แสนสิริ เริ่มเคลื่อนไหวกับการพัฒนาที่ดินพร้อมอาคารแปลงสารสิน หลังทุบสถิติอีกรอบซื้อขายวาละ 3.9 ล้านบาท "อุทัย อุทัยแสงสุข" ยอมรับโมเดลคอนโดฯ ไฮเอนด์ แต่รออีก 1-2 ปีข้างหน้า ด้านผู้บริหาร Property DNA ระบุซื้อที่ดินมาแพงก็ต้องทำโครงการให้คุ้มค่า ส่วนผลประกอบการงวดครึ่งปีสร้างรายได้จำนวน 13,057 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17%
หลังจากที่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารสำนักงาน M.B.K.Life ความสูง 14 ชั้น ที่มีผู้เช่าเต็ม 100% ของบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) มาในราคารวมทั้งที่ดินและอาคารประมาณ 1,560 ล้านบาท หรือประมาณตารางวาละ 3.9 ล้านบาท เมื่อปี 2563 นั้น
ล่าสุด นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาเปิดเผยเพียงเล็กน้อยว่า อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ซึ่งอาจจะเห็นความชัดเจนของโครงการภายใน 1-2 ปีข้างหน้า
ด้านนายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด (Property DNA) บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตอบข้อซักถามในประเด็นดังกล่าวว่า "ทางแสนสิริคงพัฒนาที่ดินแปลงนี้เป็นโครงการคอนโดฯ ราคาแพงแน่นอน เพื่อที่จะได้สอดคล้องกับราคาที่ดินที่แพงขนาดนี้ เพียงแต่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด หรือราคาแพงขนาดไหนยังคงต้องรอดูต่อไป"
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมราคาแพงในกรุงเทพมหานครเงียบเหงาไปเยอะ และไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมราคาแพงเปิดขายเลย ซึ่งทางแสนสิริเองคงอาศัยช่วงเวลานี้พัฒนารูปแบบของโครงการให้โดดเด่นสมกับราคาขายและทำเลของที่ดิน ซึ่งพื้นที่ตามแนวถนนสารสินหรือพื้นที่รอบๆ สวนลุมพินีนั้น หาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ยากมากแล้วในปัจจุบัน รวมไปถึงที่ดินในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) อื่นๆ เช่นกัน
"ถ้าผู้ประกอบการมั่นใจในศักยภาพการพัฒนาและการขายโครงการราคาแพงก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อทั้งอาคารและที่ดิน หรือบ้านขนาดใหญ่ของตระกูลเก่าแก่ เพื่อนำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบที่เห็นกันในช่วงที่ผ่านมา"
ส่องผลประกอบการรายได้-หนี้สินรวม
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของบริษัทแสนสิริ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 7,837 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 หรือ 205 ล้านบาท จาก 8,042 ล้านบาทในไตรมาส 2/2564 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และรายได้ค่าบริการธุรกิจ อย่างไรก็ดี มีการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าบริหารโรงแรม รายได้ค่าบริการอื่น และรายได้อื่นในไตรมาส ทำให้รายได้รวมลดลงเล็กน้อย
สำหรับกำไรสุทธิของไตรมาส 2/2565 จำนวน 918 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 หรือ 256 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ จำนวน 662 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.2 ในไตรมาส 2/2564 เป็นร้อยละ 11.7 ในไตรมาส 2/2565
ในส่วนของรายได้รวมสำหรับงวด 6 เดือนของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย.) จำนวน 13,057 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 หรือ 1,811 ล้านบาท จาก 14,868 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนปี 2564 อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิสาหรับงวด 6 เดือนของปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 หรือ 174 ล้านบาท เป็น 1,220 ล้านบาท จาก 1,046 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนของปี 2564
ขณะที่หนี้สินรวมของแสนสิริและบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีจำนวน 79,922 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 4,257 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหมุนเวียน จำนวน 44,416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,770 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน 35,507 ล้านบาท ลดลง 2,513 ล้านบาท
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 แสนสิริและบริษัทย่อยมีหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ย 68,087 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 63,694 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นกู้ชนิดไม่มีประกันที่ได้ออกเสนอขายในช่วงไตรมาสที่ 1/2565 ที่ผ่านมา รวมถึงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารและตั๋วแลกเงินที่เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.93 เท่า และหนี้สินเฉพาะส่วนที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Gearing Ratio) เท่ากับ 1.65 เท่า