แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเตือนโรควูบอันตรายถึงชีวิต ไม่ใช่แค่ออกกำลังกายหนักเกินไป แต่อาจมีโรคซ่อนอยู่ โดยเฉพาะโรคหัวใจและสมอง อันตรายมาก แนะพบแพทย์ตรวจให้แน่ใจ ยิ่งเร็วยิ่งดี อีกด้านเกิดเรื่องสะเทือนใจ นักวิ่งรายหนึ่งวูบเป็นลมมาแล้วครั้งหนึ่ง 3 วันต่อมาวิ่งแล้ววูบครั้งที่สอง ก่อนเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
วันนี้ (21 ต.ค.) เฟซบุ๊ก Akanis Srisukwattana ของ นพ.อกนิษฐ์ ศรีสุขวัฒนา หรือหมอแอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ โพสต์ข้อความหัวข้อ "โรควูบ อันตรายถึงชีวิต" ระบุว่า ฝากถึงนักกีฬา และบุคคลทั่วไปที่ออกกำลังกาย หากเกิดอาการวูบขณะออกกำลังกาย ให้ถือว่าเป็นความผิดปกติ ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
การวูบ เป็นลม ส่วนใหญ่จะมาจากการออกกำลังกายที่หนักเกินไป นานไป แต่ส่วนน้อยมาจากการมีโรคซ่อนอยู่ โดยเฉพาะโรคหัวใจ และโรคสมองที่อันตรายมาก ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่วูบ หรือจะวูบ ซึ่งหมายถึงหมดสติ จอดับไม่รู้ตัว (ยกเว้นอาการหน้ามืดเวลาเปลี่ยนท่าไม่นับเป็นวูบ) ต้องพบแพทย์ ยิ่งเร็วยิ่งดี ตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีโรคอันตรายซ่อนอยู่ ก่อนที่จะออกกำลังครั้งต่อไป
"เราไม่สามารถแยกเองได้ 100% ว่าวูบจากการออกกำลังหนัก หรือวูบจากมีโรคซ่อน การวูบ หน้ามืด เจ็บหน้าอกขณะแข่ง ไม่มีการนั่งพักให้หายแล้วไปต่อ การแข่งคุณในวันนั้นจบลงแล้ว และต้องบอกเพื่อนนักวิ่ง บอกเจ้าหน้าที่สนาม เพื่อไปโรงพยาบาล ตรวจรักษาหาสาเหตุ เพราะโรคบางอย่างอาจเป็นโรคที่ต้องรักษาเร่งด่วน อาการวูบต้องตรวจให้แน่นอนว่าไม่มีอะไรซ่อน ยิ่งตรวจเร็วยิ่งดี ถ้ายังไม่ตรวจอย่าเพิ่งไปออกกำลัง เพราะอาจอันตรายถึงชีวิตได้ถ้ามีโรคซ่อน"
นพ.อกนิษฐ์กล่าวเพิ่มเติมว่า การออกกำลังกายในโซนสูง ไม่เกี่ยวกับการเสียชีวิตโดยตรง ถ้าคนนั้นไม่มีโรคซ่อนอยู่ ออกโซนสูงก็แค่เหนื่อยล้า เมื่อยกล้ามเนื้อ แต่ไม่ทำให้เสียชีวิต ในทางกลับกัน การใช้ชีวิตประจำวัน หรือแม้ออกกำลังไม่หนักมาก มีโอกาสเสียชีวิตได้ถ้ามีโรคซ่อน ที่สำคัญคือต้องคัดกรองว่ามีโรคซ่อนที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่ และควรทำโดยรีบด่วนถ้ามีอาการเตือนเหล่านี้ เช่น เจ็บหน้าอก ใจสั่น หน้ามืด และเป็นลม
อีกด้านหนึ่ง รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า มีเรื่องสะเทือนใจและเป็นอุทาหรณ์ในกลุ่มนักวิ่ง เมื่อค่ำวันที่ 19 ต.ค. เกิดเหตุการณ์ที่นักวิ่งชายรายหนึ่งเกิดอาการเป็นลมหมดสติระหว่างวิ่งที่สนามอินทรีจันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นักวิ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งอยู่ใกล้เคียง โดยพบว่าอาการค่อนข้างหนัก เนื่องจากไตวายและเลือดเป็นกรด อีกทั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องเข้าหอผู้ป่วยวิกฤตโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด (CCU) ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณบ่าย 2 โมงของวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา
เฟซบุ๊กของผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ระหว่างเดินมาที่สนามอินทรีจันทรสถิตย์ มีคนตะโกนว่า "มีคนเป็นลมหมดสติ" โดยมีผู้คนรายล้อมพยายามปั๊มหัวใจ ก่อนที่จะนำตัวส่งโรงพยาบาลวิภาวดี แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานใดๆ ติดตัว รวมทั้งโทรศัพท์หน้าจอล็อก โทร.หาใครไม่ได้ มีเพียงกุญแจรถ จึงให้นิสิตช่วยกันหารถให้เจอ และค้นหาเอกสารสำคัญภายในรถเพื่อหาเบาะแสว่าเป็นใคร เมื่อได้ชื่อและนามสกุล จึงค้นหาในกูเกิล กระทั่งเจอเฟซบุ๊กนักวิ่งคนดังกล่าว และค้นหาเพื่อนสนิทเพื่อติดต่อ กระทั่งเพื่อนสนิทและกลุ่มนักวิ่งเดินทางมาดูอาการ และเมื่อน้องสาวของนักวิ่งคนดังกล่าวมาถึง จึงได้กลับที่พัก
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ต.ค. หรือ 3 วันก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นักวิ่งคนดังกล่าวได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว บอกเล่าว่า หมดสติครั้งแรกที่สวนลุมพินี ระบุว่า ตนไปวิ่งที่สวนลุมพินีตามปกติ มาถึงรอบสุดท้าย ด้วยความที่เป็นกิโลเมตรสุดท้าย จึงวิ่งให้สุดแรงเท่าที่สามารถเร่งได้ พอวิ่งเสร็จจากนั้นก็ได้มานั่งริมฟุตปาธ ทันใดนั้นเหมือนภาพตัดไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีคือนอนอยู่ที่พื้น และมีพลเมืองดีประมาณ 4 คนช่วยกันปฐมพยาบาล คิดว่าสาเหตุมาจากพักผ่อนน้อยและความเครียดสารพัด ประกอบกับช่วงเสาร์-อาทิตย์ ไปใช้แรงงานขนของแบกหามเพื่อเตรียมงานวิ่ง ร่างกายจึงอ่อนล้า
ก่อนมาวิ่งรู้ตัวว่าร่างกายอ่อนเพลีย แต่ด้วยความคิดที่ว่า แต่ก่อนก็ทำแบบนี้ ไม่เห็นเป็นอะไร ก็เลยฝืนมา ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นคนใช้ร่างกายเปลืองมาก มี 100 ใช้ 150 ประหนึ่งว่ามีชีวิตเป็นอมตะ ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนที่ดีอีกหนึ่งบทเรียน และโชคดีที่มาเกิดในตอนที่ยังไม่เป็นอะไรมาก มีแค่แผลถลอกนิดหน่อยตอนลงไปกองกับพื้น ข้อความดังกล่าวถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียนับพันครั้ง พร้อมข้อความแสดงความไว้อาลัย และเสียใจต่อครอบครัวนักวิ่งรายดังกล่าว