เปิดประวัติ “นอท กองสลากพลัส” จากวัยเด็กปากกัดตีนถีบ เคยค้ายาบ้าในโรงเรียนจนเกือบติดคุก โตขึ้นไรต์ซีดีเถื่อนขาย ได้คลุกคลีกับคอมพิวเตอร์ จนพบช่องทางหาเงินจากการรับทำ SEO ปั่นยอดคนเข้าเว็บ ทำเว็บไซต์สีเทา-สีดำ ได้พบกับ “แทนไท ณรงค์กูล” เจ้าของเว็บพนันขาใหญ่ ที่มีตำรวจไซเบอร์เป็นแบ๊ก กลายเป็นเครื่องรับประกันให้ “นอท” มีหลังพิงสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้เปิดเผยถึงประวัติของนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ล็อตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด เจ้าของแพลตฟอร์มจำหน่ายล็อเตอรี่ออนไลน์ “กองสลากพลัส” และยังเป็นนายกสมาคมผู้ค้าลอตเตอรี่ออนไลน์
นายพันธ์ธวัช ปัจจุบันอายุ 43 ปี ชีวิตในวัยเด็กต้องปากกัดตีนถีบ ที่บ้านเปิดร้านขายของชำให้กับพนักงานโรงงานปุ๋ย ที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ อายุ 10 ขวบต้องช่วยแม่ขายของ อายุ 12 ปีไปเป็นกรรมกรเข็นถังน้ำ อายุ 13 ปี รับจ้างช่วยงานเดินไฟฟ้าในโรงงานกับผู้รับเหมาในซอยบ้าน พออายุ 17 ปีก็ก้าวเท้าเข้าสู่วงการสีเทาด้วยการขายยาบ้าในโรงเรียน ทำให้ได้เงินวันละ 600 บาท แต่ก็ติดยาด้วย จึงต้องออกจากโรงเรียน และเฉียดที่จะติดคุก
ช่วงอายุ 17-20 ปี เมื่อเห็นว่าชีวิตย่ำแย่จึงเลิกยาบ้า หนีออกจากบ้านย้ายเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเป็นบาร์บอย แบกลังน้ำแข็ง ล้างแก้ว เงินเดือน 4,000 บาท
อายุ 20-23 ปี ทำงานร้านบาร์โฮสต์ ชื่อฟ็อกซี่ ย่านซอยรัชดาภิเษก 8 ทำงานตั้งแต่เวลา 22.00-07.00 น. มีรายได้ตกเดือนละ 15,000-30,000 บาท แต่ใช้ชีวิตเหลวแหลก หาเงินใช้เดือนชนเดือน ได้เงินมาต้องแต่งตัว ทำผม ชีวิตติดอบายมุข เหล้า ผู้หญิง
อายุ 24 ปี ไปทำงานเป็นพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุ ขับมอเตอร์ไซค์วิ่งเคลมประกัน รายได้ 15,000-20,000 บาท ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง
อายุ 25 ปี ไปบวช 3 เดือน สึกออกมาไรต์ซีดีอาราโิอเกะ แผ่นผีซีดีเถื่อนขาย รายได้ดี แต่ความรู้สึกลึกๆ ว่าละเมิดลิขสิทธิ์เขา ไม่ได้ภูมิใจในสิ่งที่ทำ แต่ได้มีโอกาสใกล้คอมพิวเตอร์ ได้เรียนรู้วิธีซ่อมคอมพิวเตอร์ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ลักษณะคล้ายๆ นายอภิรักษ์ โกฎธิ เจ้าของฟอร์เร็กซ์-3ดี
ในช่วงอายุ 27-29 ปีได้เข้าทำงานในบริษัทมิลเลนเนี่ยม ซัพพอร์ต จำกัด เริ่มจากเป็นจากแมสเซนเจอร์ ก่อนเลื่อนขึ้นเป็น Customer Service > Sales > ช่าง > หัวหน้าช่าง โดยใช้เวลา 3 ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือผู้จัดการฝ่ายเทคนิค แต่รู้สึกเบื่อ จึงลาออกไปทำร้านเกมเมื่ออายุได้ 30 ปี
ระหว่างนั้น นายพันธ์ธวัช พบว่า มีช่องทางในการหาเงินทางอินเทอร์เน็ต จึงเป็นนายหน้าขายของให้ร้านค้าบน amazon.com ด้วยการทำโฆษณาผ่านระบบของกูเกิลที่เรียกว่า Google Adsense ทำเว็บไซต์แล้วติดแบนเนอร์โฆษณาเพื่อให้ได้เงิน ทำ 7 เดือนไม่ประสบความสำเร็จ จึงตัดสินใจขายร้านเกมไปทำเว็บไซต์ปั่นทราฟฟิก เพิ่มยอดคนเข้าชม เป็นพันเว็บไซต์ โดยการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อทำให้เว็บไซต์ของลูกค้าปรากฏอยู่ด้านบนของผลการค้นหาในกูเกิล
ทั้งนี้ นอทเชี่ยวชาญในการทำ SEO เพื่อที่ให้สินค้าของลูกค้าขึ้นคำค้นหาอันดับ 1 แล้วได้ส่วนแบ่ง 4-8% ทำรายได้สูงสุด 2 ล้านบาท แต่ในตอนนั้นเขาถูก amazon.com แบนเพราะทำผิดกฎ
“นอท” เคยคลุกคลีอยู่ในเว็บบอร์ดที่ชื่อ Thai SEO Board ซึ่งมีคำขวัญว่า “Helping Thai People to Make Money on Net (ช่วยเหลือคนไทยให้ทำเงินได้บนอินเทอร์เน็ต)” โดยรวบรวมเอาบรรดาวัยรุ่น และคนรุ่นใหม่ในสายไอที ทั้งสายขาว สายเทา สายดำ เอาไว้มากมาย
โดย “นอท” เคยเปิดเผยถึงเป้าหมายในชีวิตเอาไว้ว่า สิบกว่าปีก่อน ตนเคยตั้งเป้ากับตัวเองไว้ว่าจะเอายอด 500,000 บาทต่อเดือนให้ได้ แต่เวลาที่ผ่านมาทำได้ไม่เต็มที่ยอดเลยไปหยุดที่ 2 แสนกว่า ๆ แล้วกลับมานิ่งอยู่ที่ 100,000 กว่าบาท
นายพันธ์ธวัช เคยพูดว่า ตนเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ แล้วสิ่งเล็กๆ จะพาไปหาสิ่งที่ใหญ่กว่าเสมอ “จำไว้อย่างหนึ่งนะครับ เราต้องเห็นภาพว่าในอนาคตเราจะได้สิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ชัดเจน เช่น ผมเห็นภาพผมขับเฟอร์รารี่อย่างชัดเจน ตั้งแต่ 11 ปีที่แล้ว (ปี 2555) อีก 5 ปีต่อมา (ปี 2560) ผมก็ทำได้”
“นอท สายดาร์ก” ก้าวเท้าเข้าสู่ธุรกิจผิดกฎหมาย
เมื่อก้าวเข้าสู่แวดวงออนไลน์ และกำหนดเป้าหมายของตัวเองในการที่จะต้องสร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้กับตัวเองให้ได้ จึงหันไปทำเพจเฟซบุ๊ก “กูว่าแล้วมันต้องยิง” เป็นเพจรวมไฮไลต์ฟุตบอล ใช้วิธีอัดคลิปการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์ มานั่งตัดเพื่อเป็นไฮไลต์ลงเผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว ตั้งใจว่าจะขายโฆษณาให้กับเว็บพนัน พร้อมกับทำเว็บโป๊ โดยดูดคลิปจากต่างประเทศแล้วอัปโหลด เก็บค่าสมาชิกเดือนละ 350 บาท
ช่วงประมาณปี 2560-2561 เพจ “กูว่าแล้วมันต้องยิง” มีผู้ติดตามมากกว่า 100,000 ราย ได้ถูกเว็บพนันรายหนึ่ง เชิญให้มาทำเป็นหุ้นส่วนเว็บพนัน และทำการตลาด แต่เมื่อทำไปแล้วเกิดปัญหาผลประโยชน์ไม่ลงตัว จึงถูกเว็บพนันรายนั้นข่มขู่ และยึดเอา เพจ “กูว่าแล้วมันต้องยิง” ไปดำเนินการต่อ
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา นายพันธ์ธวัชออกมาโพสต์ยืนยันถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมกับเสริมรายละเอียดในบางส่วนดังนี้
“ผมเคยทำเพจ กูว่าแล้วมันต้องยิง เพจไฮไลต์ฟุตบอลพากย์ไทยเพจแรกในประเทศไทย ในขณะที่ทุกคนดูไฮไลต์พากย์แขกกัน ผมปั้นเพจของผมเป็นเพจแสนไลก์รายแรกในประเทศไทย โดยที่ไม่ได้เงินเลย แต่สมาชิกเข้ามาเยอะมาก
“อดหลับอดนอนทำไฮไลท์สด ๆ ตั้งแต่ 23.00น. ถึง 7-8 โมงเช้าเกือบทุกวันเพราะตอนนั้นมีทั้ง พรีเมียร์ลีก บุนเดสลีกา ลาลีกา กัลโซ่ ยูฟ่า และยูโรป้า เอาง่าย ๆ คือผมคนเดียวทั้งนั่งอัด นั่งตัดนั่งทำทุกอย่าง ด้วยเครื่อง ๆ เครื่องเดียว
“จนวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาของมันเพจเริ่มดัง กำลังรุ่ง กลายเป็นเพจอันดับหนึ่งเลยครับ ตอนนั้น มี ‘เหี้ย’ มาติดต่อครับว่าอยากให้ผมทำการตลาดเว็บบอลให้ ผมจึงรีบตกลงทำในทันที คุยกันทีแรก ผมรับรายได้ทันที 100,000 บาท ผมทำเงินให้ไอ้พวก ‘เหี้ยนั่น’ ทันที เดือนแรก 1,000,000 บาท ดูให้มันทุกอย่าง มันเอาผมไปนอนในห้องกาก ๆ ที่ยุงเข้ากัดตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ผมต้องดูงานให้มัน รายละเอียดผมขอไม่พูดถึงเพราะผมมูฟออนได้แล้ว
“สุดท้ายไอ้พวก ‘เหี้ยนี่’ โกงเพจผมไปอย่างหน้าด้าน ๆ ครับเอาปืนมาขู่ เอาตำรวจเหี้ย ๆ มาขู่ บังคับเอาเพจผมไป”
นายสนธิ กล่าวว่า ตำรวจคนที่นอทพูดถึงเป็นระดับสารวัตร อยู่ที่กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ ข่าวว่าเอาปืนมาวางบนโต๊ะข่มขู่จนนอทกลัว
ส่วนเครือข่ายเว็บพนันที่พูดถึงก็คือ SBO Bet (สโบเบท) มีสมาชิกเป็นตำรวจระดับสารวัตร เคยอบู่ บก.ปอท. ปัจจุบันคือกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี - สอท. ชื่อสารวัตร อ. พร้อมทีมงานชื่อ โน้ต และ เดล รวมหัวกันเรียกนอทไปพบ โดยวางปืนใส่ซองบนโต๊ะ ข่มขู่ให้ยกอำนาจการบริหาร คือ ยกสถานะ Admin Page ของนอท ให้กับคนในทีมงานเว็บไซต์พนัน
ตอนนั้นนอทกลัวมาก หนีไปกบดานที่จังหวัดทางภาคเหนืออยู่พักใหญ่ เมื่อเรื่องเงียบแล้วจึงเดินทางกลับมาเปิดเฟซบุ๊กเพจ “กูว่าแล้วมึงต้องยิง V2” รวมถึง เพจล้อเลียนการเมือง อีกจำนวนหนึ่งด้วย เพื่อทำมาหากินต่อ
“นอท” โคจรมาพบ “แทนไท”
หลังจากที่โดนแก๊งพนันบอลที่มีตำรวจร่วมขบวนการอยู่ด้วยยึด เพจ “กูว่าแล้วมึงต้องยิง” ไป นอทกลัวจึงทิ้งลูกทิ้งเมียหนีหัวซุกหัวซุนไปยังต่างจังหวัด สาเหตุที่เขาสามารถก้าวข้ามความเกรงกลัวอิทธิพลมาเฟียวงการพนันบอลเดินกลับเข้าสู่วงการใหม่ได้นั้น ก็เพราะว่าได้ไปรู้จักเด็กหนุ่มคนหนึ่งผ่านกระดานสนทนาออนไลน์ Thai SEO Board ที่ชื่อ “แทนไท ณรงค์กูล” เจ้าของเว็บพนันระดับขาใหญ่รายหนึ่ง
นายแทนไท คือเด็กหนุ่มวัย 26 ปีที่เมื่อปลายที่แล้วในวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 - ไปประมูลทะเบียนรถยนต์เลขสวยหมวดอักษรพิเศษ เลขทะเบียนรถ หมายเลข 9 กก 9999 ที่กรมการขนส่งจัดประมูล ซึ่งบริษัท ไททัน แคปปิตอลกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด โดย นายแทนไท ซีอีโอบริษัทไททัน เป็นผู้ชนะประมูลทะเบียนรถดังกล่าวไปได้ ด้วยการสร้างสถิติราคาสูงสุดที่ 45,090,000 บาท เป็นประวัติศาสตร์แห่งการประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์ในประเทศไทย
นายแทนไทรวยมาได้อย่างไร ถ้าตอบแบบสั้น ๆ ก็คือร่ำรวยมาจากเว็บไซต์การพนัน โดยเฉพาะพนันฟุตบอลในเครือข่ายเว็บไซต์ Sagame, Sexygame, UFA จำนวน 9 เว็บไซต์ แค่ระยะเวลาเพียง 6 เดือนนายแทนไทกับพวกก็มีเงินหมุนเวียนอยู่มากถึง 15,000 ล้านบาท
วันที่ 13 ตุลาคม 2563 นายแทนไท ณรงค์กูล เคยถูกจับกุมในคดีการพนันออนไลน์และฟอกเงิน ซึ่งในเวลาต่อมา พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งไป จนกระทั่งที่สุด อัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง คดีอาญาจึงถึงที่สุดไป อย่างไรก็ตาม นายแทนไทกับพวกแพ้ คดีทางแพ่ง โดย วันที่ 16 สิงหาคม 2565 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องในเครือข่าย ตามคดีหมายเลขดำที่ ฟ.50/2564 หมายเลขแดงที่ ฟ.101/2565 มูลค่ากว่า 176 ล้านบาท และคดียังคาอยู่ที่ศาล เนื่องจากเจ้าตัวพยายามอุทธรณ์เรียกทรัพย์สินคืน
ในกรณีนี้มีความแปลกประหลาดที่ว่า “คดีอาญา” อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง แต่ “คดีแพ่ง” กลับสั่งให้ยึดทรัพย์ ซึ่งคดีของนายแทนไทนี้ อยากถามดัง ๆ ไปยังอัยการสูงสุดว่า เกิดอะไรขึ้น มีถุงขนมหรืออะไรตกใส่เท้าใครบ้างหรือไม่
นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบไปยังรายละเอียดของ บริษัท ไททัน แคปปิตอลกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งนายแทนไทถือหุ้น และนั่งเป็นซีอีโอบริษัทนั้น พบว่าบริษัทนี้เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 หรือจัดตั้งได้เพียง 11 เดือน ก็เพิ่มทุนจาก 5 ล้านบาท ขึ้นเป็น 900 ล้านบาท
คำถามที่นายแทนไทและพรรคพวกยังไม่ตอบก็คือ บริษัทอายุไม่กี่เดือน ไม่ถึงปี แต่เพิ่มทุนจดทะเบียนแบบพรวดพราดได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่นายแทนไทกับพรรคพวกก็เพิ่งถูกจับดำเนินคดีเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายการพนันไปเมื่อปีกว่า ๆ ไม่ถึงสองปี ซึ่งสุดท้าย พอตอบคำถามไม่ได้ ข้ออ้างของพวกนี้ทุกคนก็คือ “ผมรวยมาจากคริปโตเคอร์เรนซี!?!”
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “นอท” กับ “แทนไท” ข้อมูลเชิงลึกระบุว่า เมื่อได้รู้จักกัน สองคนนี้ก็แบ่งงานกันทำ เพราะคนหนึ่งคือนอท เชี่ยวชาญเรื่องการทำ SEO ปั้นคีย์เวิร์ด ปั่นคำค้น เพื่อหาดึงคนเข้าเว็บไซต์เก่ง นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังระบุว่า เจ้าตัวยังมีความสนใจส่วนตัวเรื่องหวยใต้ดินอีกด้วย
ส่วนแทนไท เชี่ยวชาญเรื่องการทำเว็บผิดกฎหมายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บพนันฟุตบอล บ่อนออนไลน์ บาคารา สลอต
โดยทางหนึ่งสองคนนี้ก็ทำ “เว็บไซต์ใต้ดิน” ของตัวเอง แต่อีกทางหนึ่งก็จับมือกันปั้นเว็บไซต์สีเทาสีดำต่าง ๆ ออกมาขาย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ลามก-หนังโป๊, เว็บพนัน, เว็บดูหนังออนไลน์ ราคาขายก็ขึ้นอยู่กับปริมาณคนเข้าชม ตั้งแต่หลักหมื่น หลักแสน และหลายล้านบาท
หนึ่งในลูกค้าของสองคนนี้ที่ในแวดวงทราบกันดีว่า เป็นนายทุนซื้อเว็บหนังเถื่อนในราคาสูงถึงราว 20 ล้านบาท ก็คือ คนที่ชื่อ “อั้ม” ภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ ซึ่งในอดีตเคยขายโทรศัพท์มือถืออยู่มาบุญครอง เป็นน้องชายแท้ๆ ของ “หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน” และเป็นสามี “แยม” ธมลพรรณ์ ภานุชิตพุทธิวงศ์” อดีตนางเอกละครพื้นบ้าน ซึ่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมาเพิ่งถูกกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)จับกุมในข้อหาเปิดเว็บพนันออนไลน์ เว็บโป๊ ยึดทรัพย์สินเป็นบ้าน, รถหรู, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนด์เนม รวมไปถึงเงินสด มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท
“CEO นอท” กับ แบ๊กสีกากี
นายสนธิกล่าวอีกว่า นายแทนไทลอยนวลอยู่ได้มาจนทุกวันนี้ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะตำรวจไซเบอร์ระดับใหญ่ๆ คือคนที่ปกป้องนายแทนไทอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ควรจะต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินหลายจุด ตั้งแต่เงินที่นำมาเพิ่มทุนจดทะเบียน รวมทั้งที่มาของเงินซื้อป้ายทะเบียนรถ 45 ล้านบาท แต่กลับนั่งนิ่งๆ เฉยๆ
ส่วนความร่วมมือระหว่าง “นอท” กับ “แทนไท” ไม่ได้มีแค่ประเด็นในเชิงธุรกิจเท่านั้น เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ใน “ยุทธจักรธุรกิจออนไลน์สีเทา” นั้นมี “มาเฟียใหญ่” คุมธุรกิจออนไลน์สีเทาอยู่นั่นคือ “ตำรวจไซเบอร์” หรือ บก.ปอท. : กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบัน คือ บช.สอท. หรือ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรทางเทคโนโลยี ไม่นับรวมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องมากน้อยตามแต่อำนาจหน้าที่ ก็คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.),
โดยที่ธุรกิจออนไลน์ผิดกฎหมายหรือสีเทานั้นจ่ายค่าต๋งให้นายอั้ม ภูมิพัฒน์ ซึ่งเคยปรากฏหลักฐานว่านายอั้มเคยกินไวน์กับผู้ใหญ่ในสำนักงาน ป.ป.ง. พูดง่ายๆ ว่านายอั้มเป็นคนที่เคยปกป้องเว็บพนัน ทุนสีเทา ไม่ให้โดนข้อหาจาก ป.ป.ง.โดยต้องจ่ายเป็นเงินก้อนให้นายอั้มเอาไปจ่าย ป.ป.ง.และตำรวจ
ความร่วมมือระหว่างนอทกับแทนไทส่งสายสัมพันธ์ไปถึงแบ็กใหญ่ในตำรวจ ปอท.ด้วย
แหล่งข่าวในแวดวงธุรกิจออนไลน์สีเทา บอกว่าทุกวันนี้มีการ “ตั้งโต๊ะ” เก็บเงิน เก็บส่วย เก็บผลตอบแทนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ใครสนใจจะทำธุรกิจออนไลน์สีเทา จะมีนายหน้าพาไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ ในกองบัญชาการไซเบอร์ ถึงแจ้งวัฒนะเลย เพื่อไม่ให้บล๊อกเว็บไซต์นั้น ๆ ไม่ให้เข้าชมจากในประเทศไทยได้ เพราะเว็บไซต์พนันส่วนใหญ่เซิร์ฟเวอร์อยู่ในต่างประเทศ หรือ ชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะในพม่า หรือ กัมพูชา
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับ “ลูกค้าพิเศษ” ว่ากันว่าตำรวจไซเบอร์จะมีบริการแบนเว็บไซต์คู่แข่งที่ทำธุรกิจในทำนองเดียวกันกับลูกค้าพิเศษให้ด้วย
อัตราค่าบริการที่นักธุรกิจออนไลน์สีเทาต้องจ่ายให้ตำรวจไซเบอร์นั้นก็แตกต่างออกไปตามประเภทเว็บไซต์ ธุรกิจ และรายได้ ยกตัวอย่างเช่น เว็บลามก-เว็บโป๊ มีราคาเหมาหลักแสนบาทขึ้นไป ส่วนราคาจ่ายรายเดือนเริ่มต้นที่ 5,000-10,000 บาทต่อเดือน เว็บพนันไม่มีราคาเหมา แต่รายเดือนเริ่มต้นที่ 20,000-50,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ยังมีราคาเฉพาะของเว็บไซต์สีเทาประเภทอื่น ๆ อีกไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ดูหนังเถื่อน, เว็บไซต์ดูบอลเถื่อนละเมิดลิขสิทธิ์, กล่อง Android Box ที่ดูดสัญญาณมาจากทรูวิชัน เอไอเอสเพลย์ ฯลฯ
และมีธุรกิจที่ปรากฎขึ้นล่าสุด คือ เว็บหนังโป๊แบบ Live สด ส่วนใหญ่เป็นนายทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนายทุนจีน ฯลฯ
คอนเนคชันถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ “นอท” ได้มา ถือเป็นเป็นเครื่องรับประกันได้ในระดับหนึ่งว่าธุรกิจออนไลน์ที่เขาจะทำต่อไปในอนาคตนั้น เขาจะมีหลังพิง ทำให้เขาไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เหมือนตอนที่ทำเฟซบุ๊กเพจ “กูว่าแล้วมึงต้องยิง” และถูกตำรวจยศสารวัตรรวมถึงเพื่อนร่วมงานหักหลังอีกต่อไป
เรื่องเกี่ยวเนื่อง
-เปิดหน้ากาก “CEO นอท กองสลากพลัส” เบื้องหลังคือ แก๊งฟอกเงินทุนสีเทา !?!
-แฉวิธีฟอกเงินจากยุคคนโบราณฝังดิน ถึงยุควัยรุ่นเทรดคริปโต
-ปฐมบท “นอท” กับลอตเตอรี่ออนไลน์ กลยุทธ์สร้างตัวตนผงาดเหนือ “มังกรฟ้า”