"นพ.อรรถพล" เผยข้อมูลอัตราคนตายที่ไม่ใช่จากโควิด ในปี 64 - 65 เพิ่มขึ้นถึงกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ตั้งข้อสังเกตหรือเป็นผลจากการฉีดวัคซีน แนะรัฐต้องหาคำตอบ ด้าน "ปานเทพ" เผยบิดาเสียชีวิตจากการได้รับวัคซีนเข็มแรก แต่ก็ไม่ได้ถูกบันทึกสาเหตุการตายที่แท้จริง
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต และ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อ.ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสนทนาในรายการ "คนเคาะข่าว" ในหัวข้อ "การปกปิดข้อมูลวัคซีน"
โดย นพ.อรรถพล กล่าวว่า วัคซีนโควิดเป็นการขออนุมัติฉุกเฉิน ทำให้ข้ามขั้นตอนสำคัญไป คือขั้นตอนเพื่อความปลอดภัย งานวิจัยเพื่อจะบอกว่าปลอดภัยหรือเปล่าจะทำเสร็จในปี 2568 บางตัวทำเสร็จ 2569
ตนเป็นจิตแพทย์ก็จริงแต่ว่าเคยเรียนเกี่ยวกับพันธุกรรม จากการติดตามข่าวจากที่ต่าง ๆ ก็เห็นว่าในหลายประเทศ เช่นประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะ ควบคุมได้ดีอัตราการป่วยต่ำมาก และฉีดวัคซีนเยอะมาก แต่อัตราการตายในกลุ่มอายุที่ได้รับวัคซีนมันสูงขึ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการระบาดของโควิด เขาก็ตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วคนไทยล่ะเป็นยังไง เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2564 ข้อมูลสถิติผู้เสียชีวิตของสำนักงานสถิติแห่งชาติ สามารถเข้าไปค้นได้ในเว็บไซต์ ตนก็เอาข้อมูลอันนั้นมาทำกราฟเปรียบเทียบ ซึ่งน่าตกใจ ในปี 2564 มีตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ตัวเลขการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ที่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
หากจะบอกว่าก็ปี 2564 ช่วงสิงหาคม - กันยายน ยอดเสียชีวิตจากโควิดเยอะ ตนเลยเอาตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด มาลบปรากฏว่า ก็ยังเสียชีวิตถึง 9 เปอร์เซ็นต์
พอมาปีนี้ 2565 ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นก็ควรจะหยุดอยู่แค่นั้น ปรากฏว่าล่าสุดยิ่งน่าตกใจ สูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา คราวนี้จาก 12 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเป็น 14 เปอร์เซ็นต์ ของช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และเหมือนเดิมถ้าเอาตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากโควิดออกไป ก็ยังเพิ่มอีก 10 เปอร์เซ็นต์
คำถามคือ 10 เปอร์เซ็นต์ มาจากไหน ตนยังไม่ได้บอกว่ามาจากวัคซีน แต่การไม่หาคำตอบเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ รัฐบาลต้องเอาตัวเลขมากางแล้ววิเคราะห์ข้อมูล
ด้าน อ.ปานเทพ กล่าวว่า ตนน่าจะเป็นคนส่วนน้อยในประเทศที่ยังไม่ฉีดวัคซีนสักเข็ม แต่การที่ตนตัดสินใจไม่ฉีด เพราะมีความรู้สึกว่าภาครัฐยังไม่เปิดเผยข้อมูลผลกระทบด้านวัคซีน แล้วก็บอกประชาชนอยู่เสมอว่ามีผู้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับการตายด้วยการติดเชื้อ
ตนรู้สึกว่ามันต้องมีใครสักคนหรือคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความพร้อมที่จะไม่ฉีดวัคซีน เพื่อให้เห็นว่าที่สามารถเอาตัวรอดได้เพื่อเป็นหลักประกันให้คนที่ยังหวาดกลัวในข้อมูลที่ปกปิด
ที่ผ่านมาถือว่าการไม่มีข้อมูลอีกด้านหนึ่งและถูกปกปิดด้วยขบวนการระดับนานาชาติทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ และภาครัฐปิดด้วย รู้สึกว่าไม่แฟร์ในการเชิญชวนประชาชนไปฉีดโดยที่ข้อมูลไม่ครบ ถ้าครบแล้วจะตัดสินใจอย่างไรตนถือว่าทุกคนมีสิทธิที่จะดำเนินชีวิตและตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างมีข้อมูลที่ครบรอบด้าน
อ.ปานเทพ กล่าวอีกว่า ตนติดโควิดเรียบร้อยแล้ว หายแล้ว คนก็จะบอกว่าก็คนส่วนใหญ่เขาก็หายเองได้ ฉะนั้นตนขอยกตัวอย่าง 2 กรณี ซึ่งใกล้ตัวที่สุด คือพ่อของตน ภาครัฐบอกว่าคนสูงวัยเข้าเกณฑ์กลุ่มเสี่ยงที่ต้องรีบฉีด พ่อตนป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่เราไม่คีโม ไม่ฉายแสง รักษาตัวเองมา 7 ปี โดยใช้ตำรับยาสมุนไพร อายุ 90 ปีแล้ว ยังขับรถ ยังเดินได้
พ่อตนฉีดวัคซีนโควิดไป 1 เข็ม คืนนั้นไอทั้งคืน ตอนเช้ามาไอมากจนมีอาการหอบ วัดออกซิเจนต่ำกว่า 93 เกรงว่าเชื้อลงปอด จึงนำส่งโรงพยาบาล สุดท้ายจบด้วยปอดอักเสบ ดูดเสมหะจนเจ็บไปหมดต้องเจาะคอ และในที่สุดก็เสียชีวิต กรณีของพ่อก็ไม่ได้ถูกบันทึกว่าเสียชีวิตจากการได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีน
กรณีที่สอง แม่ของตนเอง โดยมีโรคประจำตัวทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมัน น้ำตาล ครบทุกอาการ และมีน้ำหนักเยอะด้วย เข้าเกณฑ์ทุกอย่างเลย วันแรกที่ตรวจเชื้อติดโควิด ไข้ขึ้นสูงปรี๊ดเลย หนาวสั่น ทำยังไงไข้ก็ไม่ลง ออกซิเจนอยู่ที่ 93 รอบนี้ตนดูแลเอง ใช้ตำรับยาไทย สุดท้ายก็ดีขึ้นใน 2-3 วัน และเชื้อหมดไปจนตรวจ atk ไม่พบ ก็ประมาณ 7-10 วันแค่นั้นเอง