1."บิ๊กเอ็ม" แถลงยอมรับ ไม่ได้ถูกหวยรางวัลที่ 1 ขอโทษโง่เอง-ถูกหลอกใช้-เป็นแพะรับบาป ด้าน "ช่อง7" ปลดฟ้าฝ่าประกาศยุติสัญญา!
เมื่อวันที่ 2 ม.ค. "บิ๊กเอ็ม" กฤตฤทธิ์ บุตรพรม พระเอกหนุ่มช่อง 7 ได้ไลฟ์สดร่วมกับ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล เจ้าของเวที "มิสแกรนด์" ที่ออกมาแฉว่าแพลตฟอร์มหวยออนไลน์เจ้าหนึ่ง จัดฉากคนถูกรางวัลที่ 1 เพื่อโปรโมตแอปฯ โดยบิ๊กเอ็มแถลงชี้แจงกรณีที่ตนเคยโพสต์ว่า ถูกหวยรางวัลที่ 1 ยอมรับว่า ไม่ได้ถูกรางวัลแต่อย่างใด ได้แต่เงินสปอนเซอร์มา 1.5 แสนบาท เป็นค่าสปอนเซอร์ในการจัดคอนเสิร์ต และว่า วันที่ 30 ก.ย. มีการส่งลอตเตอรี่จากร้านเพชรมาให้ 5-6 ใบ ซึ่งชุดที่ส่งมาให้ไม่ได้ถูกรางวัลแต่อย่างใด หลังหวยออกส่งมาอีก 1 ใบ
ส่วนที่โพสต์รูปเป็นวันที่ 30 ก.ย. เป็นเพราะร้านเพชรบอกว่า ให้แคปส่งกลับไปให้ ซึ่งตนเองไม่ทราบว่าจะเอาไปทำอะไร เพียงแต่แจ้งว่า จะทำรูปให้ก่อนแล้วค่อยโพสต์ ส่วนตนเองมีซ้อมคอนเสิร์ตต่อ โดยไม่ทราบว่า มีการเปลี่ยนแปลงเวลาในภาพดังกล่าว
“พี่โอ๊ต (เจ้าของร้านเพชร) บอกว่าเขาถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 24 ล้าน พี่เขาส่งมาให้ผมโพสต์ เขาอยากโพสต์ให้เป็นกระแส ต่อมาเปลี่ยนเป็น 6 ล้าน ผมเพิ่งจะรู้สึกไม่กี่วัน ว่าผิดปกติ และคิดว่าตัวเองถูกหลอก ตั้งแต่หวยออกก็ไม่ได้เงินใดๆ ปลายเดือน พ.ย. ทาง อ.ริน ได้นำเงิน 6 ล้านมาให้แม่ถ่ายรูป เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็เอาเงินกลับไป ซึ่งตอนนั้นมีกระแสแล้วว่าจริงหรือเท็จ ตอนนั้นรู้ชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่”
บิ๊กเอ็ม กล่าวว่า สาเหตุที่เกิดเรื่องมาถึงวันนี้ เป็นเพราะตนไม่รู้ในเรื่องการทำธุรกิจอะไร และเชื่อใจคนมากเกินไป จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทำให้รู้สึกแย่มากๆ ตอนนี้คือ อยากให้หยุดนำภาพของตนไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ และจะปรึกษาทนายต่อไป “สิ่งที่อยากจะบอกคือ ขอโทษทุกคน ประชาชนทุกคน แฟนๆ รวมถึงทุกคนที่รู้จัก ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทุกอย่างเกิดจากผมโง่เอง ไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ คิดว่า ทุกอย่างคือเรื่องจริง ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ถูกหลอกใช้ ผมได้รับผลกระทบหนักมากๆ ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ ผมตกเป็นแพะรับบาปในเรื่องนี้แทนหลายๆ คน"
หลังจากบิ๊กเอ็มแถลงยอมรับว่า ไม่ได้ถูกรางวัลที่ 1 ตามที่เคยโพสต์ ล่าสุด (6 ม.ค.) ช่อง 7 ได้ออกประกาศใช้สิทธิยุติสัญญาการเป็นนักแสดงในสังกัด ของกฤตฤทธิ์ บุตรพรม หรือบิ๊กเอ็ม แล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.เป็นต้นไป
ด้านบิ๊กอ็ม ได้โพสต์อินสตาแกรมหลังรับทราบประกาศจากช่อง 7 ว่า “9 ปีที่ผ่านมา คือช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิตผม ขอบคุณช่อง 7 ครับ”
ด้าน “เพชรพันปี อภิมหาโชคไพศาล” หรือโอ๊ต เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ที่เป็นคนแบ่งลอตเตอรี่ให้บิ๊กเอ็ม จนกลายเป็นประเด็นดรามา ได้อัดคลิปร้องไห้เสียใจ หลังทราบว่า ช่อง 7 ยุติสัญญากับบิ๊กเอ็ม ว่า “เมื่อสักครู่นะคะ เพื่อนโทร.มาบอกว่าบิ๊กเอ็มโดนปลดจากช่อง 7 (ร้องไห้โฮ) วอนผู้ใหญ่ช่อง (ร้องไห้) ให้โอกาสน้องด้วยได้ไหมคะ น้องไม่ได้ผิดอะไร น้องไม่ได้ทำอะไรผิดเลย น้องเป็นเด็กดี (ร้องไห้) คนที่ผิดคือหนูเอง หนูผิดเอง ทำไมต้องปลดน้อง น้องไม่ได้ทำอะไรผิด (ร้องไห้) บิ๊กเอ็ม พี่ขอโทษ (ร้องไห้) น้องไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องปลดน้องด้วย (ร้องไห้)”
พร้อมแคปชั่นที่ระบุว่า “กราบขอร้องผู้ใหญ่ ทางช่อง 7 น้องบิ๊กเอ็มเป็นเด็กดี ไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ หนูชั่ว หนูเลวเอง วอนให้โอกาสน้องได้ไหมคะ ได้โปรดค่ะ”
อนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นประเด็นดราม่า และออกมายอมรับว่า ไม่ได้ถูกรางวัลที่ 1 พระเอกหนุ่ม "บิ๊กเอ็ม" ได้โพสต์ภาพก่อนหน้านี้ว่า ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 จำนวน 4 ใบ เป็นเงิน 24 ล้าน ต่อมามีสาวออกมาบอกว่า ตนคือคนที่ถูกรางวัลตัวจริง ต่อมา "บิ๊กเอ็ม" ได้ชี้แจงเรื่องถูกรางวัลที่ 1 พร้อมเล่าที่มาที่ไปว่า "ผมทำสบู่อยู่ตอนนี้ ก็เลยเอาสบู่ไปส่งให้ลูกค้า ซึ่งก็คือพี่โอ๊ตเขามีโรงงานเพชร ก็คือบริษัท PW GEM ตอนไปส่งสบู่ผมก็เลยไปเลือกเพชร ซื้อแหวนมา 1 วง แล้วโดยธรรมเนียมคุณโอ๊ตเขาจะต้องแจกลอตเตอรี่ออนไลน์ให้กับลูกค้าทุกคน ก็คือ ไปซื้อทีหนึ่งก็แจกลูกค้าเป็นพันๆ ใบเลย แล้วพี่โอ๊ตก็จิ้มใบนี้มาให้กับผม"
"แล้วผมไปงานอีเวนต์อยู่แล้วทาง PW GEM ก็เลยทักมาบอกว่า ยินดีด้วยนะคุณเอ็มคุณถูกรางวัลที่ 1 ตอนนี้มือสั่นไปหมด ส่วนที่ผมลงไปคือ ลอตเตอรี่รวม แต่ที่ผมถูกจริงๆ คือ 1 ใบ ได้ 6 ล้านบาทครับ และหุ้นส่วนผมก็ถูกเช่นเดียวกันครับ"
ต่อมา น.ส.ฐิตาภา ธนทรัพย์ปรีชา เจ้าของหงษ์ทอง ลอตเตอรีออนไลน์ ได้ออกมาไลฟ์สดยกมือไหว้ขอโทษนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล โดยยอมรับว่า คุณเอกคือ คนที่เซ็ตขึ้นมาเรื่องถูกลอตเตอรีรางวัลที่ 1 พร้อมอ้างว่า มาร์เก็ตติ้งเป็นคนหามาให้ ตนไม่รู้เรื่องการจ่ายเงินค่าจ้าง ยืนยันงวดนั้นมีคนถูกรางวัลที่ 1 จริง แต่เจ้าตัวขอไม่เปิดเผย หลังการออกมายอมรับดังกล่าว ทำให้กระแสสังคมสงสัยว่า แล้วบิ๊กเอ็มถูกรางวัลที่ 1 จริงหรือไม่
2.ผลสอบ "อธิบดีกรมอุทยานฯ" พบผิดวินัยเรียกรับเงินจริง ปลัด ทส.สั่งตั้ง คกก.สอบวินัยร้ายแรง โทษสูงสุดถึงไล่ออก!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายกุศล โชติรัตน์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ใน ฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการในสังกัด ได้แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ตนเป็นประธาน มีหน้าที่หาข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.2565 โดยได้นำข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ ทั้งข้อมูลที่ปรากฏในสื่อมวลชน ผู้ที่ปรากฏชื่อ รวมทั้งนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) และเรียกนายรัชฎามาชี้แจงข้อมูลแล้ว โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และจะนำเอกสารอธิบายข้อกล่าวหา ซึ่งจะต้องมายื่นให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดของตนภายในวันที่ 10 ม.ค.นี้ นอกจากนี้ยังพิจารณาข้อมูลการจับกุมของตำรวจในบางส่วน
“จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า มีมูลความผิดทางวินัยในการเรียกรับเงินจริง ส่วนรายละเอียดการสอบสวนคงไม่สามารถให้ข้อมูลได้ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนายรัชฎาแล้ว ถือว่าเป็นกระบวนการทำงานตามระเบียบข้าราชการพลเรือน ปกติแล้วระยะเวลาการดำเนินการจะประมาณ 30 วัน แต่เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากอาจขยายเวลาได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีผู้เกี่ยวข้องที่เหนือกว่านายรัชฎาหรือไม่ นายกุศล กล่าวว่า ตนไม่ทราบ จะทราบต่อเมื่อมีการดำเนินคดีทางอาญา เมื่อถึงวันนั้นคงจะทราบตัวผู้เกี่ยวข้อง ทส. มีหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงและลงโทษทางวินัยเท่านั้น ส่วนคดีอาญาเป็นเรื่องของศาล เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ที่จะส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ โทษวินัยมีตั้งแต่ภาคทัณฑ์ไปจนถึงไล่ออก
เมื่อถามว่า เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่จะพบเงินหลักล้านในห้องอธิบดี นายกุศล กล่าวว่า คิดว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่จะพบเงินจำนวนมากในห้องอธิบดี เพราะสมัยนี้คนส่วนใหญ่ใช้เครดิตการ์ดแทนเงินสดกัน
รายงานข่าวแจ้งว่า คำสั่งของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวง ทส. ที่สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงนายรัชฎา มีใจความสรุปว่า ด้วยนายรัชฎา มีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบพยานแวดล้อมแล้ว น่าเชื่อว่า นายรัชฎาได้เรียกรับเงินจากเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติฯ จริง โดยที่นายรัชฎาย่อมมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการภายในกรมอุทยานฯ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นไปตามเป้าหมาย กลับมีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเสียเอง ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์เพื่อแลกกับการไม่สั่งโยกย้ายผู้ถูกเรียกให้ไปดำรงตำแหน่งอื่นหรือไม่ประการใด
นอกจากนี้นายรัชฎาในฐานะเป็นข้าราชการและผู้บริหารระดับสูง ย่อมได้รับการยกย่องนับถือจากบุคคลทั่วไปว่า เป็นผู้ที่มีเกียรติศักดิ์และศักดิ์ศรี และได้รับการยกย่องจากสังคม แต่กลับมีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากผู้อื่น และถูกจับกุมตัวจนเป็นข่าวแพร่หลายในสังคม ย่อมมีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน จนอาจเป็นเหตุให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธา มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ชื่อเสีย ประสิทธิภาพของราชการ รวมถึงก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเกียรติและภาพพจน์ของข้าราชการ
3. สหภาพ รฟท. จี้สอบจัดจ้างเปลี่ยนชื่อ "สถานีกลางบางซื่อ" ราคาสูงผิดปกติ "ธงทอง" ข้องใจ รฟท. ถ้าคิดขอพระราชทานชื่อ ทำป้ายถาวรแต่แรกทำไม!
จากกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีโครงการปรับปรุงป้ายชื่อ "สถานีกลางบางซื่อ" เป็น "สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์" (ชื่อที่ขอพระราชทาน) และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้ลงนามในสัญญาจ้างบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ในการก่อสร้างปรับปรุง มูลค่า 33 ล้านบาท ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ว่าราคาดังกล่าวสูงเกินไปหรือไม่?
โดยสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ รฟท. ขอให้ตรวจสอบกระบวนการขั้นตอนในการว่าจ้าง เสนอราคาก่อสร้างโครงการปรับปรุงป้ายชื่อดังกล่าว โดยระบุว่า สร.รฟท. เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อให้เป็นไปตามชื่อที่ได้รับพระราชทานเป็น "สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์" และการติดตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เหตุของความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการโดยใช้วิธีการว่าจ้างเอกชนด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะทำให้การรถไฟฯ สูญเสียงบประมาณในการว่าจ้างการปรับปรุงป้ายชื่อที่มีมูลค่าสูงเกินกว่าปกติ
หากดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยวิธีการประกาศเชิญชวน หรือวิธีการคัดเลือกก่อน จะทำให้การใช้งบประมาณของการรถไฟฯ เป็นไปอย่างเหมาะสม ได้งานที่มีคุณภาพมากที่สุด มีกระบวนการตรวจสอบตามหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส และเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณชน
ด้านนายธงทอง จันทรางศุ อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กถึงการเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อ โดยใช้งบ 33 ล้านบาทว่า “ถ้าคิดจะขอพระราชทานชื่อสถานีกลางบางซื่อใหม่ ก็ไม่ควรทำป้ายให้ถาวรตั้งแต่แรกมิใช่หรือ จะได้ไม่ต้องเสียเงินสองรอบ” พร้อมกันนี้ นายธงทองยังได้โพสต์บทกลอนด้วยว่า “ถึงบางซื่อชื่อบางช่างชวนคิด จะซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่หนอ หรือซื่อแบบคิดน้อยไม่ค่อยพอ โอละพ่อซื่ออย่างไหนใคร่รู้เอย”
นอกจากนี้ยังได้มีผู้เข้ามาตอบใต้โพสต์แสดงความเห็นหลากหลาย อาทิ ผมงงมากๆ ครับ ว่าทำไมไม่คิดอะไรให้รอบคอบ ทำไมต้องจ่ายเงินซ้ำๆ การทำงานแบบไทยๆ ครับ ทำงานไม่ต้องวางแผน รับชอบ ไม่รับผิด ผมว่าคนทั่วไปก็ยังติดเรียกว่าสถานีบางซื่อนะครับ คมนาคมน่าจะคิดทำอะไรให้เป็นแก่นสารมากกว่าเปลี่ยนชื่อ บริการให้มีคุณภาพดีกว่ามั้ย ทุกวันนี้รถไฟยังเข้าหัวลำโพง จราจรติดขัดทุกแยกที่รถไฟวิ่งตัดกับถนน อย่าลืมแผนที่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนอีก เช่น รถไฟฟ้า ฯลฯ
นายศักดิ์สยามชี้แจงด้วยว่า การขอพระราชทานชื่อ ไม่ใช่เพราะความต้องการส่วนตัว แต่เป็นการเปลี่ยนตามประเพณีปฏิบัติ เช่นเดียวกับโครงการใหญ่ ๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น สนามบินหนองงูเห่า ที่เปลี่ยนเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ และว่า กระทรวงคมนาคมริเริ่มการขอพระราชทานชื่อมาตั้งแต่ช่วงเดือน พฤษภาคม 2564 ก่อนที่จะมีการเปิดให้บริการใช้รถไฟฟ้าสายสีแดงและสถานีกลางบางซื่อในปีเดียวกัน หลังจากนั้น ได้มีหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานชื่อ เมื่อ 8 มิถุนายน 2565 “เรื่องการเปลี่ยนชื่อ เป็นเรื่องประเพณีปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นความต้องการของผม”
ส่วนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเปลี่ยนป้ายชื่อ 33 ล้านบาทนั้น นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ได้รับรายงานจาก รฟท. ว่า ราคาดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่ตัวป้าย แต่ยังมีการดำเนินการอื่น เช่น ค่ารื้อถอน หรือการติดตั้งกระจกใหม่ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและบริหารงานพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
เป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีที่นายศักดิ์สยามระบุว่า การเปลี่ยนชื่อเป็นประเพณีปฏิบัติ เหมือนการเปลี่ยนชื่อสนามบินหนองงูเห่า เป็นสนามบินสุวรรณภูมินั้น มีรายงานว่า นายธงทอง จันทรางศุ อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพธนาคม ได้ออกมายืนยันว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่เคยมีป้ายชื่อ ท่าอากาศยานหนองงูเห่า เมื่อสร้างอาคารเสร็จเรียบร้อย ก็ใช้นามพระราชทาน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประดับติดตั้งอาคารมาตั้งแต่ต้น และนามพระราชทานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับพระราชทานมา 6 ปีเต็ม ล่วงหน้าก่อนท่าอากาศยานเปิดให้บริการ
4. "ดีเอสไอ" ออกหมายเรียก "นอท กองสลากพลัส" หลังพบแก๊งฟอกเงินโอนเงินเข้าบัญชีหลายสิบล้าน ด้านเจ้าตัวยินดีชี้แจง ปัดเอี่ยวขบวนการฟอกเงิน!
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ออกเอกสารข่าวว่า ตามที่นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ มอบหมายให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะกำกับดูแลศูนย์คดียาเสพติด สั่งการให้นายพงษธร อินอำนวย ผู้อำนวยการศูนย์คดียาเสพติด ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้กระทำความผิดเกี่ยวยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ และอื่นๆ โดยมุ่งเน้นไปยังบุคคลที่ทำหน้าที่ในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินหรือฟอกเงินให้กลุ่มอาชญากรรม ซึ่งศูนย์คดียาเสพติด ได้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ
จากการสอบสวน พบกลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่ในการโอน รับโอน หรือแปรสภาพทรัพย์สินให้กับอาชญากรรมผิดกฎหมายหลายประเภท ด้วยการจัดหาบุคคลทั่วไปเปิดบัญชีธนาคารให้ (บัญชีม้า) จากนั้น จะทำการควบคุมบัญชีธนาคารดังกล่าวด้วยการเบิกถอนเงินสด แล้วนำไปส่งมอบให้กับกลุ่มอาชญากรที่ใช้บริการ โดยเรียกเก็บค่าบริการเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่เบิกถอนได้ และมีบริการหลังการขายด้วยการติดตามทวงเงินจากกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้ ยังพบพฤติการณ์ทำร้ายร่างกาย บังคับทรมาน บุคคลที่แอบปิดบัญชีหรือเบิกถอนเงินจากบัญชีม้า และถ่ายคลิปส่งให้ลูกค้าที่ใช้บริการดูอยู่เป็นประจำ
และเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2565 ศูนย์คดียาเสพติด ดีเอสไอได้จับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการรายสำคัญได้ 1 ราย และออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการไว้อีก 5 ราย จากการสอบสวนขยายผลพบว่า ที่ผ่านมากลุ่มขบวนการดังกล่าวทำหน้าที่เบิกถอนเงินสดและนำไปเข้าบัญชีให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย โดยหนึ่งในผู้รับเงินจากกลุ่มขบวนการนี้ คือ ผู้บริหารกิจการสลากกินแบ่งออนไลน์ “กองสลากพลัส” โดยปรากฎหลักฐานการรับเงินจากกลุ่มขบวนการนี้จำนวนหลายสิบล้านบาท ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างออกหมายเรียกให้เข้ามาชี้แจงเหตุการรับเงินดังกล่าว
ทั้งนี้ การดำเนินการเรื่องดังกล่าว สอดคล้องกับข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของเอกชน และตรวจสอบเส้นทางการเงินของแพลตฟอร์มออนไลน์เอกชนว่ามีความเป็นมาอย่างไร ดีเอสไอจึงขอฝากเตือนไปยังประชาชนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรับเปิดบัญชีธนาคารว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายและอาจมีอันตรายต่อชีวิตและร่างกายหรือต่อทรัพย์สินจากกลุ่มขบวนการที่ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว
วันต่อมา (6 ม.ค.) นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” ซีอีโอบริษัทลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด ได้มอบหมายทนายความส่วนตัว (ทนายเล้ง) เดินทางเข้าพบอธิบดีดีเอสไอ และผู้อำนวยการศูนย์คดียาเสพติด ดีเอสไอ เพื่อสอบถามข้อมูล หลังออกหมายเรียกให้ “นอท กองสลากพลัส” มาสอบปากคำในฐานะพยาน ในวันที่ 13 ม.ค.
นายไตรยฤทธิ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษว่า ทนายความของ “นอท กองสลากพลัส” จะมารับทราบประเด็นในการสืบสวนสอบสวนเส้นทางการเงินที่อาจเกี่ยวข้องกลุ่มผู้กระทำความผิดคดีฟอกเงินพนันออนไลน์ เพื่อเตรียมเอกสารในการเข้าพบเจ้าหน้าที่ โดยเมื่อเดือน ธ.ค.65 ศูนย์คดียาเสพติด ดีเอสไอ ได้จับกุมผู้ต้องหา 1 รายสำคัญในคดีอื่น แต่ขยายผลเส้นทางการเงินจนพบความเชื่อมโยงว่า เป็นเจ้าของบัญชีที่โอนเงินหลายสิบล้านบาทเข้าบัญชีส่วนตัวนายพันธ์ธวัช ซึ่งขบวนการดังกล่าวมิได้โอนเงินเข้าบัญชีนายพันธ์ธวัชอย่างเดียว แต่มีการโอนเงินเข้าธุรกิจอื่นๆ ด้วย และมีการออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ ทั้งหมด 7 ราย ทยอยให้ปากคำดีเอสไอเช่นเดียวกัน
นายไตรยฤทธิ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงผลสอบปากคำผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้องบางส่วนแล้ว ยังพบอีกหลายกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกัน และขณะนี้ดีเอสไอยังรอผลตรวจสอบเส้นทางการเงินจากธนาคารเพิ่มเติม นอกจากนี้ได้บูรณาการร่วมกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
“ในวันที่ 13 ม.ค. ดีเอสไอเปิดโอกาสให้นายพันธ์ธวัช นำหลักฐานมาชี้แจง พร้อมให้ความเป็นธรรม หากพบมีส่วนกระทำความผิด ต้องแจ้งข้อกล่าวหาตามขั้นตอน แต่ขณะนี้นายพันธ์ธวัชยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์”
เมื่อถามว่า จะมีการออกหมายเรียกสลากกินแบ่งออนไลน์เจ้าอื่นๆ ด้วยหรือไม่ นายไตรยฤทธิ์ กล่าวว่า จะมีเจ้าอื่นๆ ตามมาแน่นอน แต่ยังไม่สามารถบอกจำนวนได้ ต้องรอตรวจสอบจากเส้นทางการเงินจากธนาคารด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทนายความของนายพันธ์ธวัช ออกมาจากห้องศูนย์คดียาเสพติดแล้ว ได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อ
หลังถูกดีเอสไอออกหมายเรียก ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค. เฟซบุ๊กเพจ "กองสลากพลัส" ได้โพสต์แบนเนอร์ระบุว่า "เลื่อนเปิดจำหน่ายลอตเตอรี่ไม่มีกำหนด หมายเหตุ หากเปิดจำหน่ายจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งโดยทันที ขออภัยในความไม่สะดวก" พร้อมระบุสาเหตุว่า กองสลากพลัส ขออนุญาตเลื่อนวันเปิดจำหน่ายลอตเตอรี่ งวด 17 ม.ค. 2566 แบบไม่มีกำหนด เนื่องจากสถานการณ์ลอตเตอรี่ราคาแพง
ขณะที่เฟซบุ๊ก "นอท พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์" ของนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ซีอีโอกองสลากพลัส ระบุว่า "เลื่อนเปิดขายลอตเตอรี่ เพราะสู้ราคาไม่ไหว ไม่เกี่ยวกับ DSI นะครับ งวดนี้ขายตามปกตินะครับ แต่เปิดช้า ติดตามข่าวสารที่กองสลากพลัส"
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก “นอท พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์” ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 4 ม.ค.หลังทราบว่า ถูกดีเอสไอออกหมายเรียกด้วยว่า “ยินดีครับ เป็นการตรวจสอบตามเหตุต้องสงสัย เราพร้อมเข้าชี้แจง และขอปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับขบวนการฟอกเงิน แต่ขบวนการนี้อาจจะเอาเงินมาซื้อสลากฯ กับเราเท่านั้นครับ”
5. "ชูวิทย์" เปิดตัวพยานสำคัญคดี "ตู้ห่าว" พร้อมฝากเทียนให้ "ผบ.ตร.-อัยการ" เหตุไม่เคยลงพื้นที่ผับจินหลิง แต่จะเขียนสำนวนคดี!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิฎ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดแถลงเงื่อนงำและความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการทำคดีของนายตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติด พร้อมกับเปิดตัวพยานรายสำคัญเป็นครั้งแรก
โดยนายชูวิทย์เปิดฉากด้วยการถือตะเกียง พร้อมกล่าวเปรียบเทียบว่า บ้านเมืองอยู่ในความมืดมิด ไร้ความหวัง ไร้ผู้นำในการให้ความยุติธรรม ทั้งยังปักเทียนเปรียบเทียบว่า ผบ.ตร. และอัยการกำลังนั่งเทียนทำสำนวนคดี นายชูวิทย์ กล่าวว่า สิ่งที่ทำ ต้องการติเพื่อก่อ เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ม.ค. เห็นว่า อัยการและตำรวจแถลงข่าวร่วมกันเฉพาะเรื่องที่นายสมชาย จุติกิต์เดชา หรือหลงจู๊สมชาย ถูกยกฟ้องคดีลักลอบตั้งบ่อนการพนันและข้อหาฟอกเงิน ส่วนกล้องวงจรปิดที่ปรากฏภาพภรรยานายตู้ห่าว พาคนไปดูที่จังหวัดภูเก็ต คดีนี้นายตู้ห่าวก็หลุดคดี ตนติเพราะการทำงานมีพิรุธมากไป
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของสำนวนของตำรวจ ขอฝากเทียนคนละเล่มให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ส่วนที่อัยการบอกว่า สำนวนสมบูรณ์ครบถ้วนนั้น หากสำนวนสมบูรณ์ สังคมจะกลับมาดูหลักฐานที่ตนนำเสนอทำไม และการทำงานของตำรวจก็เป็นการเก็บหลักฐานเว้นวรรค เว้นหลายวันค่อยเข้าตรวจค้น หรือการขยักหลักฐาน ที่บอกว่ามีเยอะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องใช้เพิ่ม หรือการปล่อยรถยนต์ของกลาง หรือการปล่อยรถยนต์ 11 คันไว้ที่เกิดเหตุ ไม่มีการตรวจ อ้างว่าไม่มีกุญแจ
นายชูวิทย์ ยังอธิบายถึงผังสถานที่บริเวณอาคารผับจินหลิงว่า หากสังเกตดีๆ ผับจินหลิงจะอยู่ด้านบน เป็นสถานที่สำหรับเสพยาเสพติด ส่วนอาคารลีลาจะอยู่ด้านล่างซ้าย เป็นสถานที่สำหรับบ่อนกาสิโน ขณะที่อคารวิบวับ อยู่ด้านล่างขวา อาคารลีลาตนทราบว่า มีการใช้เซิร์ฟเวอร์ 2 ตัว แต่มีกล้อง 68 ตัว เนื่องจากมีบ่อนกาสิโน จึงใช้กล้องเยอะ ส่วนผับจินหลิงและอาคารวิบวับ มีการใช้เซิร์ฟเวอร์ตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ใช้กล้องอย่างละ 20 ตัว รวม 40 ตัว
แต่พบว่า กล้องวงจรปิดถูกตัดต่อ เพราะเซิร์ฟเวอร์ของผับจินหลิงที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) กลับเหลือเพียง 1 ตัว ทั้งๆ ที่มีเซิร์ฟเวอร์ 2 ตัว เจ้าหน้าที่ พฐ.มีภาพกล้องวงจรปิดแค่ระหว่างวันที่ 21-26 ต.ค.65 แต่ระหว่างวันที่ 18-19 ต.ค.65 ถูกตัดออกไปแล้ว จึงต้องถามว่า ตำรวจต้องการช่วยเหลือใคร การทำสำนวนแบบนี้หรือเรียกว่าสมบูรณ์แล้ว และที่สำคัญ เซิร์ฟเวอร์ของอาคารลีลาหายไปไหน เพราะมันสามารถนำไปสู่การตั้งข้อหาลักลอบเล่นการพนันได้ และบางมุมมีการปรากฏภาพพนักงานกรอกยาผงสีขาวบรรจุลงในวัสดุอีกด้วย
“ฝากถามไปยัง ผบ.ตร.และอัยการอย่างนายกุลธนิต มีใครเคยไปในที่เกิดเหตุหรือไม่ แล้วจะไปว่าความหรือไปเขียนสำนวนอย่างไร ดังนั้นเลยต้องมอบเทียนให้ เพราะเห็นท่าน ผบ.ตร.บอกว่า ตัวเองลงมานั่งคุมสำนวนเอง และ ผบช.น.ไมได้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว”
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า นายตู้ห่าวมีเงินซื้อรถยนต์โรลส์-รอยซ์ แต่ไม่จ่ายเงินผู้รับเหมา อีกทั้งรถทัวร์กว่า 400-500 คัน ของบริษัท เอ็ม แอนด์ เอ็ม ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จำกัด ที่หลายคนเข้าใจว่า เป็นบริษัทของตู้ห่าว แต่คนที่เป็นเจ้าของจริงๆ เป็นหลานนายกรัฐมนตรี จึงไม่สงสัยว่า ทำไมเรื่องถึงหยุด
นายชูวิทย์ ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนการตั้งจเรตำรวจแห่งชาติมาสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีดังกล่าว หากทางจเรตำรวจประสงค์จะให้เข้าไปให้ข้อมูล ตนไม่พร้อมที่จะเข้าไปให้ข้อมูล เพราะเชื่อว่า จเรตำรวจมีข้อมูลดังกล่าวอยู่ในมือแล้ว และเชื่อว่า การตั้งกรรมการสอบสวนของจเรตำรวจจะสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อเอาผิดได้ และว่า หากจะให้ประเมินตำรวจที่ทำคดีตู้ห่าว สำหรับ ผบช.น.เอาไป 0 คะแนน ทั้งๆ ที่จริงๆ ตนอยากให้ติดลบ เพราะปล่อยผู้ต้องหารายสำคัญหนีไป
ทั้งนี้ นายชูวิทย์ได้เปิดตัวพยาน 2 กลุ่ม คือ พยานที่เป็นผู้รับเหมาที่เคยทำงานให้นายตู้ห่าว และตู้ห่าวยังค้างจ่ายค่าทำงานให้หลักล้านถึงหลายล้าน และพยานอักษรย่อ ป.เป็นผู้ที่เห็นเงินสดถูกเบิกจากธนาคารครั้งละ 30 ล้านบาท และเป็นเงินที่โอนมาจากประเทศจีน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (5 ม.ค.) พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.บช.น.ได้เข้าตรวจค้นผับจินหลิงเมื่อวันที่ 26 ต.ค. พบนักท่องเที่ยวจำนวนมากและยึดยาเสพติดพร้อมอุปกรณ์การเสพได้หลายรายการ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการรวม 15 นาย โดยมีรายงานว่า ทางคณะกรรมการได้มีมติให้เชิญนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เข้ามาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการฯ ในวันจันทร์ที่ 9 ม.ค.นี้ เวลา 14.00 น ที่สำนักงานจเรตำรวจ รามอินทรา