป.ช.ผู้ร้องยื่นคำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2545 ผู้คัดค้านขอออกโฉนดที่ดินในพื้นที่หมู่ที่ 15 ตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 30-2-80.5 ไร่ โดยอ้างว่า ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจากนายทิว มะลิซ้อน เมื่อปี 2533 แต่นายทิวไม่มีตัวตน ทั้งไม่เคยมีการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และแนวเขตป่าไม้ถาวรป่าเขาใหญ่ ทำให้รัฐสูญเสียที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติให้แก่ผู้คัดค้าน การออกโฉนดที่ดินเลขที่ 41158 ตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี จึงมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นความเสียหายร้ายแรง ผู้คัดค้านยังคงยึดถือครอบครองที่ดินต่อเนื่องตลอดมาจนกระทั่งเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ป.ป.ช. จึงขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ศาลฎีการับคำร้องจนกว่าจะมีคำพิพากษา ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้าน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี

โดยเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 65 ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับคำร้องของ ป.ป.ช.ไว้พิจารณาวินิจฉัย และมีคำสั่งให้ นางกนกวรรณ หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา จากนั้นศาลฯ ได้มีการพิจารณาคดีเรื่อยมาจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ก่อนนัดคู่ความฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 ก.พ.

ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่นางกนกวรรณ ผู้คัดค้าน ขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวนั้น ผู้คัดค้านไม่ได้ครอบครองทําประโยชน์ในที่ดิน ผู้คัดค้านจึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดิน การที่ผู้คัดค้านให้ถ้อยคําต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนสิทธิว่า เมื่อปี 2533 ผู้คัดค้านซื้อที่ดินมาจากนายทิว มะลิซ้อน แล้วผู้คัดค้านครอบครองทําประโยชน์ในที่ดินตลอดมา จึงฟังได้ว่า เป็นการให้ถ้อยคําเท็จ ผู้คัดค้านจึงมิใช่เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่ขอออกโฉนดที่ดิน ตามมาตรา 58 ทวิ (3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และข้อ 14 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย ที่ดิน พ.ศ. 2497 ได้ การที่กรมที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ 41158 ให้ผู้คัดค้านจึงเป็นการไม่ชอบ

เมื่อผู้คัดค้านขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย แล้วได้โฉนดที่ดินมาตั้งแต่ปี 2554 และยังคงถือครองโฉนดที่ดินดังกล่าวมาจนถึงวันที่ผู้คัดค้านดํารงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 8 แล้ว และถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 27 วรรคหนึ่ง

ทั้งการกระทําดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้คัดค้านที่ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แม้มิได้เป็นการใช้อํานาจหน้าที่ของตนโดยตรงก็ตาม
เพราะอาจทําให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อการดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการของผู้คัดค้าน จึงเป็นการก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการด้วย ตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 เมื่อการกระทําดังกล่าวถือได้ว่า ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงในการบังคับใช้กฎหมาย จึงเป็นกรณีมีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 27 วรรคสอง

พิพากษาว่า นางกนกวรรณ ผู้คัดค้าน ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ประกอบมาตรา 81 และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 8 ประกอบข้อ 27 วรรคหนึ่ง และข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตําแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการนับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2565 อันเป็นวันที่ศาลฎีกามีคําสั่งให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่ ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป รวมถึงไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 วรรคสาม วรรคสี่ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกําหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกามีคําพิพากษา คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

3. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง 3 จำเลยคดีฆ่า "พล.อ.ร่มเกล้า" ปี 53 ชี้พยานหลักฐานมีพิรุธ-ไม่มีน้ำหนักพอ!



เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาคดีฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กับลูกน้อง ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 และนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุขเสก หรือเสก พลตื้อ, นางพรกมล บัวฉัตรขาว หรือนางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชน ช่องเอเชียอัพเดต และนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นฯ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

โดยโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15 พ.ย.2552-20 พ.ค.2553 กลุ่ม นปช. ได้ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออกจากตำแหน่ง กระทั่งวันที่ 7 เม.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร และออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ บริเวณ ถ.ราชดำเนินกลาง ตั้งแต่แยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ต่อมา วันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 1 และ 3 กับพวกร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ M67 คนละ 3 ลูก ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน และจัดหาระเบิดให้ โดยพวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสังหาร 2 ลูก ใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รอ. (ขณะนั้น) กับนายทหารรวม 5 นายเสียชีวิต และมีนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยพวกจำเลยให้การปฏิเสธ

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.พ.64 เนื่องจากศาลมองว่า คำเบิกความของพยานโจทก์มีข้อพิรุธ ประจักษ์พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ และศาลพิจารณาคำฟ้องจำเลยเปรียบเทียบกับคดี นปช.ก่อการร้าย ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ถือเป็นการฟ้องซ้อน พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-3

เมื่อถึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (21 ก.พ.) จำเลยที่ 1-2 เดินทางมาศาลพร้อมนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ส่วนจำเลยที่ 3 ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ (คดีอื่น)

หลังฟังคำพิพากษา นายวิญญัติ ทนายความ เผยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน โดยศาลวินิจฉัยประเด็นเเรกว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนกับคดี นปช.ก่อการร้ายหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่า บทบัญญัติเรื่องฟ้องซ้อนในคดีอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องนำประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยเรื่องฟ้องซ้อน มาตรา 173 มาบังคับใช้โดยอนุโลม ที่ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น โดยคดีนั้น โจทก์ได้บรรยายฟ้องคดีทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อนนั้นชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เเละ 3

นายวิญญัติกล่าวอีกว่า ยังมีประเด็นที่อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 เเละ 3 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีจึงมีข้อที่ศาลต้องพิจารณาก่อนว่า จำเลยที่ 1 เเละ 3 ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของพยานที่อ้างว่า มีลูกระเบิดอยู่ในกระเป๋า และเห็นจำเลยที่ 1 เเละ 3 หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าที่ข้างเต็นท์ ข้อนำสืบของพยานที่อ้างว่า เห็นจำเลย 1, 3 หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าสะพาย ต่อมาทราบว่าเป็นลูกระเบิด M67 จึงเป็นข้อกล่าวอ้างในชั้นพิจารณาโดยไม่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ซึ่งคำให้การของพยาน 2 ปากดังกล่าวกลับยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เเละ 3 มีลูกระเบิด M67 ติดตัวคนละ 3 ลูก โดยไม่ปรากฏว่า จำเลยนำลูกระเบิดติดตัวมาจากที่ใด และศาลยังมองว่า ทราบได้อย่างไรว่า จำเลยมีลูกระเบิด M67 ติดตัวคนละ 3 ลูก ข้อนำสืบของพยานไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญ อีกทั้งพยานบางปากเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพื่อสนับสนุนพยานหลักฐานโจทก์

นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า ยังมีส่วนที่พยานให้การว่า จำเลยที่ 3 เล่าให้ฟังว่า อยู่ในเหตุการณ์ขว้างระเบิดใส่ทหารเท่านั้น เเละยังมีพยานพบจำเลยที่ 1 ถือและใช้อาวุธเครื่องยิงระเบิด M79 ยิงใส่ทหาร เเละกระสุนมีทิศทางมาจากฝั่งผู้ชุมนุม พยานหันไปมองวัตถุดังกล่าว และมีการระเบิดขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ด้านหน้าพยานล้มลง เเต่ก็มีพยานปากนายทหารให้การว่า เห็นวัตถุสีดำกลิ้งมาจากฝั่งผู้ชุมนุม วัตถุดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้น คำให้การชั้นสอบสวนจึงแตกต่างจากคำเบิกความที่อ้างว่า เป็นประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 1 ขว้างระเบิดออกมาจากบ้าน ในข้อสาระสำคัญ ย่อมทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธน่าสงสัยอยู่ตามสมควร พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา จึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1, 3 กระทำผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุน ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ศาลจึงพิพากษายืนยกฟ้อง

4. “คุณหญิงณัษฐนนท” เฮ ไม่ต้องชดใช้ 429 ล้าน หลังศาล ปค.สูงสุดชี้ ไม่ได้เป็นผู้ทำให้ กทม.เสียหายคดีจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง!



เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ศาลปกครองสูงสุด ได้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ให้คุณหญิงณัษฐนนท หรือณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กรุงเทพมหานคร เป็นเงินจำนวน 429,977,904.46 บาท จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัด กทม. กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงพร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ทำให้มีการจัดซื้อในราคาที่สูงเกินความเป็นจริง ก่อให้เกิดความเสียหาย และเพิกถอนคำสั่งยกอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ไม่รับคำร้องอุทธรณ์ของคุณหญิงณัษฐนนท ในกรณีดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่มีคำสั่งดังกล่าว

ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลที่เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่คุณหญิงณัษฐนนท ดำรงตำแหน่งปลัด กทม. ยังไม่มีข้อยุติว่า กรุงเทพมหานครจะได้รับความเสียหายจากการดำเนินโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงพร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยหรือไม่ และคุณหญิงณัษฐนนทได้เกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2549 ก่อนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะแจ้งให้กรุงเทพมหานครทราบในวันที่ 28 พ.ย. 2551 ว่า การจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงพร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานครเป็นการจัดซื้อในราคาที่สูงเกินความเป็นจริง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ

อีกทั้งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดว่า กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการขอผ่อนผัน เพื่อขอยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมศุลกากร เนื่องจากเป็นการจัดซื้อตามโครงการที่รับโอนภารกิจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมาโดยตลอด ปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการขออนุมัติยกเว้นภาษีจากกระทรวงการคลัง

ดังนั้น ขณะที่คุณหญิงณัษฐนนท ดำรงตำแหน่งปลัด กทม. จึงยังไม่อาจสั่งการตรวจสอบเรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องรับภาระในการเสียภาษีดังกล่าว ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้กรุงเทพมหานครไม่สามารถนำรถดับเพลิงออกจากท่าเรือแหลมฉบัง และต้องมีข้อพิพาทกับกรมศุลกากรแต่อย่างใด

พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวของคุณหญิงณัษฐนนทขณะนั้น จึงไม่ใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้กรุงเทพมหานครได้รับความเสียหาย

ดังนั้น คำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 1036/2557 ลงวันที่ 21 มี.ค. 2557 ที่ให้คุณหญิงณัษฐนนท ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กรุงเทพมหานคร เป็นเงินจำนวน 429,977,904.46 บาท จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการที่ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีวินิจฉัยยกอุทธรณ์คำสั่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของคุณหญิงณัษฐนนทในกรณีดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

5. ปปง. อายัดเพนท์เฮาส์หรูของสามี "หยาดทิพย์ ราชปาล" โยงคดี Forex-3D ด้านดีเอสไอเตรียมเรียกชี้แจง มี.ค.นี้ ขณะที่หยาดทิพย์ยังไม่สะดวกพูด!



จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องหนุ่มเศรษฐีเก๊ กับดาราสาวแสนสวย เชื่อมโยงเครือข่ายพนันออนไลน์ มีแฟนดารา ห. เข้าไปพัวพันกับเว็บพนันบอล โดยหนึ่งในรายชื่อที่ถูกโยง คือ นางเอกสาวชื่อดัง “หยาดทิพย์ ราชปาล” และสามี “เมฆ-รามา รัศมีรามา”

นอกจากนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ดำเนินคดี Forex-3D กับนายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้ต้องหากับพวกรวม 24 ราย มีการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง อาทิ เพนท์เฮ้าส์หรูภายในซอยสุขุมวิท มูลค่า 245 ล้านบาท และอาจเกี่ยวข้องกับการรับโอนทรัพย์สินของ "นายรามา รัศมีรามา หรือ เมฆ” สามีนักแสดงสาว "หยาดทิพย์ ราชปาล" จากนายอภิรักษ์ เนื่องจาก “หยาดทิพย์” มีความสนิทสนมกับ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดี โดยเพนท์เฮ้าส์ดังกล่าว เป็นหนึ่งในบัญชีทรัพย์สินที่ดีเอสไอได้ประสานส่งมอบกับสำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการในคดีแพ่งมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ “หยาดทิพย์” ได้ออกมาชี้แจงผ่านบัญชีอินสตาแกรมส่วนตัว โดยยืนยันว่า สามีไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับคดี FOREX-3D พร้อมทั้งระบุว่า คอนโดฯ นั้นซื้อมาอย่างถูกต้อง มีหลักฐานครบถ้วน และซื้อแบบขายฝากผ่านนายหน้ามาก่อนที่นายอภิรักษ์จะถูกดำเนินคดี

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ. มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งมอบบัญชีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจากฐานคดีแชร์ Forex-3D มาให้ทาง ปปง. ดำเนินคดีทางแพ่ง ซึ่งรายการทรัพย์สินพบว่า เพนท์เฮ้าส์มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิทของนายรามา รัศมีรามา ทาง ปปง. ได้ดำเนินการยึดอายัดไว้เรียบร้อยแล้ว

วันเดียวกัน (24 ก.พ.) พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รักษาราชการแทนอธิบดีดีเอสไอ เผยความคืบหน้าการอายัดทรัพย์ เพนท์เฮ้าส์หรูภายในซอยสุขุมวิท มูลค่า 245 ล้านบาท ที่มีชื่อ "นายรามา รัศมีรามา หรือ เมฆ” สามีนักแสดงสาว "หยาดทิพย์ ราชปาล" รับโอนจากนายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้ต้องหาคดี Forex-3D ว่า ดีเอสไอดำเนินการสืบสวนตั้งแต่ปลายปี 2563 และทำหนังสือถึงสำนักงานที่ดินพระโขนง ขอให้อายัดเพนท์เฮ้าส์ดังกล่าว แต่สำนักงานที่ดินฯ ไม่ได้ดำเนินการอายัดให้ เนื่องจากไม่ใช่ทรัพย์สินในชื่อครอบครองของนายอภิรักษ์ โกฎธิ ดีเอสไอจึงส่งสำนวนไปให้ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต่อมา คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. จึงมีมติให้อายัดทรัพย์สินดังกล่าว

พ.ต.ต.สุริยา กล่าวว่า ช่วงกลางเดือน มี.ค.นี้ ดีเอสไอจะเรียกให้นายรามา เข้าให้การในฐานะพยานในคดีฟอกเงิน เพื่อชี้แจงการได้มาซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว รวมถึงบริษัทเอกชนที่รับซื้อ-ขายเพนท์เฮ้าส์ และบุคคลอื่นอีกหลายราย โดยคดีนี้เป็นคดีพิเศษเลขคดีเดียวกับของนายปราปต์ปฎล สุวรรณบาง นักแสดงชายชื่อดัง เนื่องจากสำนวนคดีฟอกเงิน เป็นอีกหนึ่งสำนวนที่แยกออกมาจากคดีมูลฐานแชร์ Forex-3D เพื่อสอบปากคำเกี่ยวกับรายการทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดจากนายอภิรักษ์ โกฎธิ และพวก ดังนั้น หลังจากนี้ ดีเอสไอจะดำเนินการออกหมายเรียกทุกคนที่รับทรัพย์สินทั้งหมดมาให้การในฐานะพยาน รวมทั้งต้องนำข้อมูลในส่วนของ ปปง. ที่นายรามาเข้าไปให้การเรื่องทรัพย์สินมาประกอบด้วย

พ.ต.ต.สุริยา เผยด้วยว่า ดีเอสไอต้องไปดูไทม์ไลน์ก่อนการซื้อขายว่า ในตอนนั้นนายอภิรักษ์ โกฎธิ ได้มีพฤติการณ์ชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุนใน Forex-3D แล้วหรือยัง หากนายรามาได้ซื้อเพนท์เฮ้าส์มาก่อนที่นายอภิรักษ์จะมีพฤติการณ์ ก็อาจจะฟังได้ว่า นายรามาไม่เกี่ยวข้องในเรื่องของการฟอกเงิน และต้องไปดูว่าเป็นการซื้อขายที่บริษัทเอกชนแห่งนั้นมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย และเป็นการซื้อขายอย่างถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเขา

เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อเพื่อสอบถาม “หยาดทิพย์ ราชปาล” นักแสดงสาว ถึงกรณีที่นายชูวิทย์โพสต์และกรณีเพนท์เฮาส์หรูถูก ปปง.อายัด แต่ “หยาดทิพย์” ตอบว่า “ช่วงนี้ยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ หยาดยังไม่ขอพูดอะไรนะคะ”


กำลังโหลดความคิดเห็น